WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Thursday, July 30, 2009

ข้ามให้พ้นมายาคติ “ปีศาจทักษิณ”

ที่มา ประชาไท

นักวิชาการ สื่อ หรือใครก็ตาม ที่พยายามป่าวประกาศต่อสาธารณะว่า ปัญหาวิกฤตความแตกแยกของคนในชาติเกิดจาก “ทักษิณคนเดียว” ต้องถือว่าเป็นพวกหลอกตัวเอง หลอกสังคมและปฏิเสธความรับผิดชอบต่อปัญหาที่พวกตนมีส่วนสร้างขึ้นอย่างมี “นัยยะ” สำคัญ

เพราะนักวิชาการชั้นนำ ราษฎรอาวุโส สื่อตัวแทนชนชั้นกลางมิใช่หรือ ที่ร่วมกันสร้าง “มายาคติ” ให้ทักษิณซึ่งเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ทำถูกทำผิดได้อย่างเราๆ กลายเป็น “Superman” ด้วยการผลิตวาทกรรม “อัศวินม้าขาว” “อัศวินแห่งคลื่นลูกที่สาม” “อัศวินควายดำ” และต่อมาก็สร้างวาทกรรม “ปีศาจทักษิณ” ให้ตามหลอกหลอนตนเองและสังคมอยู่ทุกวันนี้

เช่น บทความชื่อ “ความเปราะบางของสังคมไทย” ของ ชัยอนันต์ สมุทวณิช ได้ตอกย้ำมายาคติ “ปีศาจทักษิณ” ให้น่าเกลียดน่ากลัวในปัจจุบันและต่อไปในอนาคตอย่างไร สาธุชนโปรดอ่าน…

“…เหตุการณ์การเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ และกลุ่มคนเสื้อแดงนี้ แสดงให้เห็นถึงลักษณะพิเศษของกระบวนการทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งมีอยู่อย่างเต็มรูปเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง ลักษณะพิเศษเหล่านี้ได้แก่

1. เป็นการเคลื่อนไหวที่สนับสนุนตัวบุคคล

2. เป็นการเคลื่อนไหวที่ระดมความสนับสนุนจากประชาชนฐานล่างของสังคม

3. เป็นการเคลื่อนไหวที่มีความรุนแรง

สำหรับกลุ่มพันธมิตรฯ นั้น ยิ่งนานวันก็ยิ่งมีการยกระดับคุณภาพของการเคลื่อนไหว มีการกระจายตัวออกไปตามจังหวัดต่างๆ และปรับตัวจากการเป็น “ขบวนการต่อต้านทักษิณ” ไปเป็นกลุ่มที่ต้องการสนับสนุน “การเมืองใหม่” ในขณะที่มีการระดมทรัพยากรจากสาธารณชน แทนที่จะอาศัยทุนรอนจากบุคคลใดบุคคลหนึ่ง

...น่าเสียดายที่การเมืองไทยในอีกสิบปีข้างหน้า จะวนเวียนอยู่กับปัญหาส่วนตัวของทักษิณ ชาติใดที่ประสบกับชะตากรรมเช่นนี้ ย่อมบั่นทอนสมรรถนะของคนในชาติ และยังทำลายความสามัคคีของชนในชาติอีกด้วย การเมืองแทนที่จะเป็นตัวช่วยแก้ปัญหา หรือเป็นตัวหารกลับเป็นตัวปัญหาเสียเอง คือ เป็นตัวคูณทำให้ความสามารถในการแก้ปัญหาทางสังคม และเศรษฐกิจมีความซับซ้อนมากขึ้น (ตัวสีแดงเน้นโดยผู้เขียน)

ประชาธิปไตยในแต่ละประเทศต่างสะท้อนสังคมของประเทศนั้น ไทยเราเองเพิ่งมี ‘ประชาธิปไตยเต็มใบ’ มาไม่นาน เราพบว่าความเสียหายมีมากกว่าความคุ้มค่า และกลับทำให้ระบอบการเมืองถอยหลัง ...ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าคนคนเดียวสามารถมีการกระทำที่ส่งผลสะเทือนให้แก่สังคมได้มากขนาดนี้ ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า สังคมไทยเราไม่ได้มีความแข็งแกร่งเท่าที่เราเคยเชื่อ” (ตัวหนาเน้นโดยเจ้าของบทความ)
(ผู้จัดการออนไลน์ 12/07/2552)

