WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Wednesday, August 26, 2009

‘พินิจ’ ขโมยซีน? 2 หมื่นล้าน-ราคาคุย!

ที่มา บางกอกทูเดย์

ถึงวันนี้แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามยืนยันว่าเศรษฐกิจไทยกำลังจะฟื้นตัว ทุกอย่างจะดีขึ้นภายในทันตาเห็นไตรมาส 4 ของปีนี้แน่นอนทั้งๆ ที่ประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกายังไม่กล้าที่จะฟันธงชี้ชัดแบบประเทศไทยเลยว่า ไตรมาส 4 ปีนี้จะฟื้นแต่รัฐบาลของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีกลับกล้ายืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะ ทั้งๆ ที่ประเทศไทยยังจำเป็นที่จะต้องพึ่งพาตลาดส่งออกของบรรดาประเทศต่างๆ เป็นหลักถือเป็นความเชื่อมั่นที่แม้ว่าจะดูดี เพราะเมื่อเข้ามารับผิดชอบบริหารประเทศแล้ว ก็สมควรจะต้องเชื่อมั่นแต่ขณะเดียวกันก็น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งเช่นกันว่า จะเป็นการเชื่อมั่นจนกลายเป็นประมาทเกินไปหรือไม่???เนื่องจากในขณะนี้ ความชัดเจนต่างๆ ในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลยังมีน้อยเต็มที ที่รัฐบาลพูดซ้ำๆ ก็คือเรื่องของเช็คช่วยชาติ 2,000 บาท เรื่องของเบี้ยผู้สูงอายุ เรื่องของการช่วยเหลือเงินตามโครงการเรียนฟรีซึ่งได้มีการเบิกจ่ายเงินตามวงเงินของแต่ละโครงการไปแทบจะหมดแล้วคำถามที่เกิดตามมาก็คือ แล้วเห็นผลมากน้อยเพียงใดโพลที่บอกว่าประชาชนชอบในเรื่องการแจกเช็คช่วยชาติ2,000 บาทนั้น ไม่ได้สะท้อนว่าสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้จริงมากน้อยเพียงใดเพราะไม่ว่าไปถามใครก็ตาม แม้กระทั่งคนไม่เต็มเต็งว่ามีคนเอาเงินมาแจกให้ฟรีๆ 2,000 บาท จะชอบหรือไม่มีใครหน้าไหนที่จะบอกว่าไม่ชอบฉะนั้น ถูกใจคนที่ได้เงินไปฟรีๆ กับกระตุ้นเศรษฐกิจได้ผลนั้นมันคนละเรื่องกัน

ที่สำคัญถึงวันนี้ยังไม่มีความชัดเจนใดๆ ในเรื่องของมาตรการที่เป็นรูปธรรม ที่เป็น Productivity กับระบบเศรษฐกิจ ที่สามารถจับต้องได้เลยจริงถ้าเศรษฐกิจกำลังจะหมุน ถ้าทุกอย่างกำลังจะกระเตื้องขึ้นจริงๆทำไมบรรดาธนาคารพาณิชย์ต่างๆ จึงยังไม่ยอมที่จะปล่อยสินเชื่อเหมือนในช่วงที่เคยเชื่อมั่นทำไมต้องให้รัฐบาล ให้ นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ออกมาบีบคั้นให้บรรดาธนาคารของรัฐเป็นฝ่ายช่วยระดมกันปล่อยสินเชื่ออุตลุดไปหมด มีการตั้งเป้าที่เพิ่มขึ้นอย่างน่ากลัวจนต้องมีการเปิดช่องให้บรรดาธนาคารของรัฐสามารถแยกบัญชีเพื่อขอรับความช่วยเหลือได้ หากสินเชื่อที่ปล่อยตามคำสั่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเกิดมีปัญหาหนี้เน่าขึ้นมารัฐบาลก็จะชดเชยให้!!!นั่นแปลว่ากระทรวงการคลังเองบังดับธนาคารของรัฐ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจลึกๆ ว่ามีโอกาสเกิดหนี้เสีย ไม่เช่นนั้นคงไม่เปิดช่องให้แบงก์รัฐทั้งหลายคลายกังวลเอาไว้แน่ๆดังนั้น คำถามจึงอยู่ที่ว่าแล้วแบบนี้ความเชื่อมั่นจะมีได้มากมายอย่างที่รัฐบาลบอกจริงหรือเพราะแม้กระทั่งหนึ่งในมังกรการเมืองรุ่นใหม่อย่าง นายพินิจจารุสมบัติ แกนนำตัวจริงเสียงจริงของพรรคเพื่อแผ่นดิน ยังมองเห็นโอกาสที่รัฐบาลมัวแต่เงอะๆ งะๆ ทำอะไรไม่เป็น ทำได้แต่แก้ปัญหาหรือเล่นขายของ สร้างภาพไปวันๆนายพินิจจึงขโมยซีนจากรัฐบาลไปเต็มๆ ด้วยการจุดประกายความหวังว่า จะดึงทุนจากประเทศจีนและชาวจีนโพ้นทะเลให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยในปีนี้ให้ได้ถึง 20,000 ล้านบาทในขณะที่รัฐบาลเองมัวแต่แบะ แบะ ไม่ได้ดำเนินการในเรื่องมาตรการเศรษฐกิจและการลงทุนอย่างจริงจังแต่อย่างใดเพราะแม้แต่ตัวเลขล่าสุดของสภาพัฒน์ รวมทั้งตัวเลขPrivate Investment Index (PII) จะพบว่ายังคงติดลบมาตั้งแต่เดือนมกราคมปีนี้เรื่อยมา จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่กระเตื้องขึ้นเลยแม้แต่น้อยก็เพราะความไม่เชื่อมั่นนั่นเอง

