ที่มา uddred
Facebook อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ 27 กันยายน 2555 >>>
เหลียวหลังไปดูอดีตพัฒนาการการต่อสู้ของประชาชนไทย
ถ้าเราไม่นับการต่อสู้ของพรรคที่ต่อสู้นอกระบบและใช้การต่อสู้ด้วยอาวุธ
อย่างพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยแล้ว หลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
เป็นต้นมา
การต่อสู้ของประชาชนไทยได้พัฒนายกระดับขึ้นสู่คุณภาพใหม่ที่แตกต่างจากใน
อดีตอย่างชัดเจน การต่อสู้ของประชาชนหลังรัฐประหาร 2549
จึงมีฐานะทางประวัติศาสตร์ใหม่
1.
เป็นการต่อสู้ที่มุ่งมั่นเพื่อเปลี่ยนแปลงการเมืองการปกครองของสังคมไทย
จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชที่ปัจจุบันอยู่ในระยะของระบอบอำมาตยาธิปไตย
ในฉายาประชาธิปไตย
เข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขที่อำนาจเป็นของ
ประชาชนไทยแท้จริง เปิดเผย ตรงไปตรงมา
(แม้จะมีคนใส่ร้ายป้ายสีบิดเบือนว่าเราจะเปลี่ยนให้เป็นสาธารณรัฐ
มีประธานาธิบดีแทนพระมหากษัตริย์) ในอดีตนั้นไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ในยุค 14
ตุลา, พฤษภา 35 ที่มีการลุกขึ้นสู้ล้วนเป็นการขับไล่เผด็จการทหารเท่านั้น
2. เป็นการต่อสู้ที่ยืดเยื้อ
จึงถือเป็นเรื่องยากในการต่อสู้และการรักษาขบวนการ การรักษาองค์กรการต่อสู้
การพัฒนาองค์กร และพัฒนาการต่อสู้
นี่เป็นประสบการณ์ใหม่ของขบวนการประชาชนเช่นกัน
เพราะปกติจะเป็นการลุกขึ้นรวมตัวต่อสู้เพียงสั้น ๆ แล้วเลิกกันไป
นี่เพราะเรามีเป้าหมายระยะสั้น ระยะปานกลาง และระยะยาว
โจทย์ข้อนี้จึงเป็นโจทย์ใหม่ขององค์กร นปช.
3.
การจัดการบริหารองค์กรและขบวนการที่มีจำนวนผู้ร่วมเคลื่อนไหวมากที่สุด
ตั้งแต่ผู้ปฏิบัติงาน แกนนำทุกระดับที่มีความหลากหลาย มวลชนแนวหน้า
มวลชนสนับสนุน นี่เป็นประสบการณ์ใหม่ที่มีความยากลำบากอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีความหลากหลายทั้งในกลุ่มเสื้อแดง
กลุ่มนักการเมือง กลุ่มผู้ฉวยโอกาสหาผลประโยชน์
และการแทรกแซงเข้ามาปะปนในหมู่มวลชนและแกนนำจากฝั่งปฏิปักษ์
ต่อการเคลื่อนไหวของประชาชนรวมทั้งหน่วยงานความมั่นคงและพวกที่มีความเชื่อ
ในการต่อสู้ต่าง ๆ กัน
มุ่งหวังลดทอนกำลังการจัดตั้งองค์กรคนเสื้อแดงอันรวมศูนย์การทำลายมาที่
นปช. แกนนำ นปช. เพื่อแย่งชิงมวลชน
นอกจากนี้บางกลุ่มแสดงตัวเป็นคนของพรรคของรัฐบาลทำองค์กรใหม่ซ้อนองค์กร
นปช. (จัดตั้งซ้อนจัดตั้ง) มวลชนจึงสับสน
4. เนื้อหาและเป้าหมายการต่อสู้ไม่ใช่ต่อต้านรัฐประหารโดยกองทัพเท่านั้น
แต่ช่วงเวลาการต่อสู้ที่ยืดเยื้อนี้ยังเป็นการต่อสู้ผลพวงการรัฐประหารและ
ยังเป็นความต่อเนื่องของการทำรัฐประหารโดยกองทัพ
เป็นการต่อสู้เพื่อความยุติธรรม เรียกร้องให้ทำความจริงให้ปรากฏ
เพื่อให้ประเทศนี้มีนิติรัฐ นิติธรรม หลังปราบปรามเข่นฆ่าประชาชน
จับกุมคุมขัง ประชาชนยังสู้ไม่ถอย แต่เปลี่ยนจากการถูกไล่ฆ่าไล่ยิง
มาถูกพิฆาตด้วยกระบวนการยุติธรรม
มิหนำซ้ำคณะกรรมการอิสระเพื่อค้นหาความเป็นจริงเพื่อการปรองดอง (คอป.)
