ที่มา มติชน เห็นพฤติกรรมของผู้มีอำนาจและผู้ที่เกี่ยวข้องในการอนุมัติขายข้าวสาร และมันเส้นในสต็อกรัฐบาลหมูลค่าเกือบ 20,000 ล้านบาทแล้ว บอกได้คำเดียวว่า เป็น "5ห่วงตัวแม่(พ่อ)"จริงๆ เพราะขนาดถูก(หนังสือพิมพ์)จับได้คาหนัง คาเขา คาปากว่า บริษัท ที่เสนอซื้อเป็นบริษัทในเครือข่ายของที่ปรึกษานางพรทิวา นาคาสัย รัฐมนตรีพาณิชย์และเครือข่ายของครอบครัว"เทพสุทิน"ของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน หัวหน้ากลุ่มวังน้ำยม (พรรคภูมิใจไทย)ต้นสังกัดของนายพรทิวา ซึ่งเข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อน(conflict of interest)ชัดเจน ยังแก้ตัวน้ำขุ่นๆว่า ไม่ทราบ(ไม่สนใจ?)ว่า บริษัทที่ได้รับการอนุมัติให้ซื้อข้าวสารแอละมันสำปะหลังเส้น ใครเป็นใครหรือเกี่ยวโยงกับใคร โดยอ้างว่า เป็นไปตามขั้นตอนที่ถูกต้อง และให้ราคาดี มาดูกันว่า ผลประโยชน์ทับซ้อนในการขายข้าวสารและมันเส้นในสต็อกรัฐลเป็นอย่างไร จากการตรวจสอบข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าพบว่า บริษัท เอ็มทีฯ มี น.ส.ภาวินี จารุมนต์ เป็นหนึ่งในกรรมการผู้มีอำนาจ และถือหุ้นใหญ่โดยบริษัท เม้งไต๋ อินเตอร์เนชั่นแนล ที่เพิ่งก่อตั้งเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2552 มีน.ส.ภาวีนีเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่ด้วย ดัง นั้น จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่นางบุญยิ่ง ภรรยานายวิวัฒน์ได้รับแต่งตั้งเป็นกุนซือของนางพรทิวา (ดู "เปิดหลักฐานเครือข่ายกลุ่มวังน้ำยมเร่งสะสมทุน กินรวบประมูลข้าว -มันเส้นกิน มูลค่า15,000 ล้าน" http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1284900686&grpid=10&catid=no)
สมศักดิ์ เทพสุทิน
โดย ประสงค์ วิสุทธิ์
นอกจากนั้นยังมีคำพูดเก๋ๆให้ดูดีว่า
"การ ค้าเสรี เราปิดกั้นไม่ได้ ใครจะมาซื้อมาขาย หลักๆ เป็นแบบนี้ ใครมาตามกระบวนการ ก็ต้องขาย ไม่ใช่เผด็จการ จะทำแบบนั้นไม่ได้ แล้วคนซื้อจะเป็นใคร เกี่ยวโยงกับใคร เราไม่รู้..."
