WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Saturday, October 2, 2010

ระบอบประชาธิปไตยอันพรั่งพร้อม ด้วยสามัคคีธรรมตามรัฐธรรมนูญ

ที่มา มติชน

โดย เกษียร เตชะพีระ


ปรีดี พนมยงค์


พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ กรมขุนชัยนาทนเรนทร


ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช


ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช

"ประเทศไทยมีการปกครอง

ระบอบประชาธิปไตย

มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข"


หมวด 1 บททั่วไป มาตรา 2


รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย


(23 มีนาคม พ.ศ.2492)


ข้อ ความข้างต้นอาจถือเป็นความพยายามแนวใหม่ภายหลังพระบาทสมเด็จพระปก เกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติเมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ.2477 ในอันที่จะหาสูตรทางการเมืองเพื่อสัมฤทธิผลแห่งการปรองดองระหว่างกลุ่มผู้ ปกครองในระบอบเดิมกับประชาธิปไตย


ดังจะเห็นได้ว่าข้อความนี้กลายเป็น ระเบียบการเมืองสถาปนาของประชาธิปไตยแบบไทยๆ ในกาลต่อมา อาทิ : -


มาตรา 2 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปฏิรูปการเมือง พุทธศักราช 2540 กับมาตรา 2 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับลงประชามติ พุทธศักราช 2550 มีข้อความตรงกันทุกถ้อยกระทงความว่า "ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข" มิไยว่าฉบับแรกจะถูกฉีก ส่วนฉบับหลังจะถูกสร้างโดยรัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ.2549 ของ คปค.ก็ตาม


ข้อ ความดังกล่าวมิเคยปรากฏในรัฐธรรมนูญฉบับใดๆ ก่อนหน้าปี พ.ศ.2492 เลย ไม่ว่าพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475, รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม (10 ธันวาคม พ.ศ.2475), รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (9 พฤษภาคม พ.ศ.2489), และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว 9 พฤศจิกายน พ.ศ.2490)


การ ถือกำเนิดของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2492 โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2491 อันประกอบด้วยสมาชิก 40 คน จากการเลือกตั้งของรัฐสภา, และยกร่างโดยกรรมาธิการ ซึ่งเลือกจากสมาชิกสภาร่างฯด้วยกันเอง 9 คน และมี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช แกนนำพรรคประชาธิปัตย์เป็นประธานนั้น เป็นผลลัพธ์สืบเนื่องโดยตรงจากรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2490 ที่โค่นรัฐบาลของนายกฯ พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ และขับไล่รัฐบุรุษอาวุโส ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์ ออกจากประเทศไป


มัน บ่งชี้ว่าความพยายามของอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ กับพวก ให้เกิดการปรองดองระหว่างกลุ่มผู้ปกครองในระบอบเดิมกับประชาธิปไตยตั้งแต่ ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ผ่านมาตรการทางการเมืองต่างๆ นั้น ในที่สุดไม่บรรุผล กล่าวคือ : -


-ปฏิบัติการต้านญี่ปุ่นร่วมกันระหว่างพลพรรคเสรีไทยใต้ดินในประเทศประสานกับเสรีไทยนอกประเทศ


-การ ตราพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษนักโทษการเมืองคดีกบฏบวรเดช พ.ศ.2476 และกบฏนายสิบ พ.ศ.2478, รวมทั้งลดโทษ 3 ใน 4 ของกำหนดโทษแก่นักโทษการเมืองคดีกบฏเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2481 ในวันที่ 20 กันยายน พ.ศ.2487 เนื่องในโอกาส "วันเกิดในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" รัชกาลที่ 8 (เรียกตามการใช้ภาษาสมัยนั้น ตามประกาศสำนักนายกฯ พ.ศ.2483 ของรัฐบาลพิบูลสงครามที่ให้ใช้คำว่า "วันเกิด" สำหรับบุคคลทุกคน)


