WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Tuesday, June 30, 2009

กาลเวลาผ่านไป ‘ใคร’ เจ้าของ ‘ปราสาท’

เวลานี้ “รัฐบาล” หอบแฮ่กๆ!!มือซ้าย “รั้ง” คะแนนศรัทธา มือขวายก “โล่” ยื้อชีพ..เข้าตำรา “ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรก” จริงๆศึกซ่อม “สกลนคร-ศรีสะเกษ” ทำหน้าชายังไม่หายมึน...“เขาพระวิหาร” ข้อพิพาทเรื้อรัง “ขายชาติ-สมบัติกรู”ยังกลายเป็นหมัดทีเผลอ “ตั๊น” หน้าฟากรัฐบาลเกือบ “น็อก”เมื่อครั้งเป็นฝ่ายค้านบอกว่า “สมบัติของไทย” มาวันนี้บอกว่า“เป็นสมบัติเขมร”เดี๋ยวของเขมร..เดี๋ยวของไทย..เอากันให้วุ่นวาย สรุปเข้าข่ายฟัดกัน “แย่งเก้าอี้” เฮ้อประชาชนงงเป็นไก่ตาแตก!! แท้จริงแล้วใครกันแน่ที่มีสิทธิ์ในการครอบครอง“บางกอกทูเดย์” ไม่อยากจะซ้ำเติม เลยเปลี่ยน “แนว”นำเสนอ ด้วยการพลิกตำราหาข้อมูลสู่กาลเวลา “ชิง” เขาพระวิหารให้ประชาชน “คิด” กันเอาเองจะดีกว่า..ว่าใคร “ผิด-ถูก”พ.ศ.2442 “พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์” ค้นพบปราสาทพระวิหาร และเมื่อ พ.ศ.2447ประเทศฝรั่งเศสเข้าครอบครองอินโดจีน ได้ทำสนธิสัญญาปักปันเขตแดน ระบุ ให้ใช้สันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งพรมแดน ซึ่งมีผลให้ปราสาทพระวิหารอยู่ในดินแดนไทย
พ.ศ.2451 ฝรั่งเศสจัดทำแผนที่ฝ่ายเดียวส่งมอบให้ไทยแผ่นหนึ่ง คือ “แผ่นดงรัก” ที่ครอบคลุมพื้นที่ปราสาทพระวิหาร และไม่ได้ใช้แนวสันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งพรมแดน ทำให้ปราสาทพระวิหารในแผนที่อยู่ในดินแดนของกัมพูชา โดยที่รัฐบาลไทยในขณะนั้นไม่ได้รับรองหรือทักท้วงความถูกต้องพ.ศ.2472 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสด็จเยือนปราสาทพระวิหารพ.ศ.2479 ไทยขอปรับปรุงเขตแดน แต่ฝรั่งเศสขอผัดผ่อนพ.ศ.2482 ไทยขอปรับปรุงเขตแดนกับฝรั่งเศสอีกครั้ง แต่ตกลงกันไม่ได้พ.ศ.2484 อนุสัญญาโตเกียวทำให้ดินแดนที่เสียไปเมื่อร.ศ.123 และ ร.ศ.126 บางส่วน รวมถึงปราสาทพระวิหารกลับมาอยู่ในดินแดนไทยพ.ศ.2489 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการยกเลิกอนุสัญญาโตเกียวโดยสนธิสัญญาประนีประนอม โดยมีสหรัฐอเมริกาอังกฤษ และเปรูเข้ามาไกล่เกลี่ยพ.ศ.2492 ประเทศไทยเข้าครอบครองปราสาทพระวิหารโดยใช้หลักสันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งพรมแดน ระหว่างนี้มีการประท้วงจากฝรั่งเศส 3 ครั้งพ.ศ.2493 กัมพูชาเป็นเอกราชจากฝรั่งเศสพ.ศ.2501 กัมพูชาเรียกร้องให้ไทยคืนปราสาทพระวิหารพ.ศ.2502 กัมพูชาฟ้องร้องต่อศาลโลกพ.ศ.2505 ศาลโลกตัดสินให้ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชาด้วยเสียง 9 ต่อ 3พ.ศ.2509 ไทย-กัมพูชา สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอีกครั้ง หลังหยุดชะงักไป 3 ปีพ.ศ.2513 กัมพูชาเปิดเขาพระวิหารให้นักท่องเที่ยวขึ้นชมจากฝั่งประเทศไทยพ.ศ.2518 ปิดเขาพระวิหาร เนื่องจากเขมรแดงยึดอำนาจและเกิดสงครามกลางเมืองพ.ศ.2535 เปิดเขาพระวิหารให้ขึ้นชมอีกครั้ง เมื่อพรรคประชาชนกัมพูชาของสมเด็จฮุนเซนชนะการเลือกตั้งพ.ศ.2536 ปิดเขาพระวิหาร เนื่องจากกำลังเขมรแดงยึดครองพื้นที่เขาพระวิหารพ.ศ.2546 กัมพูชาตัดถนนเข้าไปจนสำเร็จสมบูรณ์หลังจาก
รอคอยมาเป็นเวลาช้านาน แต่ก็มีการห้ามเข้าอยู่เป็นระยะโดยมิได้กำหนดล่วงหน้าพ.ศ.2550 กัมพูชาเสนอองค์การยูเนสโกให้ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก แต่ยังไม่มีข้อสรุปปี พ.ศ.2551 วันที่ 18 มิถุนายน นายนพดล ปัทมะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (ในขณะนั้น)ลงนามยินยอมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่ฝ่ายเดียว ร่วมกับ นายอึง เซียง เอกอัครราชทูตกัมพูชา และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง24 มิถุนายน 2551 ทางการกัมพูชาปิดปราสาทพระวิหารชั่วคราว หวั่นผู้ไม่ประสงค์ดีเข้าไปทำร้ายชาวกัมพูชาในบริเวณใกล้เคียง28 มิถุนายน 2551 ศาลปกครองกลางมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้กระทรวงการต่างประเทศและคณะรัฐมนตรียุติการดำเนินการตามมติ ครม. ที่รับรองการออกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาสนับสนุนให้กัมพูชาจดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ไปจนกว่าคดีจะเป็นที่สิ้นสุดหรือศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น8 กรกฎาคม 2551 องค์การยูเนสโกประกาศรับปราสาทพระวิหารขึ้นเป็นมรดกโลกเฉพาะแต่เพียงตัวปราสาทคำตอบของปี 2551 สิ้นสุดลงที่ นายนพดล ปัทมะลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศโดยในช่วงนั้นโดนตราหน้าว่า “ขายชาติ” เพื่อคนหน้าเหลี่ยมและพรรคพวกเข้าสู่ ปี 2552 ภายใต้การทำงานของรัฐบาล “อภิสิทธิ์เวชชาชีวะ” ก็ยังไม่มีบทสรุป มีแต่ “สุเทพ เทือกสุบรรณ”รองนายกรัฐมนตรี เดินทางไปพูดคุยกับ สมเด็จฮุนเซนนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2551 และมีคำตอบทำนอง “ยกธงขาว” ยอม “จำนน” ให้เขมรเอวัง!!! ■