และด้วยเหตุนี้เองนายพินิจซึ่งถือเป็นผู้ประสานการทำงานอยู่เบื้องหลังให้กับกระทรวงอุตสาหกรรมมาอย่างต่อเนื่อง จึงใช้บทบาทในฐานะอุปนายกสมาคมวัฒนธรรมเศรษฐกิจไทย-จีน ตีกินทางการเมืองได้อย่างสบายๆว่าจะช่วยการดึงการลงทุนจากจีนที่มีศักยภาพมาลงทุนในไทยเนื่องจากรัฐบาลจีนมีนโยบายส่งเสริมให้นักธุรกิจจีนออกไปลงทุนในต่างประเทศทั่วโลก ซึ่งนักธุรกิจจีนมีความพร้อมลงทุนทุกแห่งทั่วโลก ไม่ต่ำกว่า 200,000 ล้านดอลลาร์จีนต้องการออกไปลงทุนในกิจการที่ลงทุนสูง เช่น กิจการน้ำมันโรงถลุงเหล็ก รถไฟฟ้า ยานยนต์อ้างว่าจีนมีความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในไทยมาก จีนจะใช้ไทยเป็นฐานการลงทุนแห่งใหม่เพื่อเป็นประตู กระจายสินค้าส่งออกไป“ผมจำเป็นต้องใช้คอนเนกชั่นเข้ามาช่วยดึงการลงทุนในภาวะเช่นนี้ นักธุรกิจที่ลงทุนอยู่ทั่วโลกเขาก็สนใจเมืองไทยแต่ทำอย่างไรให้เขารู้สึกว่า เขากับเราเป็นมิตรกัน ผมคิดว่างานครั้งนี้น่าจะเป็นโอกาสดีสำหรับการดึงการลงทุนเข้าไทย”ไม่รู้เหมือนกันว่ารัฐบาลจะรู้สึกอย่างไร..หน้าชาบ้างหรือไม่หรือว่าเคยชินเสียแล้วหรือแม้กระทั่งไม่ได้ใส่ใจ เพราะมีสิ่งอื่นที่น่าสนใจกว่ากำลังมะรุมมะตุ้มอยู่ฉะนั้น จึงทำให้การตีปี๊บงานสัมมนาธุรกิจไทย-จีน(Thai’Chainese Business Forum) เพื่อจับคู่ลงทุนระหว่างนักธุรกิจชั้นนำของจีนจากสมาคมนักธุรกิจยอดเยี่ยมเชื้อสายจีนทั่วโลก ซึ่งมาจากทั้งจีนแผ่นดินใหญ่และจีนโพ้นทะเล 184บริษัท กับนักธุรกิจไทย 209 บริษัทกลายเป็นทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ ที่นายพินิจหน้าบานและทำให้ นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พลอยหน้าบานตามไปด้วยโดยที่พรรคประชาธิปัตย์รอบนี้ไม่ได้อะไร ตีกินไม่ทัน แถมโดนแย่งซีนไปหมดจนไม่มีที่ให้ยืน