ยังมาฆ่าซ้ำด้วยการทำลายเกียรติยศศักดิ์ศรีของผู้ชุมนุมและคนเสื้อแดง
นี่จึงเป็นประสบการณ์ใหม่ที่ต่อเนื่องหลังรัฐประหาร 2549 มาเป็นลำดับ
เป้าหมายทางยุทธศาสตร์ปัจจุบันเป็นการต่อสู้ให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2550
ให้ได้รัฐธรรมนูญใหม่ที่ร่างโดยประชาชน เพื่อประชาชน
นี่เป็นส่วนสำคัญในยุทธศาสตร์ปัจจุบันคือต่อสู้เพื่อยกเลิกรัฐธรรมนูญ
ตัวบทกฎหมายอื่นและองค์กรจากผลพวงรัฐประหาร
เราจึงเสนอร่างแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 291
จากประชาชนและยื่นถอดถอนตุลาการรัฐธรรมนูญ
ทั้งสองเรื่องนี้แม้ไม่ได้ผลตามกฎหมายเพราะวุฒิสมาชิกคงไม่ถอดถอน
แต่เราต้องการแสดงออกถึงความคิดและประชามติต่อระบบตุลาการตามรัฐธรรมนูญฉบับ
นี้ สำหรับร่างกฎหมายปรองดองและร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มีฉบับ นปช.
และฉบับพรรคเพื่อไทย แสดงถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ได้ใกล้ชิดกัน ต่างคนต่างทำ
นปช. ต้องแก้ปัญหาด้วยการส่งร่าง นปช. ไปประกบของพรรคถึงโหวตจะแพ้ก็ตาม
เพราะพรรคเพื่อไทยคงไม่เข้าใจความคิดของประชาชนคนเสื้อแดงดีพอและไม่ประสาน
งานอย่างเป็นระบบ
ดังนั้นขั้นตอนการต่อสู้ในระยะเวลานี้จึงเป็นเวลาของปัญญาชน
ชนชั้นกลางจะมีบทบาทสูงในเวทีการต่อสู้ เพราะจะเป็นการต่อสู้ในเวทีความคิด
หลักการ เหตุผล ข้อมูลอย่างเป็นวิทยาศาสตร์มาหักล้างกัน
จะปรากฎกลุ่มปัญญาชน, องค์กรของผู้รักความเป็นธรรม
นักกฎหมายที่รักความเป็นธรรมและมีจุดยืนอยู่ที่ประชาชนมากขึ้นเรื่อย ๆ
กำลังของปัญญาชนผู้รักความเป็นธรรมเหล่านี้จะมีบทบาทนำ ดังเช่น กลุ่ม ศปช.
