ที่มา ประชาไท
นายนิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ กล่าวว่า การมารวมตัวกันครั้งนี้ เนื่องจากครบรอบ 10 ปี ของการเคลื่อนไหวเรียกร้องให้รัฐบาลประกาศใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิหรือซี แอลกับยาดีดีไอ (ddI) ตั้งแต่ปี 2542 จนนำไปสู่การฟ้องร้องให้แก้ไขและเพิกถอนสิทธิบัตรยาต้านไวรัส ddI ซึ่งถือเป็นปฐมบทของการต่อสู้เพื่อการเข้าถึงยาของไทยและเป็นแรงบันดาลใจไป ทั่วโลก นอกจากนี้ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการติดตามตรวจสอบการเจรจาการค้าเสรีที่ ประเทศพัฒนาแล้ว ทั้งกับสหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรปพยายามกดดันให้ประเทศไทยต้องให้ความคุ้มครองด้านทรัพย์สินทาง ปัญญาที่เกินไปกว่าความตกลงทริปส์ที่เป็นมาตรฐานสากล
ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ชี้ว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วง คือการยอมเกินกว่าข้อตกลงที่ว่าด้วยการค้าที่เกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา (ทริปส์พลัส) เช่น การขอจดสิทธิบัตรสิ่งมีชีวิต การยืดระยะเวลาในการคุ้มครองสิทธิบัตรยาจาก 20 ปี ให้เป็น 25 ปี หรือการผูกขาดข้อมูลทางยา (Data Exclusivity) และการยึดจับยาที่ต้องสงสัยว่าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ณ จุดชายแดน จะขัดขวางการเข้าถึงยาของผู้ป่วย และทำลายอุตสาหกรรมยาชื่อสามัญ
“สิ่งสำคัญคือข้อตกลงนี้มันเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพของคน ทุกคนมีโอกาสป่วย และใช้กับยาทุกชนิด ทุกโรค เช่น โรคไต หรือโรคมะเร็ง ที่ยาบางตัวยังติดสิทธิบัตร ทำให้มีราคาแพง เราไม่ได้เรียกร้องเฉพาะยา แต่เรียกร้องให้รัฐบาลทำกติกาในเรื่องสุขภาพ ซึ่งจะครอบคลุมคนทุกคน แค่ยอมรับการผูกขาดข้อมูลทางยา งานวิจัยก็ชี้ชัดว่า จะทำให้ไทยต้องจ่ายค่ายาแพงมากกว่า 80,000 ล้านบาทต่อปี” ผู้อำนวยการฯ กล่าวและว่า “จะเอาชีวิตผู้คนไปแลกให้ได้สิทธิจีเอสพีส่งออกไก่-กุ้ง และอื่นๆมูลค่ารวม 70,000 กว่าล้านบาท มันไม่คุ้มกัน”
นายอภิวัฒน์ กวางแก้ว ประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อฯ กล่าวถึงข้อเสนอว่า ในกรอบการเจรจาเอฟทีเอต้องไม่มีระดับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญามากไปกว่า ข้อผูกพันในข้อตกลงทริปส์ ขององค์การการค้าโลก และประเทศไทยต้องไม่เข้าร่วมเป็นภาคีภายใต้อนุสัญญาการคุ้มครองพันธุ์พืชยู ปอฟ (UPOV) และสนธิสัญญาบูดาเปส ว่าด้วยการฝากจุลชีพในการขอรับสิทธิบัตร
“ขณะนี้ สหภาพยุโรปประกาศเลิกกดดันอินเดียให้ต้องยอมรับทริปส์พลัสในเอฟทีเอแล้ว โดยระบุว่า เพราะจะกระทบกับการเข้าถึงยาชื่อสามัญในราคาที่เป็นธรรม ดังนั้นผู้เจรจาฝ่ายไทยควรเจรจาให้ฉลาดอย่างผู้เจรจาอินเดียบ้าง ไม่ใช่ยอมทุกเรื่อง แลกทุกอย่างแม้แต่ชีวิตของคนในชาติ”
ประธานเครือข่ายฯ กล่าวต่อไปว่า การเจรจาเอฟทีเอต้องเป็นไปตามเจตจำนงของรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2550 มาตรา 190 ที่ว่าด้วยการเจรจาใดๆ ที่มีผลกระทบต่อประชาชน ต้องนำเรื่องนั้นๆ เข้าสู่สภาเพื่อขอความเห็นชอบ โดยต้องนำร่างกรอบเจรจามาทำประชาพิจารณ์ และต้องยึดการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ (HIA) ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติกำลังดำเนินการอยู่
“นอกจากนี้ เราได้มาติดตามและเร่งให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาพัฒนาและนำคู่มือการพิจารณาคำ ขอสิทธิบัตรยามาใช้โดยเร็ว เพื่อขจัดคำขอสิทธิบัตรยาแบบไม่มีวันสิทธิสุด หรือ evergreening patent ลดการผูกขาดตลาดที่ไม่เป็นธรรม และส่งเสริมการเข้าถึงยาที่มีคุณภาพได้เร็วขึ้น” นายอภิวัฒน์กล่าว
