WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Sunday, September 30, 2012

วันศุกร์ชายแดนใต้ร้าง ร้านตลาดปิดเงียบผวาคำขู่

ที่มา ประชาไท

 
ร้านตลาดในชายแดนใต้ร้าง ผวาคำขู่ห้ามทำงานวันศุกร์ หวั่นซ้ำรอยเหตุคาร์บอมบ์สายบุรี เตือนระวังรถประกอบระเบิดหลุดเข้าเมืองยะลา นักวิชาการชี้เป็นการตอบโต้กรณีผู้เห็นต่างแสดงตัวต่อรัฐ

ผวาคำขู่ – ร้านค้าต่างๆ ในเขตเทศบาลเมืองปัตตานี ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ต่างผากันปิดร้านหลังจากมีข่าวลือข่อขู่ไม่ให้เปิดกิจการในวัน ศุกร์ เช่นเดียวกับในพื้นที่จังหวัดยะลาและนราธิวาส จนทำให้ประชาชนได้รับความเดือนร้อน
ผู้สื่อข่าวโรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้ (DSJ) รายงานว่า บรรยากาศทั่วไปในเขตเทศบาลเมืองปัตตานี ในช่วงเช้าวันศุกร์ที่ 28 กันยายน 2555 ค่อนข้างเงียบเหงา เนื่องจากบรรดาพ่อค้าแม่ค้าพากันหยุดขายของ หลังจากมีข่าวลือถึงคำขู่ที่ห้ามประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นำสินค้ามาวางขายตามตลาดนัดในวันศุกร์ ตลอดจนห้ามการประกอบอาชีพอื่นๆ ที่เข้าข่ายต้องหยุดทำการด้วย
โดยข่าวลือดังกล่าว ระบุว่า หากใครไม่เชื่อหรือยังคงดำเนินการค้าขายจะไม่รับประกันความปลอดภัย บ้างก็บอกว่าจะถูกตัดใบหู หรือจะถูกดักยิง มากไปกว่านั้น อาจจะถูกวางระเบิด โดยยกกรณีเหตุระเบิดคาร์บอมบ์ที่บริเวณชุมชนตลาดสดเทศบาล ต.ตะลุบัน อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เมื่อวันศุกร์ที่ 21 กันยายน 2555 ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมากมาพูดกันอย่างกว้างขวาง เป็นเหตุให้ชาวบ้านหวาดกลัวไม่กล้าที่จะนำสินค้ามาวางจำหน่ายตามปกติ
ทั้งนี้ ระหว่างที่ผู้สื่อข่าวโรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้กำลังตระเวนถ่ายรูปตามสถาน ที่ต่างๆในเขตเทศบาลเมืองปัตตานี โดยเฉพาะในย่านเศรษฐกิจ ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาห้ามถ่ายรูป เนื่องจากได้รับการร้องขอจากเจ้าของร้านค้า เนื่องเกรงว่าอาจได้รับอันตรายหากมีการเผยแพร่ภาพถ่ายดังกล่าวออกไป โดยเจ้าหน้าที่ระบุว่า ได้รับการแจ้งเตือนให้ระวังการก่อเหตุ จึงจำเป็นต้องเข้มงวดในการดูแลรักษาความปลอดภัย
ไม่เพียงในเขตเทศบาลเมืองปัตตานีเท่านั้น ในพื้นที่ชุมชนรอบนอก รวมทั้งในอำเภอต่างๆ ในจังหวัดปัตตานี พ่อค้าแม่ค้า รวมทั้งร้านค้าส่วนใหญ่ปิดทำการ เนื่องเกรงว่าอาจจะไม่ได้รับอันตราย ในขณะที่มีโรงเรียนหลายแห่งในพื้นที่ ประกาศหยุดการเรียนการสอนด้วย ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องเพิ่มการดูแลเฝ้าระวังมากขึ้น
ในส่วนของตลาดสดเทศวิวัฒน์ ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับห้างไดอาน่า มีการปิดเงียบทั้งตลาด มีแม่ค้าตั้งแผงขายปลาดุกกับผักสด และพ่อค้าขายเนื้อหมูมีแค่ 2 รายเท่านั้น