ศูนย์ข้อมูลประชาชน ที่ผลิตเอกสารนับพันหน้า
ถือเป็นกลุ่มนักวิชาการที่นปช.และขบวนการประชาชนต้องยกย่องสรรเสริญไว้ ณ
ที่นี้ นอกจากนั้นกลุ่มอื่น ๆ เช่น กลุ่มนิติราษฎร์ นักวิชาการกฎหมายอิสระ
ก็จะทำให้การต่อสู้ของประชาชนน่าเชื่อถือในหมู่ชนชั้นกลางและปัญญาชนอื่น ๆ
5. การต่อสู้ทางความคิดและอุดมการณ์จารีตนิยมที่ครอบงำสังคมไทย
ชนชั้นนำจารีตนิยมไทยสร้างวาทะกรรมและคำอธิบายรวมทั้งนิยายหลายชุดความคิด
ที่ทำให้คนไทยทั้งสังคมติดหล่มจมปลัก พัฒนาไปไม่ได้
โดยทำให้เข้าใจว่าระบอบอำมาตยาธิปไตยคือระบอบประชาธิปไตยแบบไทย ๆ
เหมาะสมกับสังคมไทย กลไกรัฐสำคัญต้องอยู่ในมือเครือข่ายระบอบอำมาตย์
และอธิบายเหตุผลต่อไปว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะชนชั้นนำจารีตนิยมคือเทพท่าม
กลางคนส่วนใหญ่ที่ถูกประณามว่าเป็นอสูรตัวร้าย
เทพจึงต้องเป็นผู้ปกครองเพราะเป็นคนดีมีจริยธรรม มีคุณธรรม
นี่เป็นคำอธิบายที่ใช้สร้างความชอบธรรมในการเป็นผู้ปกครองที่ไม่ยอมคืนอำนาจ
ให้กับประชาชน
และการสร้างบทบาทผู้ร้ายถาวรให้กับนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งว่ามา
เพราะแจกเงิน เมื่อเข้ามาเป็นฝ่ายนิติบัญญัติหรือฝ่ายบริหารก็ต้องถอนทุนคืน
หาเงินใหม่ คอรัปชั่นเชิงนโยบาย โกงกิน ทำให้คนชั้นกลาง ปัญญาชนรังเกียจ
เกลียดชัง
การเข้ามาสู่วงการเมืองกลับกลายเป็นเรื่องเลวแทนที่จะเป็นเรื่องดี ๆ
6. นี่เป็นระยะเวลาที่ถูกกระทำจากรัฐประหารต่อเนื่อง
ยังมีผู้ถูกจองจำในคุกทั้งประชาชนและแกนนำทุกระดับ
ผู้เข้าร่วมชุมนุมถูกฟ้องในข้อหาผู้ก่อการร้าย หลายคนถูกจองจำ ถูกตัดสินคดี
20 ถึง 30 ปี ประชาชนถูกฆ่ายังไม่อาจเอาผิดกับใครได้ คนบาดเจ็บ 2,000
กว่าคน คนถูกจับดำเนินคดีกว่า 1,600 คน
ในขณะที่อันธพาลกลุ่มจารีตนิยมคดียังไม่ไปถึงไหน ไม่ถึงศาลด้วยซ้ำ
ดังนั้นบรรยากาศการต่อสู้จึงอยู่ท่ามกลางบรรยากาศการทำความจริงให้ปรากฏ
เพื่อความยุติธรรมมีทั้งด้านรับและด้านรุกเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่
ให้ได้รัฐธรรมนูญของประชาชน ลบล้างผลพวงการทำรัฐประหาร
แต่ในการต่อสู้นี้แม้จะยังอยู่ในฐานะผู้ถูกกระทำ
แต่ชัยชนะจากการได้รัฐบาลจากพรรคที่ผู้รักประชาธิปไตยสนับสนุนก็ทำให้
ประชาชนควรมีส่วนในฐานะผู้กระทำด้วยและมีการต่อสู้เชิงรุก
จึงต้องมียุทธศาสตร์ยุทธวิธีเชิกรุกเดินหน้าตลอดไปด้วย
เป็นยุทธศาสตร์ยุทธวิธีเชิงรุกทั้งในฐานะที่ถูกกระทำและในฐานะเป็นผู้กระทำ