ทั้งๆที่ถ้า เป็นการค้าเสรีจริงๆ กระบวนการซื้อขายต้องโปร่งใส การแข่งขันต้องเป็นธรรม และไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนเพราะเป็นช่องทางที่อาจทำให้เล่นพรรคเล่นพวกหรือ ใช้อิทธิพลแทรกแซงการประมูลได้ หรือถ้ามีผลประโยชน์ทับซ้อนจริงก็ต้องเปิดเผยให้สาธารณชนรับรู้ก่อน
มิ ใช่ทำแบบลับๆล่อๆอย่างทุกวันนี้โดยอ้างว่า เป็นความลับทางการค้า แต่ความจริงเป็นการปิดประตูตีแมวเพราะขนาดอนุมัติให้ขายให้บริษัทใดแล้ว ยังอ้างว่า ไม่ยอมเปิดเผยชื่อบริษัทเนื่องจาก กลัวถูกขุดคุ้ยว่า มีผลประโยชน์ทับซ้อน
นอกจากนั้น การปกปิดข้อมูลดังกล่าวยังเป็นขัดต่อ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการซึ่งนายกรัฐมนตรีมักพูดในที่ต่างๆว่าให้ความ สำคัญกับกฎหมายฉบับนี้
หนึ่ง ปัจจุบันคาดกันว่า สต็อกข้าวสารของรัฐ(ทั้งในโกดังขององค์การคลังสินค้า-อ.ค.ส. และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร-อ.ต.ก.)มีรวมกันประมาณ 5.6 ล้านตัน
ปรากฏ ว่า ในการขายข้าวที่ฝากไว้กับ อ.ต.ก. 1.5 ล้านตัน มูลค่าเกือบ 20,000 ล้านบาท เมื่อสิงหาคม 2553 คณะทำงานดำเนินการระบายข้าวสาร ซึ่งมีนายมนัส สร้อยพลอย อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เป็นประธาน คัดเลือกผู้เสนอซื้อ 4 ราย ได้แก่ บริษัท ไชยพร บริษัท นครหลวงค้าข้าว และบริษัท เอเชียโกลเด้นท์ไรซ์ ซึ่งทั้ง 3 รายเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ได้ข้าวไปเพียง 4 แสนตัน
ขณะอีกหนึ่งบริษัทโนเนมคือ เอ็มที เซ็นเตอร์เทรด มีทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท ตั้งเมื่อ 20 เมษายน 2551 ได้ข้าวไปถึง 1.1 ล้านตัน มูลค่าไม่ต่ำกว่า 12,000 ล้านบาท
น.ส.ภา วินีและครอบครัว"จารุมนต์"ยังเป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการบริษัท ในกลุ่มของครอบครัว"เทพสุทิน"หลายแห่ง เช่น บริษัท ดี แลนด์ เพอร์เฟคที่ นายเทิดไท-น.ส.ณัฐธิดาบุตรของนายสมศักดิ์ เป็นผู้ถือหุ้น
บริษัท เมก้า แลนด์ มีนายเทิดไท เทพสุทินและ นายภเชศ จารุมนต์ เป็นกรรมการผู้อำนาจ มี นายเทิดไท-น.ส.ณัฐธิดา-นางพร เทพสุทิน เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ร่วมกับน.ส.ธราพัน -นายภเชศ จารมนต์
สอง การประมูลมันเส้นกว่า 250,251 ตัน มูลค่ากว่า 1,400 ล้านบาทจากโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2551/52 เมื่อมิถุนายน 2553
บริษัท ที่ได้รับการคัดเลือกจากคณะทำงานดำเนินการระบายผลิตภัณฑ์มัน สำปะหลังที่มีนายมนัส สร้อยพลอย เป็นประธานคณะทำงาน(อีกแล้ว)คือ กาญจนาพันธ์ ฟาร์ม หนองลังกาฟาร์ม และ ไพรสะเดาฟาร์ม ในเครือของบริษัท กาญจนาฟาร์ม มีนายวิวัฒน์-นางบุญยิ่ง นิติกาญจนา ที่ปรึกษารัฐมนตรีพาณิชย์ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจและผู้ถือหุ้นใหญ่
สำหรับนางบุญยิ่งนั้น ครม.เมื่อ 13 มกราคม 2553 มีมติแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีพาณิชย์
สามี นางบุญยิ่งคือ นายวิวัฒน์ นิติกาญจนา เป็นอดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย จ.ราชบุรี(ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง) สังกัดกลุ่มวังน้ำยมที่มีนายสมศักดิ์ เป็นหัวหน้า
พยาน หลักฐานเอกสารที่เชื่อมโยงบริษัทดังกล่าวเข้ากับกลุ่มวังน้ำยม และที่ปรึกษารัฐมนตรีฯ แม้มิได้บ่งบอกถึงการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบโดยตรง
แต่พฤติการณ์ดังกล่าวขัดต่อระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมืองพ.ศ. 2551 อย่างชัดแจ้ง อันเป็นความผิดตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้รักษาการตามระเบียบต้องดำเนินการ
ถ้านายกฯเพิกเฉย ผู้ตรวจการแผ่นดินต้องเข้ามาสอบสวน ถ้าพบว่าเป็นการฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรงต้องส่งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ไต่สวน
ถ้ายังไม่มีใครทำอะไรอีก ก็เอาระเบียบที่ว่าไปเช็ดก้นยังมีประโยชน์กว่า