แต่ปัญหาก็คือที่หลังจากนั้นมีการฟุ้งกันอุตลุดว่า ประสบความสำเร็จเกินคาด เนื่องจากนักธุรกิจจีนมีความกระตือรือร้นมากที่จะมาลงทุนในไทย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอสรุปตัวเลขออกมาว่า มีการลงนามในบันทึกความตกลงในความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างกันหรือ MOU มากเป็นประวัติการณ์ถึง 42 ฉบับ คิดเป็นมูลค่าการลงทุน 6,248ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 212,432 ล้านบาทโดยเกี่ยวพันถึง 16 กลุ่ม คือ อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องจักรเพื่อการเกษตรกรรม สิ่งทอและเสื้อผ้างานบริการและการค้า เครื่องประดับ สินค้าหัตถกรรมและของชำร่วย อาหารเครื่องดื่ม บรรจุภัณฑ์ อัญมณี สปา เวชภัณฑ์การท่องเที่ยวและการค้า เฟอร์นิเจอร์ เครื่องหนัง และอื่นๆนั้นเป็นเรื่องจริงแค่ไหน???เพราะเอาเข้าจริงๆ ที่ลงนามเพื่อให้เกิดการลงทุนทันที มีแค่10 ฉบับเท่านั้นส่วนบันทึกข้อตกลงความร่วมมืออื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมการก่อสร้าง อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมแปรรูปวัสดุเหลือใช้จากการเกษตร อุตสาหกรรมยานยนต์ ชิ้นส่วน โรงงานยางรถยนต์ การผลิตไบโอเคมีภัณฑ์ การเลี้ยงสัตว์ อาหารแปรรูปยังคงเป็นเรื่องที่ต้องเวต แอนด์ ซีที่ประกาศหราว่า มั่นใจปี 2553 มูลค่าการค้าการลงทุนจะสูงเกิน 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯหรือประมาณ 2,040,000 ล้านบาทนั้นเป็นมูลค่าที่เว่อร์เกินไปหรือไม่ 2 ล้านล้านบาท มากกว่างบประมาณของประเทศไทย มากกว่าที่นายอภิสิทธิ์และนายกรณ์ดิ้นรนขอกู้ขอเพิ่มเพดานจะกู้ให้ได้ คือ 800,000 ล้านบาทเท่านั้นเองถ้ามีเงินลงทุนเข้ามาขนาดนั้น ไม่เห็นจะต้องวิ่งพล่านขอกู้800,000 ล้านบาทเพื่อมากระตุ้นเศรษฐกิจเลยเพราะแม้นักธุรกิจจีนจะต้องการใช้ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อป้อนอุปสงค์ทั้งในจีนและตลาดส่งออกของจีนทั่วโลก เนื่องจาก

ที่ผ่านมาสินค้าจีนมีปัญหาในเรื่องคุณภาพและการปลอมปนแบบแปลกๆ ทำให้สินค้าจีนขาดความน่าเชื่อถือไปมากดังนั้น การจะย้ายฐานการผลิตมาไทยจึงต้องระวัง เพราะจริงๆ แล้วถามว่าต้นทุนแรงงาน ต้นทุนวัตถุดิบ จริงๆ แล้วในจีนถูกกว่าไทยเยอะอย่างไรก็ตาม ยังไม่ต้องกังวลไป เพราะแหล่งข่าวระดับสูงที่ใกล้ชิดกับคณะรัฐมนตรีของประเทศจีนก็ยอมรับกับ บางกอกทูเดย์ ในเรื่องเหล่านี้ว่าค่าจ้างแรงงานของไทยไม่มีเสน่ห์ หรือไม่มีทางสู้จีนได้เลยประเด็นนี้จึงไม่ใช่แม่เหล็กที่จะดึงจีนให้มาลงทุนในไทยแน่แต่ที่สำคัญที่ทุนจีนตอนนี้ชะงักและรอดูท่าที ก็เพราะ 2 ปัจจัยสำคัญ1. ไม่ไว้วางใจปัญหาการเมืองของไทย ที่นับตั้งแต่รัฐประหารในปี 2549 เรื่อยมาแล้ว ยังไม่เคยที่จะนิ่งอีกเลย2. ความกังวลกับมาตรฐานของกฎหมายไทย โดยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ในมุมมองของต่างชาติ มีความชัดเจนในเรื่องของ2 มาตรฐานมาโดยตลอด ทำให้จีนมองว่าหากนักลงทุนจีนเข้ามาลงทุนในไทยมากๆหากเกิดปัญหาขัดแย้งกันขึ้นมา นักลงทุนจีนจะพึ่งพาระบบกฎหมายของไทยได้อย่างไร“จริงๆ แล้วหากไปดูสถิติทุนจากจีนที่เข้ามามากๆ ในไทยนั้นเข้ามามากในช่วงปี 2546–2547 เพราะความเชื่อถือในนายกรัฐมนตรีของไทยในขณะนั้น แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปทำให้หลังปี 2549 แม้จะมีทุนจากจีนเข้ามาบ้างแต่ก็ไม่ได้มากและที่บอกว่าปีหน้าจะมีการเข้ามาลงทุน 60,000 ล้านดอลลาร์หรือ 2 ล้านล้านบาทนั้น ถ้าไทยยังไม่นิ่งแบบนี้มีชาติไหนจะกล้าเสี่ยง” นักธุรกิจจีนที่ใกล้ชิดกับคณะรัฐบาลของจีน กล่าวดังนั้น หากไทยยังเคลียร์ปัญหาการเมืองไม่ได้ เรื่องอดีตนายกรัฐมนตรีซึ่งประเทศต่างๆ มองว่าเป็นปัญหาในข้อกฎหมายที่ค่อนข้างชัดเจนในเรื่อง 2 มาตรฐานตรงนี้หากรัฐบาลอภิสิทธิ์แก้ไขไม่ได้ อย่าคิดว่าใครจะมาลงทุนต่างชาติรู้เรื่องของไทยดีไม่น้อยกว่าคนไทยหรอก อย่าคิดมาหลอกกันเสียให้ยากเลย ■