จึงเป็นโจทย์ใหม่สำหรับขบวนการประชาธิปไตยที่อาจถูกขัดขวางจากบางส่วนในพรรค
เพื่อไทยและแนวร่วมที่เล่นเกมยอดปิระมิด
โดยใช้การเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้งกับอำมาตย์
หวังเอาเองว่าทุกอย่างราบรื่น
ผลการออกกฎหมายปรองดองและการแก้ไขรัฐธรรมนูญล้วนแสดงชัดเจนว่าไม่ง่ายดังที่
คิด
นี่ก็เป็นการท้าทายว่า
ขบวนการประชาชนคนเสื้อแดงจะก้าวข้ามปัญหานี้ไปได้หรือไม่
เพราะเมื่อคนพรรคเพื่อไทยขึ้นไปได้อำนาจส่วนหนึ่งในฐานะผู้ปกครอง
ก็หวังจะเล่นเกมยอดปิระมิดโดยการเจรจากับชนชั้นนำ
และจะมีข้อต่อรองให้สลายเสื้อแดง ซึ่งลักษณะนี้คล้าย ๆ
กับหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ ๆ
คณะราษฏรได้อำนาจรัฐระดับหนึ่งก็แตกแยกกันไปโดยการใช้การเจรจากับชนชั้นสูง
อำมาตย์ใหญ่ในเวลานั้นเพื่อความปรองดอง ในที่สุดล้มเหลว
ปรองดองเป็นเรื่องหลอก
เรื่องจริงก็คือคณะราษฎรถูกแบ่งแยกและถูกทำลายทีละครึ่ง
ทีละคนสองคนจนหมดสิ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2490 หมดเชื้อเลยเมื่อ พ.ศ. 2500
สถาปนาอำนาจอำมาตยาธิปไตยพร้อมเผด็จการทหารเต็มรูปแบบ
เพราะคณะราษฎรไม่มีฐานมวลชนพื้นฐาน ขาดคนแห่งฐานปิระมิด
พึ่งเฉพาะข้าราชการพลเรือน ทหารเป็นหลัก ซึ่งไม่ใช่กำลังที่ก้าวหน้า
ไม่ใช่รากหญ้า
ในขณะที่ฝั่งอำมาตย์ขณะนั้นก็รุกยึดอำนาจเอาข้าราชการทหารพลเรือนกลับมาอยู่
ในมือได้
แต่นั่นก็ห้าสิบหกสิบปีมาแล้วที่ประชาชนยังไม่ตื่นตัวทางการเมืองมากพอดัง
ปัจจุบัน
ผ่านรัฐประหารมา 6 ปี ประชาชนเติบใหญ่ เสื้อแดงยกระดับ ขยายตัว
ผ่านการปราบปรามเข่นฆ่าก็เป็นการทดสอบแบบหนึ่งว่ามีจิตใจทรหดอดทนกล้าต่อสู้
กล้าเสียสละหรือไม่ ผ่านการทดสอบทั้งสู้ ถูกปราบ ลุกสู้ใหม่อย่างรวดเร็ว
และเลือกตั้งได้รัฐบาลที่มาจากพรรคที่สนับสนุน ผ่านด่านทดสอบทั้ง 2
เรื่องนี้ได้แล้วจะมัวหลงระเริงกับอำนาจรัฐเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือไม่
ลืมเป้าหมายหนทางไกลที่ตั้งใจจะให้ได้ความเท่าเทียมกันเพื่อนำไปสู่สังคม
ประชาธิปไตยที่แท้จริง ด่านนี้เป็นด่านหินที่ผ่านการทดสอบได้ยากมาก
นี่จึงเรียกว่าเป็นประสบการณ์ใหม่ที่ต้องยืนหยัดต่อสู้ท่ามกลางสิ่งล่อใจ
ด้วยผลประโยชน์และอำนาจปลอม ๆ สั้น ๆ แต่จะมีผลให้เกิดแย่งชิงมวลชน
แย่งชิงผลประโยชน์และอำนาจ
ในฐานะที่มีบทบาทแห่งชัยชนะการต่อสู้ที่ได้รับชัยชนะจะมีปัจจัยแห่งความพ่าย
แพ้เสมอ
ก้าวย่างของประชาชนขณะนี้จึงเป็นประสบการณ์ใหม่ที่ยากกว่าสู้กับกระสุนปืน !