-โดยเฉพาะการอภัยโทษ (28 กันยายน 2486) และคืนยศดังเดิมให้ (20 กันยายน 2487) พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ กรมขุนชัยนาทนเรนทร ซึ่ง ต้องโทษคดีกบฏ พ.ศ.2481 และถูกถอดยศ (24 พฤศจิกายน 2482) ในฐานะที่ทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 52 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับเจ้าจอมมารดา ม.ร.ว.เนื่อง (สนิทวงศ์), ต่อมาพระองค์เจ้ารังสิตฯได้ทรงดำรงตำแหน่งประธานคณะผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ในสมัยรัชกาลที่ 9 โดยสภาผู้แทนราษฎรลงมติแต่งตั้งเมื่อ 16 มิถุนายน พ.ศ.2489


-ประกาศพระราชกำหนดนิรโทษกรรมการกบฏและจลาจลทุกครั้ง ที่แล้วมา เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2488 ไม่ว่าจะถูกฟ้องและรับโทษหรือไม่, หนีคดีหรือไม่, เป็นพลเรือนหรือทหาร, ยศชั้นใด ฯลฯ ให้นิรโทษกรรมพ้นมลทิน ไม่มีโทษติดตัว ถือว่าทุกคนบริสุทธิ์เสมือนไม่เคยต้องโทษเลย เพื่อความสามัคคีและส่งเสริมการปกครองในระบอบประชาธิปไตย


-การร่วมกันบริหารประเทศและเจรจาต่อรองกับฝ่ายสัมพันธมิตรช่วงเปลี่ยนผ่านคับขันตอนสิ้นสงครามโลกครั้งที่สองและ


-การ ร่วมกันยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ พ.ศ.2489 ระหว่างกลุ่มอาจารย์ปรีดีกับพวก และฝ่ายอนุรักษ์นิยม-นิยมเจ้าที่มี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช (นายกรัฐมนตรี กันยายน 2488 - มกราคม 2489) และ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช (เลขานุการกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาสังคายนารัฐธรรมนูญ ซึ่งมีอาจารย์ปรีดีเป็นประธาน ปี พ.ศ.2489) เป็นแกนนำสำคัญ โดยยกเลิกข้อห้ามตามมาตรา 11 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม (10 ธันวาคม 2475) ที่กำหนดให้ "พระบรมวงศานุวงศ์ตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไปโดยกำเนิด หรือโดยแต่งตั้งก็ตาม ย่อมดำรงอยู่ในฐานะเหนือการเมือง" ทิ้งไปและเปิดโอกาสให้รวมตัวก่อตั้งพรรคการเมืองได้โดยอิสระในทางปฏิบัติ


แนวทางปรองดองข้างต้นแสดงออกอย่างชัดแจ้งใน คำปราศรัยของนายกรัฐมนตรีปรีดี พนมยงค์ (มีนาคม-สิงหาคม 2489) เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2489 ในวาระปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรชุดสุดท้ายตามรัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคม 2475 ก่อนประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2489 ดังมีเนื้อหาสำคัญบางตอนว่า : -


-นายกฯปรีดีเริ่มด้วยการน้อมสำนึกและรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว


-ท่าน อธิบายย้อนหลังไปถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 ว่าคณะราษฎรมารู้ภายหลังยึดอำนาจแล้ว 6 วัน ว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชประสงค์จะพระราชทานรัฐ ธรรมนูญอยู่ แต่ทรงถูกที่ปรึกษา ข้าราชการชั้นสูงและ "บุคคลคนหนึ่ง" ทัดทานไว้ คณะราษฎรมิได้รู้พระราชประสงค์มาก่อน จึงทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองไปโดยบริสุทธิ์ใจ มิได้ช่วงชิงกระทำดังที่มีผู้ปลุกเสกข้อเท็จจริงให้เป็นอย่างนั้น


-ท่าน ขอซักซ้อมความเข้าใจถึงหลักประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญซึ่งคณะ ราษฎรได้ขอพระราชทานมาจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า ประชาธิปไตย ต่างจาก อนาธิปไตย, มีผู้เข้าใจระบอบประชาธิปไตยผิด เอาอนาธิปไตยเข้ามาแทนที่ นับเป็นภัยต่อประเทศชาติอย่างร้ายแรง


-ประชาธิปไตยนั้นมีระเบียบ ยึดตามกฎหมาย ศีลธรรมและความซื่อสัตย์สุจริต


-ส่วน อนาธิปไตยขาดระเบียบ ขาดศีลธรรม กฎหมายและความซื่อสัตย์สุจริต ใช้สิทธิเสรีภาพโดยไม่อยู่ภายใต้ขอบเขตกฎหมายหรือศีลธรรม โดยไม่สุจริต ก่อให้เกิดความปั่นป่วน ความไม่สงบเรียบร้อย ความเสื่อมศีลธรรม


-ที่สำคัญเมื่อ ประชาธิปไตยเสื่อม ก็นำไปสู่---> "อนาธิปไตย"-->เผด็จการฟาสซิสต์ ในที่สุดเหมือนอิตาลีสมัยมุสโสลินี


-ฉะนั้น หากไม่เอาเผด็จการ ก็ต้องป้องกันขัดขวางอนาธิปไตย ต้องให้ประชาธิปไตยมีระเบียบเรียบร้อย


-"ข้าพเจ้า ไม่มีเหตุผลอันใดที่จะกลายมาเป็นศัตรูของระบอบ ประชาธิปไตย.....ข้าพเจ้าไม่ประสงค์ที่จะให้ผู้ใดเชื่อข้าพเจ้าโดยไม่มีค้าน ข้าพเจ้าต้องการให้มีค้าน แต่ค้านโดยสุจริตใจ ไม่ใช่ปั้นข้อเท็จจริงขึ้น"


-เมื่อ สุจริตใจ ถึงต่างแนวทาง ก็ร่วมมือกันได้ แม้แนวทางที่จะเดินไปสู่จุดหมายจะเป็นคนละแนว แต่ในอวสาน เราก็พบกันได้ ตัวนายกฯปรีดีเองกับเจ้านายหลายพระองค์ ต่างแนวทาง แต่เพื่อส่วนรวมของประเทศชาติเหมือนกัน ก็ร่วมมือกันได้ ถึงบางท่านจะต่อต้านคณะราษฎร แต่ซื่อสัตย์ต่อเจ้าจริง ก็ร่วมมือกันได้ เพราะนายกฯปรีดีเคารพในความซื่อสัตย์ พวกตัวร้ายคือพวกที่อ้างชาติบังหน้า แต่ความจริงทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว อิจฉาริษยา


-โดยสรุป นายกฯปรีดีปฏิเสธอนาธิปไตยและเผด็จการ ท่านเรียกร้องให้สร้าง "ระบอบประชาธิปไตยอันพรั่งพร้อมด้วยสามัคคีธรรมตามรัฐธรรมนูญ"


(อ้างจาก ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์, รัฐสภาไทยในรอบสี่สิบสองปี (2475-2517) (2517), หน้า 519 - 22)


ทว่ากระบวนการสร้าง "ระบอบประชาธิปไตยอันพรั่งพร้อมด้วยสามัคคีธรรมตามรัฐธรรมนูญ" ที่นายกฯปรีดีคาดหวังว่าจะเกิดขึ้นหลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร ไทย (9 พฤษภาคม พ.ศ.2489) อันท่านถือว่าเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ เพราะพฤฒสมาชิกและสมาชิกสภาผู้แทนเป็นผู้ที่ราษฎรเลือกตั้งขึ้นมา อีกทั้งพฤฒสมาชิก, สมาชิกสภาผู้แทนและรัฐมนตรีต้องไม่เป็นข้าราชการประจำ (มาตรา 24, 29, 66) นั้น ต้องประสบโศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่และสะดุดหยุดชะงักไป เนื่องด้วยกรณีสวรรคตด้วยพระแสงปืนของในหลวงรัชกาลที่ 8 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2489


หลังจากนั้นบ้านเมืองก็ระส่ำระสาย มีผู้ฉวยโอกาสจากกรณีสวรรคตปั้นเรื่องมดเท็จกล่าวร้ายป้ายสีอาจารย์ปรีดีและ พวก ก่อให้เกิดความขัดแย้งแตกแยกขยายตัวรุนแรงกว้างขวางออกไป ท่ามกลางภาวะวิกฤตเศรษฐกิจข้าวยากหมากแพง โจรผู้ร้ายชุกชุม นักการเมืองและข้าราชการทุจริตคอร์รัปชั่นและนายทหารถูกปลดประจำการถึงราว 1 ใน 5 ของทั้งหมด หลังสงครามโลกครั้งที่สอง


ระบบการเมืองไทยก็ย่างเข้าสู่สภาพการณ์วิกฤตที่ : -


1) ชนชั้นนำสูญเสียฉันทามติว่าอะไรคือเป้าหมายร่วมกันของบ้านเมือง (the loss of elite consensus)


2) ระบอบการเมืองต่างๆ ที่ผ่านมาล้วนขาดพร่องความชอบธรรมในสายตากลุ่มพลังการเมืองสำคัญไม่กลุ่มใด ก็กลุ่มหนึ่ง (the lack of political legitimacy)


3) ความรุนแรงและฆาตกรรมทางการเมืองกลายเป็นวิธีการที่ทุกกลุ่มฝ่ายใช้กันอย่าง แพร่หลายโดยไม่เคารพกฎกติกาทางการเมือง (political violence & murders)


19 พฤษภาคม 2489 พรรคประชาธิปัตย์เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนายกฯถวัลย์ เจ็ดวันเจ็ดคืน โดยถ่ายทอดเสียงการประชุมทั่วประเทศ แม้รัฐบาลถวัลย์จะชนะเสียงไว้วางใจในสภา (86:55 งดออกเสียง 16 คน) และได้กลับมาบริหารประเทศต่อ แต่ความน่าเชื่อถือก็เสื่อมทรุดลงในสายตาสาธารณชนอย่างหนัก


เมื่อ ประกอบกับการปลุกม็อบเคลื่อนไหวโค่นรัฐบาลนอกสภา ของกลุ่มฝ่ายต่างๆ ก็ทำให้บ้านเมืองเข้าสู่ภาวะอนาธิปไตยไปทุกที (ดูบทวิเคราะห์โดยพิสดารใน KasianTejapira, Commodifying Marxism : The Formation of Modern Thai Radical Culture, 1927-1958 (2001), pp. 71-92)


ใน ที่สุดคณะรัฐประหารอันประกอบด้วยอดีตนายทหารชั้นผู้ใหญ่นอกราชการ (เช่น พลโท ผิน ชุณหะวัณ, นาวาเอก กาจ เก่งระดมยิง, พันเอก เผ่า ศรียานนท์) กับนายทหาร กุมกำลังระดับนายพันในราชการ (เช่น พันเอก สฤษดิ์ ธนะรัชต์, พันโท ประภาส จารุเสถียร) ก็ยึดอำนาจในนาม "ทหารของชาติ" เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2490 โดยความร่วมมือเห็นพ้องและอธิบายแก้ต่างของนักการเมืองและแกนนำพรรคประชา ธิปัตย์ฝ่ายค้านสมัยนั้น (เช่น เลื่อน พงษ์โสภณ, ควง อภัยวงศ์, ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นต้น ดู สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ, แผนชิงชาติไทย : ว่าด้วยรัฐและการต่อต้านรัฐสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ครั้งที่สอง (พ.ศ.2491-2500), 2550, หน้า 89, 103 - 05, 117, 131 - 32)


เป็น อันปิดฉากความพยายามสร้างความปรองดองผ่าน "ระบอบประชาธิปไตยอันพรั่งพร้อมด้วยสามัคคีธรรมตามรัฐธรรมนูญ" และเปิดทางแก่ "ระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข" แทน