พรรคภูมิใจไทยได้แจ้งเกิดทางการเมืองเต็มตัวมี ส.ส.เป็นอันดับ 2 ในรัฐบาลรองจากประชาธิปัตย์ หรือเป็นอันดับ 3 ของพรรคการเมืองในประเทศไทย ล่าสุดมีการเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารเรียบร้อยไปแล้ว
นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล เป็นหัวหน้าพรรค นางพรทิวา นาคาศัย เป็นเลขาธิการพรรค เรียกว่าเป็นการแบ่งส่วนระหว่างตัวแทนของนายเนวิน ชิดชอบ และนายสมศักดิ์ เทพสุทิน น่าจะพูดว่านี่คือเจ้าของตัวจริง
พรรคการเมืองนี้มาในรูปลักษณ์ใหม่มีเสื้อสีน้ำเงินเป็นสัญลักษณ์ ภายใต้สโลแกนประชานิยมสังคมเป็นสุข เรียกว่าเอาง่ายๆยิงตรงถึงชาวรากหญ้าเป็นการเฉพาะและไม่ต้องอธิบายความมาก
นายชวรัตน์ที่บอกว่า “ส้มหล่น” ตอนแก่นั้นคลุกคลีตีโมงกับการเมือง แต่ก็เป็นแค่เครื่องเคียงของนักการเมืองใหญ่มาตลอด ไม่มีโอกาสได้มีตำแหน่งใหญ่โตเหมือนการเป็นเจ้าของบริษัทก่อสร้างที่ชื่อชิโนทัยรับงานใหญ่จนโด่งดังพอตัว
ว่าที่จริงแล้วในทางการเมืองก็คงคิดจะปลดระวาง เนื่องเพราะอายุอานามไม่น้อยแล้ว และได้เตรียมการผ่องถ่ายให้ลูกชายหัวแก้ว หัวแหวนคือนายอนุทิน ชาญวีรกูล ที่ยังหนุ่มแน่น และมีความใฝ่ฝันที่จะเติบโตทางการเมือง
และก็ทำท่าจะไปได้สวยมีตำแหน่งรัฐมนตรีรองรับมาแล้ว แต่ เผอิญที่ต้องถูกเว้นวรรคการเมืองเพราะพรรคไทยรักไทยถูกยุบพร้อมกับนายเนวิน ดังนั้นเพื่อไม่ให้ต้องหลุดวงจรการเมือง จึงผลักดันผู้พ่อคือนายชวรัตน์ให้โลดแล่นทางการเมืองเพื่อรักษาพื้นที่เอาไว้ก่อน
และก็ทำได้สำเร็จ เมื่อไทยรักไทยถูกยุบพรรคพลังประชาชนเข้ามารองรับแทน นายชวรัตน์ได้เป็นรองนายกฯระดับเบอร์ 2 รองจากนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และนั่นทำให้เขาได้ทำหน้าที่รักษาการ นายกฯเมื่อนายสมชายต้องพ้นจากตำแหน่ง
รักษาการนายกฯในห้วงที่การเมืองเข้าด้ายเข้าเข็มอันไม่ต่างไปจากนายชัย ชิดชอบ ที่รั้งเก้าอี้ประธานสภาฯเมื่อวัยดึกเช่นเดียวกัน 2 ผู้เฒ่าจึงบรรเลงเพลงการเมืองสอดรับกันพอดิบพอดี
เมื่อกลุ่มเพื่อนเนวินประกาศตัดเชือก “นายใหญ่” เปลี่ยนขั้วไปอยู่กับประชาธิปัตย์
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายสมชาย พรรคเพื่อไทยและเครือข่ายไม่ได้ล่วงรู้ถึงเกมการเมืองที่จะต้องถูก “หักหลัง” นี้มาก่อนก็เลยคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาเกิดขึ้น แต่พอตั้งหลักก็สายไปเสียแล้วจะยุบสภาก็ไม่ได้
เพราะ 2 ผู้เฒ่ากุมอำนาจเอาไว้ในมือ...สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ไปอย่างเจ็บปวดและทำให้พรรคเพื่อไทยยังปั่นป่วนไม่จบจนถึงขณะนี้
แน่นอนว่าพรรคภูมิใจไทยที่มีองค์ประกอบสำคัญเป็นแกนหลักคือนายเนวินและนายสมศักดิ์ โดยมีนายอนุทินที่ขึ้นชั้นมายืนอยู่ในระดับเดียวกันแล้ว คงไม่คิดที่จะทำให้พรรคนี้ให้เป็นเพียงพรรคเฉพาะกิจแน่แต่ต้องการที่จะทำให้เติบโตและเป็นพรรคใหญ่ในอนาคต
เพราะเท่าที่ดูแกนนำนอกเหนือจากบุคคลที่กล่าวไปข้างต้นแล้วยังมีอีกหลายคน เช่น นายสุชาติ ตันเจริญ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ นายสรอรรถ กลิ่นประทุม ที่ยืนอยู่ข้างหลังและมั่นใจว่าพวกเขามีพรรษา พอที่จะต่อสู้กับพรรคการเมืองใหญ่ได้
พอที่จะเทียบบารมีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ นายบรรหาร ศิลปอาชา นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ นายพินิจ จารุสมบัติ หรือใครต่อใครก็ตาม
แม้แต่ประชาธิปัตย์ที่เป็นสถาบันการเมืองก็ตาม
ในอนาคตข้างหน้าพรรคนี้น่าจะมีคนอย่างนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ซึ่งมีทีมงานเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ การบริหารและจัดการมานำพรรคได้ ขณะที่นายเนวินและนายสมศักดิ์ก็พร้อมที่จะเดินไปสู่จุดสูงสุดทางการเมืองเช่นเดียวกัน โดยทำให้พรรคการเมืองใหญ่ หาทุนสู้และพร้อมที่จะสร้าง ส.ส.ที่มาจากอีสาน กลาง เหนือเป็นหลักได้
เรียกว่า “ปลดแอก” ระบบเจ้าของพรรคคนเดียว ตระกูลเดียว.
“สายล่อฟ้า”