WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Monday, July 27, 2009

ดวงตาเห็นธรรม

ที่มา บางกอกทูเดย์

ผ่านพ้นไปด้วยความสุขชื่นมื่น ระหว่างผู้คนที่รักใคร่และสนับสนุนอดีตนายกรัฐมนตรี “ทักษิณ ชินวัตร” ในวันเกิดครบรอบ 60 ปี เมื่อวันที่ 26 ก.ค.ที่ผ่านมาสิ่งที่เห็นและมิอาจปฏิเสธได้ในเวลานี้ คือ คนไทยครึ่งค่อนประเทศ ได้แสดงออกซึ่งความรัก ความศรัทธา และแสดงความกตัญญูต่อ “ผู้นำ” ที่เขาชื่นชอบไม่ต้องมีใครบอกให้ทำ...และไม่มีใครมาบังคับฝืนใจซึ่งนั่นเป็นการแสดงออกด้วยความ “เต็มใจ” และ “จริงใจ” ที่ต้องการมอบสิ่งดีๆ ให้เกียรติกันในวันเกิด ซึ่ง 1 ปีจะมีสักครั้งน่าสนใจกับการ “สื่อสาร” ทางคำพูดของนายกรัฐมนตรี “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”ที่ฝากไปถึง “ทักษิณ ชินวัตร” เนื่องในวันคล้ายวันเกิด“...ท่านคงเหมือนคนอื่น คงอยากมีความสุข แต่ต้องใช้คำว่าถ้าหากท่านจะดวงตาเห็นธรรม ท่านจะมีความสุขมากขึ้น”หากคำว่า “ดวงตาเห็นธรรม” ที่ท่านนายกฯ หมายความถึง คือ...การเห็นแจ้งตามความเป็นจริงในปัญญาความตรัสรู้แจ้งของพระพุทธเจ้าที่ว่า...ความทุกข์ คือสภาพจิตใจที่ถูกบีบคั้นให้เร่าร้อนลำบากเชื่อว่า...ราษฎรคนไทยในเวลานี้ คงยัง “มิอาจหลุดพ้น” เนื่องด้วยความอึดอัดและอัดอั้น จากการกดขี่ของ “ผู้มีอำนาจ”โดยเฉพาะในเนื้อแท้จิตใจของ “ผู้มีอำนาจ” ที่ยังลุ่มหลงยึดมั่นอย่างผิดๆว่าสิ่งนั้นเป็นของเรา...สิ่งนี้เป็นของเราพวกท่านเองที่กำลัง “แบกรับความทุกข์” และเป็นผู้ที่ต้องเรียกร้องหาคำว่า“ดวงตาเห็นธรรม”“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ในฐานะนายกรัฐมนตรี และเป็นคู่ต่อสู้ทางการเมืองของอดีตนายกฯ “ทักษิณ ชินวัตร” เข้าใจถึงคำว่า “ดวงตาเห็นธรรม” มากน้อยเพียงใด??บุคคลที่ยังวนเวียนอยู่ใน “แวดวงการเมือง” เชื่อเถิดว่าร้อยทั้งร้อยยังมิอาจละซึ่ง “กิเลสตัณหา” ซึ่งนั่นถือเป็นเรื่องธรรมดาของปุถุชนเพราะหากใครมี “ดวงตาเห็นธรรม” คงได้ผันตัวตั้งมั่นเข้าสู่ ร่มกาสาวพัสตร์ไปเป็นที่เรียบร้อย...ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลกเมื่อได้ฟังคำตอบของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่พูดส่งต่อไปถึง “ทักษิณชินวัตร” หากกล่าวกันในฐานะที่เป็น “ศาสนิกชน”พระศาสดาไม่ว่าพระองค์ใด มิได้สั่งสอนให้ไปกล่าววาจา “ค่อนแคะ” ส่อเสียดผู้อื่น...เพราะนั่นเป็นผลสะท้อนที่แสดงให้เห็นถึงจิตใจที่ “คับแคบ” เต็มไปด้วย “โมหจริต”

ที่สำคัญ...ไม่มีความเป็น “สุภาพบุรุษ” ไม่ยอมรับและให้เกียรติในตัวบุคคลคนหนึ่งที่เคยโอบอุ้มถึง “กลางใจคนรากหญ้า”งาน “แซยิด” เมื่อวันที่ 26 ก.ค.ที่ผ่านมา...บ่งบอกความจริงแล้วว่า“คนไทยส่วนใหญ่เอาหรือไม่เอาทักษิณ”ใครกัน? ที่แบกรับความทุกข์อย่าง “หนักหน่วง” ไว้ในจิตใจใครกัน? ที่ต้องการแสดงออกซึ่งการยอมรับ...แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับตรงกันข้าม กลายเป็นความเบื่อหน่ายเพราะประชาชนไม่รู้สึกพึงพอใจกับสภาวะที่เป็นอยู่การต่อสู้ทางการเมืองไทยเวลานี้...จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องใช้ ความรู้ความสามารถ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน...อันประกอบด้วยหลักธรรมะเพื่อนำพาประเทศให้พบกับแสงสว่างแห่ง“ความถูกต้อง” เหตุสำคัญเพราะมี เมตตามากกว่า อคติการพ้นทุกข์...ย่อมเกิดจากการปล่อยวางแต่ความเป็นจริง...การต่อสู้เพื่อเรียกร้องความถูกต้องระหว่าง ประชาชน กับ ผู้มีอำนาจ ในประเทศ...ยังไม่ถึงเวลาที่ทำให้จิตใจรู้สึกถึงการปล่อยวางประชาชนกำลัง “ต่อสู้” เพื่อให้การเมืองมี “คุณธรรม” และรักษาเป็นรากฐานให้สืบต่อไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลานเมื่อถึงเวลานั้น...คนไทยคงไม่คิดลังเลในทางดำเนินที่จะ ถอดถอนความทุกข์ ออกจากจิตใจให้หมดสิ้นเมื่อหมดความลังเลสงสัย...ย่อมมั่นคงใน“พระรัตนตรัย” ซึ่งประเทศชาติคงพบกับความสุขความเจริญดังนั้น “ดวงตาเห็นธรรม” ตามแบบฉบับ“อภิสิทธิ์” ที่ยกตัวอย่างกล่าวถึงและตัวท่านเข้าใจจึงไม่ใช่ “การเห็นแจ้งตามความเป็นจริงในปัญญา”เพราะท่านนายกฯ ก็ยังมิอาจปล่อยวางละซึ่ง“กิเลส” ทางการเมืองอย่างนั้นไม่ถือว่า “เห็นธรรม” แต่หน่วงเอาธรรมไว้เป็นอารมณ์!