สำหรับบรรยากาศโดยทั่วไป มีเจ้าหน้าทั้งทหาร ตำรวจและอส.(อาสาสมัครรักษาดินแดน) ยืนรักษาความปลอดภัยตามจุดต่างๆ โดยเฉพาะในบริเวณที่ยังบางร้านเปิดค้าขายตามปกติอยู่ บรรยากาศดังกล่าว เกิดขึ้นเช่นเดียวกับในพื้นที่ของจังหวัดยะลาและนราธิวาสที่พ่อค้าแม่ค้า ส่วนใหญ่พากันปิดร้าน เนื่องจากหวาดกลัวต่อคำขู่ดังกล่าวเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม หลังจากการละหมาดวันศุกร์ในช่วงเวลาประมาณ 13.00 น.แล้ว ผู้ประกอบการร้านค้าบางส่วนได้เปิดร้านตามปกติ แต่ประชาชนบางส่วนโดยเฉพาะในเขตเทศบาลเมืองปัตตานียังได้รับความเดือดร้อน อยู่ เนื่องจากมีร้านอาหารที่เปิดขายเพียงไม่กี่ร้าน ทำให้ประชาต้องยื้อแย่งกันซื้ออาหารและกับข้าว
เวลา 08.00 น. วันเดียวกัน ที่ตลาดสดพิมลชัย เทศบาลนครยะลา พ.อ.นพพร เรือนจันทร์ รองผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจยะลา และ พ.ท.ชลัช ศรีวิเชียร รองผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจยะลาที่ 11 พร้อมกำลังทหารและอาสาสมัครทหารพราน ออกตรวจสอบการค้าขายของพ่อค้าแม่ค้าชาวไทยมุสลิมในตลาดสดดังกล่าว พบว่ากว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของแม่ค้าชาวไทยมุสลิมต่างปิดร้านหยุดจำหน่ายสินค้า ทำให้บรรยากาศของตลาดสดดังกล่าวเงียบเหงากว่าปกติทุกวัน
วันเดียวกันที่บริเวณตลาดย่านธุรกิจในเขตเทศบาลเมืองนราธิวาส พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) พร้อมด้วยนายอภินันท์ ซื่อธานุวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาสและคณะ เดินเท้าตรวจเยี่ยมให้กำลังใจผู้ประกอบการ ร้านค้าต่าง ๆ ในเขตเทศบาลเมืองนราธิวาส ที่ต่างพากันปิดร้านหลังจากที่มีข่าวลือออกมาว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุห้ามให้ร้าน ค้าโดยเฉพาะร้านมุสลิมจำหน่ายสินค้าในวันศุกร์
ผู้ประกอบการรายหนึ่งกล่าวว่า หลังจากมีกระแสข่าวลือดังกล่าวทำให้บรรดาผู้ประกอบการทั้งพุทธและมุสลิม เดือดร้อนอย่างหนัก ขาดรายได้ไปเป็นจำนวนมาก เพราะช่วงวันศุกร์ถือเป็นวันสุดท้ายของการทำงาน ปกติจะมีผู้คนออกมาจังจ่ายซื้อของมากกว่าทุกวัน และตนเองก็ไม่ทราบแน่ชัดว่าใครเป็นผู้สร้างกระแสข่าวลือนี้ เพราะไม่สามารถหาต้นตอของแหล่งที่มาได้ เพียงแต่เห็นเพื่อนผู้ประกอบการปิดร้านก็เลยปิดตามไปด้วย
แจ้งเตือนระวังคาร์บอมบ์ในเขตเมืองยะลา
พล.ต.ต.พีระ บุญเลี้ยง ผู้บังคับการสถานีตำรวจภูธรจังหวัดยะลา เปิดเผยว่า การข่มขู่ไม่ให้ขายของในวันศุกร์มีมาประมาณ 3-4 สัปดาห์แล้ว ซึ่งสัปดาห์นี้ส่งผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากเกิดเหตุระเบิดคาร์บอมบ์ที่อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานีในวันศุกร์ที่ผ่านมา ตนมองว่าเป็นเรื่องทางจิตวิทยา หากคนในพื้นที่ทำตามคำข่มขู่ของพวกเขา หมายความว่าพวกเขาสามารถท้าทายอำนาจรัฐได้ แต่ในเขตเมืองยะลาไม่พบการโปรยใบปลิวข่มขู่
พล.ต.ต.พีระ เปิดเผยอีกว่า ตนได้สั่งการให้สถานีตำรวจภูธรทุกแห่งของจังหวัดยะลา ประชาสัมพันธ์กับพ่อค้าแม่ค้าทั้งไทยพุทธและมุสลิมเชิญชวนให้ออกมาขายของใน วันศุกร์ตามปกติ แต่เมื่อถึงเวลาละหมาดวันศุกร์ก็ให้ไปละหมาด โดยอธิบายว่า การข่มขู่ดังกล่าวของผู้ก่อการเป็นสิ่งที่ผิด ซึ่งศาสนาอิสลามไม่ได้สั่งให้หยุดขายของในวันศุกร์
พล.ต.ต.พีระ เปิดเผยว่า ล่าสุดได้รับแจ้งจากหน่วยข่าวกรองว่า ในวันนี้คนร้ายได้นำรถยนต์ที่ประกอบระเบิดเป็นคาร์บอมบ์เข้ามาในเขตเทศบาล นครยะลา โดยมีข่าวว่าผู้ก่อการจะนำไปวางระเบิดที่ตลาดพิมลชัย ตลาดรถไฟและถนนสิโรรส จึงสั่งให้ประชาชนจอดรถบริเวณเกาะกลางถนน ห้ามจอดหน้าร้านค้า ซึ่งหากเกิดระเบิดจริง ก็จะไม่เกิดความเสียหายมากนัก พร้อมทั้งได้แจ้งเตือนให้ประชาชนระมัดระวัง และสั่งการให้ผู้ใต้บังคับบัญชาดูแลความปลอดภัยอย่างเต็มที่
พล.ต.ต.พีระ เปิดเผยอีกว่า ทั้งนี้ ตนได้สั่งการมีการตั้งด่านตรวจโดยการเอ็กซ์เรย์รถทุกคันที่ผ่านเข้ามาในเขต เมืองตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ผ่านมาแล้ว รวมทั้งได้ออกตรวจเส้นทางต่างๆ ที่รับผิดชอบโดยบูรณาการร่วมกับกองกำลัง อส. และกำลังทหารจากหน่วยเฉพาะกิจยะลาที่ 11
สำหรับตำรวจได้ตั้งด่านใหญ่ร่วมกับทหารหน่วยเฉพาะกิจที่ 11 ได้แก่ ด่านมลายูบางกอก ด่านท่าสาป ด่านสะพานข้ามแม่น้ำปัตตานี เส้นทางสายบ้านปาโด สายเนินงาม สายโกตาบารู แยกตือเบาะ แยกปรามะ สายบ้านโสร่ง
กอ.รมน.แจงเป็นการคุกคามเสรีภาพ-ผิดหลักศาสนา
ในวันเดียวกัน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) ออกหนังสือชี้แจงในกรณีนี้ว่า เพื่อเป็นการป้องกันการเข้าใจผิดในการนำหลักศาสนาอิสลามอันดีงามไปเบี่ยงเบน กระจายสู่ประชาชน อันก่อให้เกิดผลกระทบต่อการประกอบอาชีพตามปกติ อีกทั้งเป็นการคุกคามต่อสิทธิเสรีภาพ การดำรงชีวิต และประกอบอาชีพของประชาชนผู้เป็นศาสนิกอื่น กอ.รมน.ภาค 4 สน.จึงขอชี้แจงมายังประชาชน ส่วนราชการ ผู้ประกอบการภาครัฐวิสาหกิจให้ได้รับทราบ ดังนี้
1.ดินแดนของประเทศไทยในทั่วทุกพื้นที่ ล้วนมีความยินดีต้อนรับบุคคลทุกเชื้อชาติ ศาสนา เข้ามาพักอาศัย หรือประกอบกิจทางศาสนาตามที่ตนเองมีความเลื่อมใสศรัทธา หากการเข้ามานั้นกระทำโดยถูกต้องตามกฎหมาย และเป็นการกระทำที่มิได้มีผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่น
2.“การห้ามชาวไทยพุทธ-มุสลิม หรือเชื้อสายจีน ประกอบกิจการค้าในทุกวันศุกร์” มิใช่การห้ามที่เป็นไปตามหลักศาสนาอิสลามที่ถูกต้อง โดยตามบทบัญญัติแท้จริงในหลักศาสนาอิสลามนั้นจะส่งเสริมสนับสนุนให้ชาว มุสลิมปฏิบัติธรรมให้เกิดบุญกุศล ด้วยการละหมาดใหญ่ และฟังธรรม อบรมให้จิตใจบริสุทธิ์ มุ่งสู่การประพฤติในสิ่งที่ดีงามในห้วงกลางวัน เวลาประมาณ 12.00-14.00 หลังจากนั้นมุสลิมทุกเพศ ทุกวัยสามารถใช้เวลาที่เหลือในวันศุกร์ประกอบกิจการส่วนตัว รวมทั้งประกอบกิจการที่ยังคั่งค้างอยู่ได้ตามปกติ
3.หลายประเทศที่ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม เช่น ประเทศในพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกกลาง ยุโรปตะวันตก หรือแอฟริกา มิได้ห้ามประชาชนประกอบกิจการในวันศุกร์ แต่ส่งเสริมให้ประชาชนคงปฏิบัติเฉพาะการมุ่งปฏิบัติธรรมให้เกิดผลบุญกุศล ด้วยการร่วมละหมาดใหญ่ และฟังธรรมตามเวลาดังข้างต้น โดยมิได้ห้ามมิให้ใช้เวลาที่เหลือในการประกอบกิจการส่วนตัว หรืออาชีพแต่ประการใด
4.การออกคำสั่งห้ามดังกล่าว ถือเป็นการข่มขู่ต่อประชาชน ที่นอกจากเป็นการคุกคามต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนโดยส่วนรวมแล้ว ยังถือเป็นการนำหลักธรรมของศาสนามาถ่ายทอดในทางที่ผิดเพี้ยน ก่อให้เกิดความเสียหายต่อหลักธรรมอันดีงาม ดังนั้น จึงขอแจ้งให้ประชาชนได้ร่วมปฏิบัติดังต่อไปนี้คือ
ประการที่ 1 ไม่ต้องปฏิบัติตามการข่มขู่สั่งห้ามมิให้ประกอบการค้าในวันศุกร์ เนื่องจากผิดหลักกฎหมาย และศาสนา
ประการที่ 2 ขอประชาชนได้รวมพลังต่อต้านไม่สนับสนุนกลุ่มบุคคลที่มิได้มีจุดมุ่งประสงค์ อันบริสุทธิ์ต่อศาสนา ประชาชน และสังคม ด้วยการยังคงให้ความสำคัญต่อการประกอบกิจกรรมทางศาสนา และสามารถประกอบกิจกรรมส่วนตัว หรือธุรกิจภายหลังจากเสร็จสิ้นการประกอบกิจกรรมทางศาสนา ดังเช่นประเทศมุสลิมทั่วโลกได้ถือปฏิบัติ จนเป็นที่รับทราบกันโดยทั่วไปแล้วจึงแถลงมาเพื่อทราบ

ชี้ตอบโต้กลุ่มเห็นต่างแสดงตัวต่อรัฐ
ผศ.ดร.ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี ผู้อำนวยการศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ (Deep South Watch) กล่าวว่า การข่มขู่ดังกล่าว เป็นการต่อสู้ในทางการเมืองอย่างหนึ่งของขบวนการก่อความไม่สงบในจังหวัดชาย แดนภาคใต้ ในเชิงอัตลักษณ์ทางศาสนาและวัฒนธรรมของพื้นที่ และเพื่อแสดงให้เห็นว่ายังมีศักยภาพอยู่ หลังจากที่มีคนกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐได้ออกมาแสดงตัวต่อ รัฐ
ผศ.ดร.ศรีสมภพ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังเป็นการตอบโต้กรณีที่รัฐออกมาบอกว่า ช่วงนี้พื้นที่เกิดเหตุรุนแรงมีเพียงแค่ 10 – 15 เปอร์เซ็นต์ อีกประมาณ 85 เปอร์เซ็นต์ไม่ใช่พื้นที่ที่มีเหตุรุนแรง แต่การข่มขู่ครั้งนี้ปรากฏว่า ทำให้ประชาชนกลัวไปทั้ง 3 จังหวัด มีพื้นที่ที่หยุดงานน่าจะมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์
ผศ.ดร.ศรีสมภพ เสนอด้วยว่า ประเด็นการข่มขู่ให้หยุดงานในวันศุกร์ ควรที่จะมีการพูดคุยในพื้นที่สาธารณะกันอย่างจริงจังว่า จริงๆแล้ว วันศุกร์เป็นอย่างไร มีความสำคัญอย่างไร แล้วตกลงจะเอาอย่างไร ซึ่งการข่มขู่ลักษณะนี้แม้ประชาชนจะทำตาม แต่ก็ไม่ใช่เพราะเห็นด้วย แต่ทำไปเพราะกลัว ซึ่งการทำตามลักษณะนี้ไม่มีความยั่งยืน เหตุที่กลัวเพราะรัฐไม่สามารถคุ้มครองประชาชนได้ ดังนั้นต้องมาคุยกันว่าจะเอาอย่างไร