ที่มา ไทยรัฐ
คอลัมน์ เหล็กใน
เป็นคนไทยรายที่ 3 ที่เสียชีวิตด้วยโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009
แพทย์ระบุว่าเกิดภาวะปอดติดเชื้ออย่างรุนแรงทั้ง 2 ด้าน ระบบการหายใจล้มเหลว ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจตลอดเวลา แม้จะให้ยาต้านไวรัสอย่างเต็มที่แล้วแต่ก็ไม่สามารถยื้อชีวิตได้
ถัดมาอีก 2 วันก็มีผู้เสียชีวิตอีก 2 รายเป็นชาย 1 และหญิง 1
ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่ม 5 ราย
กระทรวงสาธารณสุขระบุว่าผู้เสียชีวิตทั้งหมดติดเชื้อไข้หวัด 2009 ภายในประเทศ
การเสียชีวิตของทั้ง 5 ราย ทำให้นึกถึงคำพูดของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ให้สัมภาษณ์เมื่อครั้งไข้หวัด 2009 ระบาดในเมืองไทยใหม่ๆ เมื่อกลางเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา
ที่เตือนประชาชนอย่าแตกตื่น เพราะมั่นใจว่าสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ และย้ำด้วยว่าจะไม่ให้เกิดการเสียชีวิตขึ้นจากไข้หวัดมรณะนี้
เมื่อมีการสูญเสียเกิดขึ้นแล้ว นายกฯ คงต้องกลับไปทบทวนนโยบายการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคหวัดมรณะนี้ใหม่
ต้องทบทวนด้วยว่าการทำงานของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเข้มข้นด้วย
การเสียชีวิตของผู้ป่วยถึง 5 รายในช่วงเวลาแค่ 4-5 วันนั้น ตอกย้ำว่าการเปลี่ยนนโยบายจากการ "ป้องกัน" เป็นการ"เร่งรักษา" นั้นล้มเหลว
เข้าใจได้ว่าการแพร่ระบาดของโรคนี้รวดเร็วยังกับไฟลามทุ่ง ทำให้การป้องกันทำได้ยาก จึงต้องเน้นการรักษาที่รวดเร็ว
แต่ไม่ใช่จะละเลยเรื่องการป้องกันไปเลย
เพราะกลุ่มผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะพบว่าเป็นกลุ่มนักเรียนชั้นประถม-มัธยม คนในวัยทำงาน และผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่มีการระบาดรุนแรง
แสดงให้เห็นว่าช่องทางใหญ่ของการทะลักของโรคหวัด 2009 เข้าเมืองไทยก็คือสนามบิน
แต่การป้องกันตรงนี้ถือว่าล้มเหลว การตรวจนักท่องเที่ยวไม่เข้มงวด เครื่องเทอร์โมสแกนก็ใช้แค่ช่วงแรกๆ เท่านั้น
เมื่อด่านแรกสกัดไม่อยู่ จะมาป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดภายในประเทศ
ไหวหรือ
โดยเฉพาะโรงเรียนที่เป็นแหล่งแพร่ระบาดที่รวดเร็วที่สุด เพราะนักเรียนจะเรียนด้วยกัน เล่นด้วยกัน และกินด้วยกัน จึงติดเชื้อกันง่ายดายมากๆ
แต่ทุกวันนี้ การป้องกันของโรงเรียนต่างๆ หละหลวมมาก ไม่เข้มงวดเหมือนช่วงแรกๆ ที่จะสั่งปิดโรงเรียนทันทีเมือพบว่ามีนักเรียนป่วยเป็นหวัด 2009
ไม่รู้ว่าเพราะกลัว "แตกตื่น" เกินไปหรือเปล่า จึงทำให้ยอดเด็กติดเชื้อหวัด 2009 พุ่งพรวด
บางโรงเรียนมีนักเรียนเป็นหวัดหยุดเรียนวันละเป็นร้อยคน เพราะไม่แน่ใจว่าจะเป็นหวัดพันธุ์ใหม่หรือเปล่า
ผู้ปกครองรู้ข่าวก็ไม่กล้าให้ลูกๆ ไปโรงเรียน เพราะไม่แน่ใจความปลอดภัย
จนเกิดคำถามว่า มาตรการการป้องกันหายไปไหน?
อย่าให้มีศพต่อๆ ไปอีก แล้วค่อยมาล้อมคอกกันภายหลัง