ทั้งนี้ ระหว่างการรณรงค์เคลื่อนไหว ที่มีผู้ติดเชื้อเอชไอวีจากทั่วประเทศมารวมตัวกันใช้พื้นที่หน้ากรม ทรัพย์สินทางปัญญา กลางกระทรวงพาณิชย์ จัดกิจกรรมได้มีการรำลึกถึงการต่อสู้เรียกร้องเพื่อให้เพื่อนผู้ติดเชื้อฯ เข้าถึงยาต้านไวรัสสมัย ddI เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว, บทเรียนจากคดียาดีดีไอสู่การเคลื่อนไหวเพื่อการเข้าถึงยา และยังมีการทำกิจกรรม die in คือการที่ผู้ชุมนุมทำท่านอนตายรอบป้ายตั้งรูปนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี ที่ทำท่าอุ้มกุ้ง-ไก่ และมีคำพูดว่า “ส่งออกต้องได้ 15% เราพร้อมแลกชีวิตผู้ป่วยกับจีเอสพี”
ทางด้านองค์การหมอไร้พรมแดน สากล ได้ใช้วาระครบรอบ 10 ปีคดียาดีดีไอกล่าวถึงกระบวนการเคลื่อนไหวของภาคประชาสังคมในประเทศ เพื่อเรียกร้องให้มีการเข้าถึงยาจำเป็นในราคาที่ไม่แพง คดีฟ้องการแก้ไขคำขอจดสิทธิบัตรยาดีดีไอที่ไม่ชอบ และคดีฟ้องเพิกถอนสิทธิบัตรยาดีดีไอถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการเคลื่อน ไหวของเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย ซึ่งศาลทรัพย์สินทางปัญญาได้มีคำพิพากษาว่าผู้ป่วยเป็นผู้มีส่วนได้เสียและ มีสิทธิเป็นโจทก์ฟ้องร้อง และยังมีคำสั่งให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาแก้ไขคำขอจดสิทธิบัตรให้เหมือนเดิม ส่วนคดีฟ้องเพิกถอนสิทธิบัตรยาดีดีไอได้มีการเจรจายอมความกันระหว่างเครือ ข่ายผู้ป่วยและภาคประชาสังคมกับบริษัทยา โดยที่บริษัทยายอมถอนสิทธิบัตรยาในประเทศไทยและเครือภาคประชาสังคมถอนคำฟ้อง
จากการเคลื่อนไหวคดีสิทธิบัตรยาดีดีไอ ได้นำไปสู่การต่อสู้เรียกร้องของภาคประชาสังคมและเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอ วี/เอดส์ ประเทศไทย อาทิ การเรียกร้องให้มีการผลิตยาต้านไวรัสชื่อสามัญ การมียาต้านไวรัสในระบบหลักประกันสุขภาพ การประกาศใช้สิทธิตามสิทธิบัตร (ซีแอล) การต่อสู้คัดค้านการเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรีแบบทริปส์ผนวกของสหรัฐฯ ฯลฯ
---------------------------
เนื้อหาของจดหมายเปิดผนึก มีดังนี้
วันที่ 2 ตุลาคม 2555
เรื่อง ข้อเสนอของภาคประชาสังคมต่อการเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรีและสิทธิบัตรยา
เรียน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
สำเนาเรียน อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา
เครือข่ายภาคประชาสังคม 15 องค์กร ดังรายชื่อท้ายจดหมาย ไม่เห็นด้วยกับท่าทีของกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศที่เร่งรีบที่จะเปิดการ เจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับสหภาพยุโรป โดยไม่รับฟังคำทักท้วงจากภาคประชาสังคมด้านสุขภาพและการเกษตร นักวิชาการ และหน่วยงานของรัฐด้วยกันเอง
กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบด้านสุขภาพและภาคการ เกษตรแม้แต่น้อย แต่กลับคำนึงถึงแต่ผลตอบแทนด้านเศรษฐกิจระยะสั้น ที่ขาดงานวิจัยทางวิชาการสนับสนุนและมีมุมมองคับแคบด้านการค้าเพียงด้าน เดียว ภาระหรือความเสียหายที่เกิดขึ้นจะถูกผลักให้เป็นความรับผิดชอบของหน่วยงาน ของรัฐหน่วยอื่นหรือของประชาชน เพราะกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศมีหน้าที่เพียงการเจรจา แต่ไม่ได้มีส่วนรับผิดชอบใดๆ ต่อผลจากการเจรจา
