ที่มา thaifreenews
โดย ลูกชาวนาไทย
จริงๆ โลกนี้ก็เหมือนกับ Virtual Reality เหมือนใน Matrix คือ มันมีกฎเกณฑ์ทางโครงสร้างของโปรแกรม (ที่เป็น Truth ของโปรแกรมนั้นอยู่) กับกฎเกณฑ์ที่สังคมสร้างขึ้น มันเป็นจริงในสังคมนั้นเท่านั้น และกฎเกณฑ์ที่คนสร้างขึ้นมาบังคับคนอื่น มันมีผลก็ต่อเมื่อคนนั้นมีอำนาจจะใช้บังคับกฎเกณฑ์นั้นเท่านั้น
เรื่อง การให้สัจจะ คือกฎเกณฑ์ที่สร้างขึ้นโดยคน มันจะเป็นจริงก็ต่อเมื่อคนที่ให้สัจจะ ให้สัจจะด้วยความยินยอมพร้อมใจที่จะปฎิบัติตาม คำมั่นสัญญาที่ตัวเองให้ไว้เท่านั้น คนที่ให้สัจจะ อาจให้สัจจะหรือคำมั่นสัญญา เพราะรักฝ่ายตรงข้าม เพราะกลัว เพราะอยากได้สิ่งตอบแทน เพราะความนับถือ
แต่หากไม่มีสิ่งเหล่านั้น การให้สัจจะถูกบังคับ เพราะเป็น กฎเกณฑ์ที่สังคมสร้างขึ้น ว่าเราต้องให้สัญญาว่าจะรัก จะชอบ แล้วสังคมก็สร้าง วิถีประชามาหลอกว่า หากละเมิดสัจจะจะเป็นโน้นเป็นี่ อันที่จริงต่อให้ละเมิดมันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น หากเราไม่ได้หวังว่าจะให้ฝ่ายที่เราให้สัจจะทำอะไรให้เรา เช่น เราละเมิด เขาก็ไม่เลื่อนตำแหน่ง หรือไม่ไว้ใจเรา ทำให้เราไม่ก้าวหน้าในอาชีพ อันนี้ละเมิดย่อมมีผลร้ายต่อคนละเมิด
แต่หากเราไม่ได้หวังอะไร เพราะทำตาม "ประเพณีของสังคมเท่านั้น" มันก็ไม่มีผลอะไร ละเมิดก็ละเมิด ตอนกล่าว "คำมั่นสัญญา" ออกไป ก็กล่าวแบบนกแก้วนกขุนทอง ไปอย่างนั้นไม่ได้สนใจอะไร อย่างมากมันก็มีผลคล้ายกับการสะกดจิต คือ คนกล่าวกลัวไปเอง เพราะหากเชื่อมากๆ มันก็ไปสั่งจิตใต้สำนึก
แต่การสะกดจิตจะไม่มีผลอะไร หากคนรู้ตัวมีสติ ไม่ใส่ใจ เพราะมันเป็นแค่โปรแกรมจิตเท่านั้นเอง
ดัง นั้น ใครจะไปกล่าวสัจจะ หรือคำมั่นสัญญาอะไรในอนาคตอันใกล้นี้ ตามประเพณีอะไรก็ตาม (ประเพณีคือ การทำซ้ำๆ ของสังคม) ก็อย่าไปสนใจ ถือว่าไปร้องเพลง ไปเป็นไทยมุงอะไรประมาณนี้
ผมขำบางคนที่ กล่าวสัจจะไว้ แล้วไม่กล้าละเมิด ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ โง่เหง้า
แต่ หากเราให้สัญญากับใครไว้ด้วยความจริงใจ อันนี้เราต้องรักษาสัญญา เพราะนั่นคือการรักษาเกียรติยศของเราเอง ไม่ใช่รักษาสัญญาเพราะกลัวเป็นอะไรไป แต่รักษาเกียรติยศของเรา