ขอให้สังเกตข้อความ “ไทยเราเองเพิ่งมี ‘ประชาธิปไตยเต็มใบ’ มาไม่นาน เราพบว่าความเสียหายมีมากกว่าความคุ้มค่า และกลับทำให้ระบอบการเมืองถอยหลัง” นี่คือฐานคิดที่ทำให้นักวิชาการชั้นนำหวนกลับไปพึ่งรัฐประหาร กอดคอกับพวกอำมาตย์ เสนอ “ประชาธิปไตยครึ่งใบ” ที่ทำให้ “พรรคข้าราชการ” มีอำนาจต่อรองเข้มแข็งขึ้นผ่านรัฐธรรมนูญ 2550 ใช่หรือไม่?

นี่คือ “ความรุนแรงทางความคิด” ที่ทำให้เกิด “ความรุนแรงทางกายภาพ” อื่นๆตามมา เช่น การยึดทำเนียบรัฐบาล สนามบินดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ การสลายการชุมนุมของมวลชนเสื้อเหลือง และในด้านกลับก็คือการจลาจลและการสลายการจลาจลของมวลชนเสื้อแดง และรวมทั้งความรุนแรงอื่นๆที่อาจเกิดตามมา แต่ทำไมนักวิชาการชั้นนำจึงมองเห็นเฉพาะความรุนแรงของมวลชนเสื้อแดง?

กลับมาที่ “มายาคติ” เกี่ยวกับทักษิณ เมื่อนักวิชาการ และสื่อตัวแทนชนชั้นกลางสร้างให้ทักษิณเป็น “Superman” หรือ “อัศวิน” ที่จะมากู้วิกฤตเศรษฐกิจชาติ พวกเขา “สดุดี” ประชาชนรากหญ้าว่ามีความคิดก้าวหน้าเข้าใจประชาธิปไตย ใช้สิทธิ์เลือกตั้งโดย “เลือกนโยบาย” พรรค โดยมีความเข้าใจตามรัฐธรรมนูญ 2540 ว่า เลือกพรรคไหนแล้วจะได้ใครเป็นนายกฯ และจงใจมองข้ามข้อบกพร่องของทักษิณ ด้วยการเรียกร้องและนำมวลชนมากดดันศาลรัฐธรรมนูญให้ใช้ “หลักรัฐศาสตร์” ในการตัดสิน “คดีซุกหุ้นภาค 1”

แต่เมื่อพวกเขาเริ่มสร้างมายาคติ “ปีศาจทักษิณ” จากวาทกรรม “รู้ทันทักษิณ” พวกไม่ลังเลที่จะกล่าวหาว่า ประชาชนรากหญ้าโง่ ไร้การศึกษา ถูกซื้อด้วยเงิน ขายสิทธิ์ขายเสียง เป็นม็อบรับจ้าง และสำหรับความชั่วร้ายของทักษิณจะใช้กระบวนการยุติธรรมปกติจัดการไม่ได้ ต้องใช้รัฐประหาร คณะบุคคลและศาลพิเศษเข้ามาจัดการ

อยากจะถามดังๆ ต่อ ข้อสรุปของชัยอนันต์ “ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าคนคนเดียวสามารถมีการกระทำที่ส่งผลสะเทือนให้แก่สังคมได้มากขนาดนี้ ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า สังคมไทยเราไม่ได้มีความแข็งแกร่งเท่าที่เราเคยเชื่อ” ว่า (1) เป็นเรื่องของคนเพียงคนเดียวจริงหรือ? (2) ใครกันแน่ที่มีบทบาทมอมเมาด้วยการบิดเบือนความจริง จนทำให้สังคมไทยอ่อนแอในการใช้เหตุผล และถูกจำกัดเสรีภาพในการแสงความคิดเห็น ด้วยการดึงสถาบันพระมหากษัตริย์มาปิดกั้นการแสดงข้อเท็จจริงและเหตุผลของฝ่ายอื่นๆ ที่เห็นต่าง?

ข้อเสนอ : เราต้องข้ามให้พ้นมายาคติ “ปีศาจทักษิณ”

1. ต้องยอมรับตามเป็นจริงว่าทักษิณคือ “คนธรรมดา” ไม่ใช่ทั้ง “Superman” หรือ “ปีศาจ” ดังนั้น ทักษิณจึงทำถูกทำผิดได้เหมือนมนุษย์ปุถุชนทั่วไป ส่วนที่เขาทำถูกเราต้องยอมรับ ชื่นชม และสานต่อ ส่วนที่เขาทำผิด เขาก็ต้องรับผิดชอบตามกติกาที่เป็นธรรมของสังคมเช่นเดียวกับคนอื่นๆ

2. ชนชั้นนำ นักวิชาการ สื่อ ฝ่ายเสื้อเหลือง ต้องยอมรับความจริงตามข้อ 1 ต้องหยุดสร้างมายาคติ “ปีศาจทักษิณ” ให้หลอกหลอนตัวเองและสังคมอีกต่อไป และต้องยอมรับฟังเหตุผลของชาวบ้านรากหญ้า หรือมวลชนเสื้อแดงว่า ที่ออกมาต่อสู้ไม่ใช่ “เพื่อบุคคลเพียงคนเดียว” แต่เพื่อปกป้องสิทธิของ “เสียงส่วนใหญ่” ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตย

3. คนเสื้อแดงย่อมมีสิทธิ์ต่อสู้เพื่อทักษิณในประเด็นที่เห็นว่าทักษิณ “ไม่ได้รับความเป็นธรรม” ด้วยการใช้เหตุผลและสันติวิธี เพื่อปกป้องบรรทัดฐานที่เป็นธรรมของสังคม แต่ก็ต้องยอมรับข้อผิดพลาดของทักษิณด้วยเช่นกัน (เช่น กรณีฆ่าตัดตอนในสงครามยาเสพติด กรือเซะ ตากใบ และคอร์รัปชั่นที่ต้องพิสูจน์)

4. ทั้งสองฝ่ายต้องยอมรับความเป็นจริงว่า การต่อสู้ทางการเมืองในบริบทสังคมประชาธิปไตยไทยปัจจุบัน ไม่มีทางเป็นไปได้ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเป็นฝ่าย “ได้ทั้งหมด” หรือ “เสียทั้งหมด” ถ้ายังยืนยันแนวทางนี้สังคมคงหนีไม่พ้นการนองเลือด แต่หลังการนองเลือดก็ไม่มีหลักประกันว่าฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายได้ทั้งหมด

5. ดังนั้น ทุกฝ่ายจะต้องให้ความเป็นธรรมกับทักษิณ ให้เขาได้เข้ามาพิสูจน์ตัวเองตามกระบวนการยุติธรรมปกติ และต้องยอมรับว่าในอนาคตระยะใกล้นี้เป็นไปไม่ได้ที่ทักษิณจะกลับมาเป็นนายกฯ อีก เพราะเขาจำเป็นต้องเคลียร์คดีความต่างๆ ของตนเองจำนวนมากซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลาอีกนาน

6. เสื้อเหลืองต้องข้ามพ้นมายาคติ “ปีศาจทักษิณ” และเสื้อแดงก็ต้องข้ามพ้นมายาคติ “Superman ทักษิณ” แล้วมาเรียกร้อง “พรรคเพื่อไทย” (นักการเมืองและพรรคการเมืองอื่นๆ) ให้เลิกดำรงชีพอยู่ด้วยการ “กินบุญเก่า” หรือรอคอย “พึ่งใบบุญ” ทักษิณ แต่ต้องเร่งสร้างนโยบายที่เป็นรูปธรรมเพื่อสร้างการเมืองที่สะอาดโปร่งใส สร้างสังคมที่เป็นธรรมและรัฐสวัสดิการ

คำตอบของการเมืองในอนาคตไม่ควรผูกติดอยู่กับ “ตัวบุคคล” แต่ควรเรียกร้อง “นโยบาย” หรือหนทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมในการเปลี่ยนแปลงสังคมไทย ให้เป็นธรรมและเป็นรัฐสวัสดิการ ซึ่งคนไทยไม่ว่าจะสีไหน หรือไม่มีสีควรยืนยันใน “เป้าหมาย” นี้

และนักการเมืองหรือพรรคการเมืองที่เราจะสนับสนุนจะต้องมีนโยบายที่ตอบสนอง “เป้าหมาย” นี้อย่างเป็นรูปธรรม