หลักฐานที่เห็นประจักษ์มากมาย เช่น งานวิจัยทางวิชาการ และบทเรียนจากประเทศกำลังพัฒนาอื่น ทำให้เห็นว่าถ้าประเทศไทยยอมให้มีกรอบการเจรจาที่ยอมให้มีข้อผูกพันด้าน ทรัพย์สินทางปัญญาเข้มงวดไปกว่าเกณฑ์การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาสากล ข้อตกลงเขตการค้าเสรีเช่นนั้นจะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อระบบหลักประกันสุขภาพ ของประเทศ โดยเฉพาะการเข้าถึงยาจำเป็น และภาคการเกษตรของประเทศ ซึ่งผลกระทบรุนแรงมากเสียกว่าการถูกตัดสิทธิจีเอสพี ด้วยเหตุผลที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่รายได้ระดับกลางค่อนข้างสูงด้วยซ้ำ
นอกจากนี้ ระบบการพิจารณาคำขอรับสิทธิบัตรยามีความหละหลวมอย่างมาก จนทำให้มีสิทธิบัตรยาที่ไม่สมควรได้รับการคุ้มครองเกิดขึ้นจำนวนมาก ซึ่งเป็นการสกัดกั้นการแข่งขันของอุตสาหกรรมยาชื่อสามัญและเป็นการผูกขาด ตลาดที่ไม่เป็นธรรม สุดท้ายแล้ว ส่งผลให้ประชาชนสามารถเข้าถึงยาจำเป็นในราคาที่ย่อมเยาได้ช้าออกไป และประเทศต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่สูงโดยไม่จำเป็น
เครือข่ายภาคประชาสังคม 15 องค์กร จึงมีข้อเสนอตรงถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เกี่ยวกับการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีทุกฉบับและสิทธิบัตรยา ดังนี้
1.กรอบการเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรีใดๆ จะต้องระบุให้มีระดับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาไม่มากไปกว่า หรือไม่เข้มงวดไปกว่า ข้อผูกพันในข้อตกลงว่าด้วยการค้าที่เกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา (ข้อตกลงทริปส์) ขององค์การการค้าโลก นอกจากนี้ ประเทศไทยจะต้องไม่เข้าร่วมเป็นภาคีภายใต้อนุสัญญาการคุ้มครองพันธุ์พืชยูปอ ฟ ปี ค.ศ.1991 และสนธิสัญญาบูดาเปสว่าด้วยการฝากจุลชีพในกระบวนการขอรับสิทธิบัตร
2.การเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรีใดๆ จะต้องเป็นไปตามเจตจำนงของรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2550 มาตรา 190 อย่างแท้จริง และยึดผลจากการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ (Health Impact Assessment หรือ HIA) ซึ่งเป็นกลไกตามมติของสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงในการกำหนดกรอบการเจรจา
3.กรมทรัพย์สินทางปัญญาต้องเร่งพัฒนาและนำคู่มือการพิจารณาคำขอสิทธิบัตร ยามาใช้โดยเร็วและให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด เพื่อแก้ไขปัญหาสิทธิบัตรยาที่ไม่มีคุณภาพและไม่สมควรได้รับการคุ้มครอง ซึ่งจะลดภาวะการผูกขาดตลาดที่ไม่เป็นธรรม และส่งเสริมการเข้าถึงยาที่มีคุณภาพในราคาที่ไม่แพงได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
เครือข่ายภาคประชาสังคมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์จะได้ยินและตระหนักถึงความเดือดร้อนที่จะเกิด ขึ้นกับสุขภาพและการดำรงชีพของประชาชน ในการเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรีต่างๆ ประเทศไทยต้องมีจุดยืนเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา ที่ไม่เข้มงวดเกินไปกว่าความตกลงสากลที่ไทยเป็นภาคีอยู่ขณะนี้ ขณะเดียวกันกรมทรัพย์สินทางปัญญาต้องปรับปรุงระบบการตรวจสอบคำขอสิทธิบัตรยา ให้มีประสิทธิภาพและเป็นธรรมมากกว่าที่เป็นอยู่
ด้วยความนับถือ
เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย
คณะกรรมการองค์การพัฒนาเอกชนด้านเอดส์
มูลนิธิเข้าถึงเอดส์
มูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์
เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก
ชมรมเพื่อนโรคไต
เครือข่ายเพื่อนมะเร็ง
มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค
มูลนิธิเภสัชชนบท
กลุ่มศึกษาปัญหายา
มูลนิธิชีววิถี
มูลนิธิบูรณะนิเวศ
มูลนิธิสุขภาพไทย
ชมรมแพทย์ชนบท
กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch)