ที่มา thaifreenews
โดย bozo
“เสื้อแดงแม้จะมีจำนวนมาก ในระยะหนึ่งมีอำนาจสูงก็จริง
แต่ถ้าไม่เข้าใจสถานภาพของตัวเองก็พังได้
เพราะการเมืองภาคประชาชนต้องรู้จุดยืนว่ายืนอยู่ที่ไหน
เมื่อเสร็จเลือกตั้งเราต้องหวนกลับไปทำการเมืองภาคประชาชน
ถ้าขลุกอยู่แต่ระบบรัฐสภา เรื่องนั้นก็จะยุ่ง
ก็จะเหมือน 14 ตุลา ที่นักศึกษาเข้าไปยุ่งกับปัญหาทุกอย่างของประเทศ...
เมื่อคนเสื้อแดงมีประสบการณ์มาแล้ว เราอย่าไปยุ่ง”
นายวีระ หรือวีระกานต์ มุสิกพงศ์ อดีตประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)
ให้สัมภาษณ์กับ “มติชน” หลังชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้นของพรรคเพื่อไทย
เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ซึ่งไม่อาจปฏิเสธได้ว่าส่วนหนึ่ง มาจากพลังของ “คนเสื้อแดง”
ที่มีความศรัทธาใน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
หรือ “กระแสทักษิณ” จนถึงปรากฏการณ์ “อะเมซิ่งยิ่งลักษณ์”
ฎีกาคนเสื้อแดง
ชัยชนะของพรรคเพื่อไทยหรือการได้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
จึงไม่อาจปฏิเสธที่จะต้องแบกรับความหวังของคนเสื้อแดงและผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยกว่า 15 ล้านเสียง
ซึ่งไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจและข้าวยากหมากแพงเท่านั้น
แต่ยังต้องแก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้มีประชาธิปไตยที่แท้จริง และคืนความยุติธรรมให้กับประชาชน
ในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” อีกด้วย
จึงไม่แปลกที่คนเสื้อแดงจะทวงถามเรื่องฎีกาที่มีรายชื่อจำนวน 3,532,906 คน
ขอพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณต่อสำนักราชเลขาธิการ เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2552
ซึ่งนายวีระครั้งเป็นประธาน นปช. เป็นผู้นำในการถวายฎีกาดับทุกข์ทั้งแผ่นดิน
โดยมีพิธีพราหมณ์บวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก่อนยื่นถวายฎีกา
แต่กว่า 2 ปีในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่มีความคืบหน้า จึงทวงถามรัฐบาลยิ่งลักษณ์
และ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่กำกับกรมราชทัณฑ์
เรื่องการตรวจสอบรายชื่อในใบฎีกา
คืนความยุติธรรม
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. และ ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย
ให้ความเห็นเรื่องฎีกาว่า เป็นหน้าที่ของส่วนราชการที่ควรรายงานความคืบหน้าต่อประชาชน
เพื่อให้เกิดความเข้าใจและรับรู้ตรงกันว่าขั้นตอนไปถึงไหนแล้ว
และเหลือระยะเวลาอีกเท่าไรกว่าจะตรวจรายชื่อครบ
“สิ่งที่ประชาชน 3 ล้านรายชื่อเข้าชื่อถวายฎีกานั้นจะปล่อยให้เงียบหายไปเฉยๆ ไม่มีความคืบหน้า
คงจะไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง กระบวนการทั้งหมดควรได้รับการเปิดเผย และเป็นหน้าที่ของฝ่ายราชการ
ที่ดูแลที่น่าจะให้ข้อเท็จจริงและรายละเอียดได้”
นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ แกนนำ นปช. ที่ร่วมยื่น รายชื่อถวายฎีกาด้วย กล่าวว่า
ขณะนี้ประชาชนมีความคลางแคลงใจว่าเหตุใดชื่อของประชาชน 3 ล้าน รายชื่อ
ที่ร่วมกันขอพระราชทานอภัยโทษให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ
จึงยังไม่มีความคืบหน้า กินเวลานานมากเกินไปหรือไม่
เพราะเป็นความต้องการโดยบริสุทธิ์ใจของประชาชนที่หวังพึ่งพระบารมีและพระราชอำนาจ
เมื่อรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ไม่ยอมทูลเกล้าฯเดินเรื่องให้
รัฐบาลพรรคเพื่อไทยก็ควรทำเรื่องนี้ให้เป็นไปตามขั้นตอน
เพราะฝ่ายกฎหมายได้ตรวจสอบแล้วว่าไม่จำเป็นที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะต้องถูกจำคุกก่อน
วันนี้ประชาชนเริ่มมีความหวัง ถ้ารัฐบาลสามารถดำเนินการได้ตามขั้นตอนก็จะเป็นเรื่องดี
ส่วนจะยื่นก่อนหรือหลังวันที่ 5 ธันวาคมก็ให้เป็นไปตามขั้นตอน
เพื่อให้ความยุติธรรมกับประชาชน แต่ยืนยันว่าจะไม่ก้าวล่วงพระราชอำนาจแน่นอน
อ้างต้อง “จำคุก” ก่อน?
แต่เว็บไซต์ทีนิวส์อ้างรายงานข่าวจากสำนักพระราชวังถึงการยื่นถวายฎีกาดังกล่าวว่า
ให้ยึดตามพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. 2550
ซึ่งมีความชัดเจนตามมาตรา 4 ที่ระบุว่า ผู้ซึ่งจะได้รับพระราชทานอภัยโทษตามพระราชกฤษฎีกานี้
ต้องมีตัวตนอยู่ในความควบคุมของทางราชการ หรือถูกกักขังไว้ในสถานที่หรือที่อาศัย
ที่ศาลหรือทางราชการกำหนด
การยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้กับผู้ใดจึงต้องดำเนินการตามขั้นตอน
และยึดกฎหมายวิธีการพิจารณาคดีความอาญาเป็นบรรทัดฐาน
หากพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่เป็นไปตามกฎหมาย ก็ไม่ควรที่เสนอมา
ขณะเดียวกันกฎหมายยังกำหนดคุณสมบัติด้วยว่าผู้ยื่นถวายฎีกา
ต้องเป็นบุตร ภรรยา หรือญาติสนิทรวมอยู่ด้วย
แต่จากการตรวจสอบจากกรมราชทัณฑ์ที่ส่งเรื่องให้ พล.ต.อ.ประชาพิจารณา
ทำความเห็นเสนอนั้นมีนามสกุล “ชินวัตร” เพียง 3 คน
แต่ไม่ใช่บุตรและภรรยา หนึ่งในจำนวน นั้นคือ น
ายพายัพ ชินวัตร น้องชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งสมัยที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค
เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้ทำหนังสือให้นายพายัพ มาแสดงตัวยืนยัน
แต่นายพายัพไม่ติดต่อกลับมา
ล่าสุดนายพายัพกล่าวถึงกรณีที่นายพีระพันธุ์ระบุว่าตนไม่ได้ยืนยันกลับมาจึงเดินเรื่องต่อไม่ได้ว่า
ยืนยันที่จะร่วมเข้าชื่อเพื่อถวายฎีกา ถ้าหากต้องการหลักฐานอะไรเพิ่มเติมก็พร้อมจะมอบให้
อย่างน้อยก็มีสิทธิในฐานะประชาชนคนหนึ่งและในฐานะเป็นญาติ ซึ่งญาติทุกๆคนก็พร้อมจะร่วมลงชื่อด้วย
แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์จะร่วมยื่นหรือไม่ก็เป็นสิทธิ เนื่องจากดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่
ต้องปฏิเสธอำนาจเผด็จการ
แต่นายมานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ คณะทำงานฝ่ายกฎหมาย พรรคเพื่อไทย
และที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ กล่าวว่า
รัฐบาลไม่ต้อง สนใจเสียงคัดค้าน เพราะพระราชกฤษฎีกาพระราชทาน อภัยโทษ พ.ศ. 2550
ที่ออกในรัฐบาลเผด็จการทหาร ซึ่งยึดอำนาจจากประชาชนนั้นไม่มีความชอบธรรม
หากสนใจว่าบุคคลที่ควรได้รับการอภัยโทษนั้นต้องเคย ถูกดำเนินคดี
หรือต้องรับโทษก่อนก็เท่ากับรัฐบาลประชาธิปไตยชุดนี้ยอมรับรัฐบาลเผด็จการทหาร
ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นที่คณะรัฐมนตรีหรือสภาผู้แทนราษฎร
จะต้องไปแก้พระราชกฤษฎีกาดังกล่าว
แต่กระทรวงยุติธรรมต้องพิจารณาว่าควรทำอย่างไร
เพราะคดีที่ตัดสินให้จำคุก พ.ต.ท.ทักษิณนั้นไม่ชอบธรรมตามระบอบประชาธิปไตย
ส่วน น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวถึงเรื่องฎีกาว่า
ให้ทุกอย่างเป็นไปตามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่จะทำเรื่องต่างๆที่ผ่านมา
ซึ่งเป็นเรื่องที่ตกค้าง เป็นการนำมาพิจารณาตามขั้นตอน
ต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาเรื่องก่อน ไม่มีการเร่งรัดเป็นกรณีพิเศษ
เชื่อคนวางยาปล่อยข่าว
ที่น่าสนใจคือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ได้นำเอกสารมาแจกกับผู้สื่อข่าวและ ชี้แจงว่า
การขอพระราชทานอภัยโทษ รัฐธรรมนูญ มาตรา 191 ระบุว่า
“พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระ ราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษ”
และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 259-267
ผู้ที่ทูลเกล้าฯถวายเรื่องราวหรือผู้ถวายฎีกาคือ
1.ผู้ต้องโทษคำพิพากษา (ม.259)
2.ผู้มีประโยชน์เกี่ยวข้องฯ (ม.259) และ
3.คณะรัฐมนตรี (ม.261 ทวิ)
สำหรับผู้ที่หลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษาและศาล
ได้อ่านคำพิพากษาลับหลังให้ลงโทษจำคุกมีสิทธิได้รับพระราชทานอภัยโทษหรือไม่นั้น
ไม่มีบทบัญญัติกฎหมายใดตัดสิทธิห้าม
และการพระราชทานอภัยโทษเป็นพระราชอำนาจเฉพาะพระองค์
ไม่มีกฎหมายบัญญัติกรอบอำนาจของพระมหากษัตริย์ ว่าจะอภัยโทษในกรณีใดบ้าง
คดีประเภทใดอภัยโทษได้ คดีประเภทใดอภัยโทษไม่ได้
หรือการอภัยโทษต้อง มีเงื่อนไขใดบ้าง หรือต้องจำคุกมาแล้วนานเท่าใด
ส่วนมาตรา 4 และ 5 ก็เป็นกรณีเฉพาะรายที่ขอ
เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา
จึงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อผู้ตกทุกข์ได้ยาก
โดยออกพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวเพื่อกำหนดกฎเกณฑ์และตั้งคณะกรรมการขึ้นมา
พิจารณาการอภัยโทษเป็นรายกรณี ไม่ใช่กรณีเหมารวม
อีกทั้งพระราชกฤษฎีกาก็มีศักดิ์ทางกฎหมายน้อยกว่าพระราชบัญญัติ
อำนาจนอกระบบ
ร.ต.อ.เฉลิมจึงเชื่อว่าเรื่องฎีกามีการปล่อยข่าวและพยายามปลุกระดมให้ต่อต้านรัฐบาล
เป็นแผนของคนบางกลุ่มที่มีวาระซ่อนเร้น เพราะไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน
เนื่องจากเป็นพระราชอำนาจ และทำไมกรมราชทัณฑ์เพิ่งจะมาขยันตอนนี้ 2 ปีกว่าไปทำอะไร
ต้องมีความเป็นธรรมบนพื้นฐานความถูกต้อง
สอดคล้องกับนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ที่ระบุว่า
ขณะนี้มีกลุ่มที่ต้องการจะล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
ซึ่งอาจทำการปฏิวัติรัฐประหารอีกครั้งเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอีกก็เป็นได้
แต่หากประชาชนรวมตัวกันอย่างเข้มแข็งและเหนียวแน่น ใครที่คิดจะล้มรัฐบาลก็คงไม่กล้าทำอย่างแน่นอน
แต่นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ที่เป็นหนึ่งในผู้ถูกตั้งข้อหามาตรา 112 กลับไม่เห็นด้วยกับการขอพระราชทานอภัยโทษ
เพราะเท่ากับ “ยอมรับผิด” ทั้งการดำเนินคดีต่างๆกับ พ.ต.ท.ทักษิณก็ต้องถือว่าเป็นโมฆะทั้งสิ้น
เพราะผิดกระบวนการยุติธรรมที่ถูกต้อง (due process)
ซึ่งนายสมศักดิ์เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณต้องถือว่าเป็นนายกฯที่ได้รับการเลือกตั้ง
ตามกระบวนการที่ถูกต้องคนสุดท้าย ตามหลักการ พ.ต.ท.ทักษิณ
จึงสามารถกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีวันนี้พรุ่งนี้ได้เลยทันทีด้วยซ้ำ
อ้างกดดันสถาบัน!
ขณะที่นายพิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
รองคณบดีคณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)
ให้ความเห็นผ่านรายการ “คนเคาะข่าว” ทาง ASTV News1
ตอบโต้ ร.ต.อ.เฉลิมที่ว่ากฎหมายไม่ได้ห้ามฎีกาผู้หลบหนีคดีนั้น
ความจริงกฎหมายไม่ได้ห้ามตั้งหลายอย่าง
แต่คนที่มีอารยะ มีสามัญสำนึก ต้องรู้ว่าอะไรควรไม่ควร รู้จารีตประเพณีก็ไม่ทำ
อย่างการพระราชทานอภัยโทษตามจารีตประเพณีที่ทำมาแต่อดีต
คนคนนั้นต้องติดคุกมาก่อนและมีความสำนึกในความผิด
นายพิชายให้ความเห็นว่า เจตนาจริงๆคงไม่ได้ต้องการให้ พ.ต.ท.ทักษิณได้อภัยโทษ
ถึงไม่เป็นไปตามกระบวนการที่ควรจะเป็นด้านหนึ่งต้องการสร้างภาพข่าวให้กว้างขวาง
อีกด้านหนึ่งอาจหวังผลทางการเมืองในแง่ของความต้องการกดดันสถาบัน
ความเห็นดังกล่าวจึงไม่ต่างจากบทวิเคราะห์ใน ASTV ผู้จัดการออนไลน์
คอลัมน์ “ผ่าประเด็นร้อน” ที่พาดหัวว่า
“หยุดเอาเปรียบ-หยุดก้าวล่วง-หยุดกดดันพระราชอำนาจ!!”
ซึ่งระบุว่า ร.ต.อ.เฉลิมกำลังทำทุกทางเพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณพ้นผิด
และกลับเข้ามามีอำนาจทางการเมืองโดยเร็วที่สุด
โดยอ้าง “พระราชอำนาจ” เพื่อตัดตอนไม่ให้สังคมวิพากษ์วิจารณ์หรือ “หุบปาก”
และสรุปว่าหากมีการถวายฎีกาในนามของคณะรัฐมนตรี
โดยอ้างรายชื่อของคนเสื้อแดงนับล้านสนับสนุนก็ไม่ต่างจากการใช้วิธี
“กดดันบีบคั้นให้ใช้พระราชอำนาจ”
ม.112 เครื่องมือการเมือง!
ขณะที่เว็บไซต์วิกิลีกส์ได้เผยแพร่โทรเลขสถานทูตสหรัฐประจำประเทศไทย
โดยระบุบันทึกของนายราล์ฟ แอล บอยซ์ อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทยปี 2550
ที่มีข้อความถึงรัฐบาลสหรัฐในหัวข้อ
“คู่มือของการรอดพ้นจากคดีหมิ่นพระบรมฯจากกรณีของชาวสวิส”
ที่อ้างกรณีนายโอลิเวอร์ จูเฟอร์ ชาวสวิส
ที่ถูกตัดสินจำคุก 10 ปี ข้อหากระทำการดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
แต่ได้รับพระราชทานอภัยโทษอย่างรวดเร็วหลังถูกจำคุกเพียง 13 วันว่า
ข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนี้ถูกนำมาใช้เป็น “เครื่องมือทางการเมือง”
ซึ่งชาวอเมริกันเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีนี้ รัฐบาลสหรัฐควรจะต้อง “เงียบเอาไว้”
นายบอยซ์ระบุอีกว่า สำนักพระราชวังนั้นอ่อน ไหวและอึดอัดมากกับมาตรา 112
ที่ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดในทางการเมือง
และยังทำให้มีปัญหาต่อความสัมพันธ์กับประเทศอื่นอีก
เพราะการกล่าวหาผู้อื่นโดยใช้กฎหมายหมิ่นฯเป็นอาวุธที่น่าเกรงขามอย่างหนึ่งในทางการเมืองไทย
ทั้งที่มีพระราชดำรัสจะพระราชทานอภัยโทษแก่ทุกคนที่ทำผิดข้อหานี้
อย่างกรณีนายจูเฟอร์หรืออัยการที่ยกฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ
ปลดล็อก ม.112 เพื่อสถาบัน!
การออกมาเคลื่อนไหวเรื่องฎีกาของคนเสื้อแดง จึงเป็นธรรมดา
ที่กลุ่ม “อำนาจนอกระบบ” จะใช้ “ขาประจำ” ออกมาปลุกระดมว่า
เป็นการ “กดดันและก้าวล่วง” เพื่อให้ใช้ “พระราชอำนาจ”
เพื่อสร้างเงื่อนไขความขัดแย้งรุนแรงในการล้มรัฐบาลเพื่อไทย
และทำลายขบวนการคนเสื้อแดงหากรัฐบาลและคนเสื้อแดงประมาท
หรือประเมิน “อำนาจนอกระบบ” ต่ำเกินไป
นายนิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ เขียนบทความใน “มติชน”
หัวข้อ “ความคลุมเครือ-ที่มาของอำนาจนอกระบบ”
ว่าพัฒนาการทางการเมืองไทยน่าจะเดินมาถึงแพร่งสำคัญที่ต้องเลือกว่าจะไปทางใด
โดยเฉพาะเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ ความจงรักภักดี และมาตรา 112
จึงผิดหวังที่รัฐบาลนี้เลือกที่จะเล่นเกมการเมืองเก่า คือ
ยืนยันความสัมพันธ์ทางการเมืองกับสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ไม่ชัดเจนดังเดิม
ด้วยการประกาศความจงรักภักดีอย่างท่วมท้นของตน
และอย่างที่ฝ่ายค้านวางเส้นทางให้เดิน คือ
ไม่คิดจะทบทวนมาตรา 112 ไม่ว่าในแง่เนื้อหาหรือในแง่ของการปฏิบัติ
เพราะหากยังมีกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอยู่ต่อไปก็ต้องชัดเจนว่า
การกระทำการอย่างใดจึงจะถือว่าละเมิดกฎหมาย
ไม่ปล่อยให้ขึ้นอยู่กับการตีความของเจ้าหน้าที่และผู้ฟ้องร้องตามอำเภอใจ
และเพราะกฎหมายมาตรานี้ถูกนำมาใช้
เพื่อกลั่นแกล้งกันทั้งในเชิงบุคคลและในเชิงการเมืองอยู่เสมอ
จึงจำเป็นต้องสร้างกระบวนการกลั่นกรองการฟ้องร้องที่ละเอียดรอบคอบและโปร่งใส
ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมาทั้งนักรัฐประหารและนักการเมือง
ต่างช่วยกันทำความเสื่อมเสียให้แก่สถาบันตลอดมา และใช้มาตรา 112 เป็นเครื่องมือ
การจะหยุดการทำร้ายสถาบันจึงต้องทบทวน มาตรา 112
เพื่อให้ทุกฝ่ายไม่สามารถทำร้ายศัตรูของตนโดยใช้มาตรานี้เป็นเกราะกำบังอีกต่อไป
การประกาศว่าจะทบทวนมาตรา 112 จึงไม่ได้หมายความว่าไม่มีความจงรักภักดีต่อสถาบัน
ตรงกันข้ามกลับเป็นการขจัดความคลุมเครือในเรื่องนี้ ทำให้เกิดความมั่นคงแก่สถาบัน
เพราะในความคลุมเครือของรัฐอภิสิทธิ์นั้นย่อมไม่มีความมั่นคงแก่สถาบันใดๆทั้งสิ้น
สถาบันกับมือที่มองไม่เห็น
ดังนั้น แม้พรรคเพื่อไทยจะได้ชัยชนะอย่างถล่มทลายจนได้เป็นรัฐบาล
เพราะ “มือที่มองเห็น 15 ล้านเสียง” แต่ก็ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของการต่อสู้
เพื่อให้บ้านเมืองมีประชาธิปไตยที่แท้จริง อย่างที่
ในหนังสือ “อะเมซิ่งยิ่งลักษณ์” เตือนไว้ว่า “มือที่มองไม่เห็น” และ “กองกำลังทราบฝ่าย”
เพียงแค่พักยกเลียแผลใจเพื่อรอเวลาหาจังหวะแทรกซ้อนครั้งใหม่
จาก “นวัตกรรมรัฐประหาร” ที่คนไทยตามไม่ทัน
และอำนาจแทรกซ้อนที่น่ากลัวที่สุดและเปราะบางที่สุดคือการใช้สถาบันมาปลุกระดม
ซึ่งขบวนการ “ดึงฟ้าต่ำ” ก็เป็นบทเรียนที่เจ็บปวดของ พ.ต.ท.ทักษิณ
รวมถึงการใช้ทำลายคนเสื้อแดงที่ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)
และรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ยัดเยียดข้อหาว่าเป็นเครือข่าย “ขบวนการล้มเจ้า” จาก “ผังกำมะลอ”
ที่อุปโลกน์ขึ้นเอง รวมถึงมาตรา 112 ที่กลายเป็น “เครื่องมือทางการเมือง”
ในการกำจัดผู้ที่มีความเห็นต่าง แม้แต่สื่อ นักวิชาการ และชาวต่างชาติก็ถูกกล่าวหา
และถูกคุมขังมากมาย จนประเทศไทยกลายเป็นตัวประหลาดในสายตาของประชาคมโลก
ถึงเวลาแล้วหรือไม่? ที่สังคมไทยจะต้องเปิดใจยอมรับการทบทวนมาตรา 112
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 7 ฉบับที่ 327 วันที่ 10 - 16 กันยายน พ.ศ. 2554 หน้า 16 – 17
คอลัมน์ เรื่องจากปก โดย ทีมข่าวรายวัน
http://www.dailyworldtoday.com/newsblank.php?news_id=12060