ที่มา ประชาไท
อารีด้า สาเม๊าะ
โรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้ ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ (DSJ)
กรมการ กงสุลเผย พบสาวเหนือ-อีสานถูกตุ๋นค้ากามในแดนเสือเหลืองเป็นพัน เตือนหญิงชายแดนใต้มีสิทธิเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ เผยชีวิตรันทด สาวเหยื่อแก๊งค์ไนจีเรีย ชวนเที่ยวต่างประเทศ ตีสนิทจนท้อง ยัดโคเคนในครรภ์ส่งกลับไทย
ภาพจาก http://icare.kapook.com/missing.php?ac=detail&s_id=61&id=3004
เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2555 ที่โรงแรม บีพี แกรนด์ทาวเวอร์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นายสุวัฒน์ แก้วสุข ผู้อำนวยการกองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ เป็นวิทยากรบรรยายหัวข้อ การดูแลคนไทยในต่างประเทศ ในการสัมมนานักจัดรายการวิทยุมุสลิมระดับภูมิภาค ระหว่างวันที่ 6 - 7 กุมภาพันธ์ 2555 มีนักจัดรายการวิทยุจาก 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าร่วม ประมาณ 80 คน
นายสุวัฒน์ บรรยายว่า กรมการกงสุลเคยบันทึกสถิติไว้ว่า มีคนไทยที่ไปติดคุกในประเทศมาเลเซียมากถึง 1,400 คน ในจำนวนนี้มีถึง 400 คนที่ถูกจับกุมข้อหามีสารเสพติดไว้ครอบครัว และ 24 คนถูกศาลมาเลเซียตัดสินประหารชีวิต
นายสุวัฒน์ บรรยายว่า ทุกวันนี้มีคนไทยเดินทางออกนอกประเทศทุกวัน โดยเป็นนักท่องเที่ยวกว่า 2,000,000 คน เดินทางไปตั้งรกรากในต่างประเทศทั่วโลกกว่าร้อยประเทศ รวม 1,000,000 กว่าคน และขายรายงานกว่า 500,000 คน ในจำนวนนี้ เป็นแรงงานในโควตาของกระทรวงต่างประเทศปีละ 100,000 คน
นายสุวัฒน์ บรรยายว่า คนไทยในต่างประเทศจำนวนหนึ่งสร้างปัญหาซับซ้อนให้เจ้าของประเทศมาก เนื่องจากไปละเมิดกฎหมายต่างประเทศ แต่การช่วยเหลือและติดต่อขอให้ส่งตัวกลับประเทศไทย เป็นเรื่องที่ยุ่งยากมาก เพราะบางคนถูกตัดสินโทษประหารชีวิต ซึ่งสำนักงานกงสุลไทยในประเทศเหล่านั้นเข้าไปช่วยเหลือไม่ได้
นายสุวัฒน์ บรรยายว่า คนไทยที่มีพฤติกรรมชอบละเมิดกฎหมายต่างประเทศ ต้องระวังให้ดีเพราะกฎหมายต่างประเทศเข้มแข็งกว่าไทย กรมการกงสุลไทยแทบจะไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือได้ ตัวอย่าง 24 รายที่ถูกศาลมาเลเซียสั่งประหารชีวิต หลังจากจับได้ว่าค้ายาเสพติด กรมการกงสุลจะช่วยเหลือด้านคดียากมาก ถ้าไม่ใช่ครอบครัวผู้เสียหายจัดการเอง แต่หลายคนจะเข้าใจผิด คิดว่าสถานกงสุลไทยในต่างประเทศจะสามารถช่วยเหลือด้านคดีได้
นายสุวัฒน์ บรรยายอีกว่า ปัญหาใหม่ที่ประเทศไทยกำลังประสบอยู่ตอนนี้คือ มีคนไทยจำนวนไม่น้อยถูกหลอกไปใช้แรงงานในประเทศมาเลเซีย โดยมีนายหน้ามารับตัวไป แล้วส่งไปอยู่ตามร้านเสริมสวย สปา และส่วนมากถูกบังคับให้ค้าประเวณีด้วย บางรายถูกเจ้านายข่มขืนจนตั้งท้อง เนื่องจากกฎหมายมาเลเซียห้ามทำแท้ง ทำให้ต้องปล่อยให้คลอดลูกออกมา จึงยิ่งตอกย้ำให้ชีวิตในต่างแดนรันทดมากขึ้น
“ปีที่ผ่านมา มีสถิติที่ได้จากการร้องเรียนว่าถูกบังคับให้ขายบริการทางเพศเกินกว่า 1,000 ราย ซึ่งนั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ยังมีอีกส่วนที่ยินยอมค้าประเวณี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนภาคอีสานและภาคเหนือ แต่ยังไม่ทราบชัดเจนว่า มีสาวมุสลิมจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ค้าประเวณีด้วยหรือไม่” นายสุวัฒน์ กล่าว
นายสุวัฒน์ บรรยายว่า ผู้ที่หลอกสาวไทยไปค้าประเวณีส่วนใหญ่ มักเป็นผู้ใกล้ชิดหรือญาติสนิทที่หลอกว่าจะหางานให้ทำในต่างแดน แต่เมื่อข้ามชายแดนไปแล้วจะมีผู้รอรับไปส่งยังสถานที่เป้าหมาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นร้านอาหารไทย หรือร้านสปานวดเท้า จึงขอให้ระวังตัวด้วย เพราะเป็นเรื่องใกล้ตัวที่อาจจะประสบกับบุตรหลานของชาวจังหวัดชายแดนใต้ได้ เนื่องจากเดินทางไปฝั่งมาเลเซียบ่อย
นายสุวัฒน์ บรรยายด้วยว่า ยังมีหญิงไทยที่มักถูกแก็งค์ชาวต่างชาติหลอกให้ขนยาเสพติดข้ามประเทศทั้งที่ รู้ตัวและไม่รู้ตัว โดยเฉพาะจากหนุ่มชาวประเทศไนจีเรียที่เจ้าหน้าที่ความมั่นคงของไทยเฝ้า ติดตามมาระยะหนึ่งนั้น พบว่า มีการทำเป็นขบวนการที่ซับซ้อนและมีการกระทำทารุณต่อผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อ อย่างมาก
นายสุวัฒน์ บรรยายว่า เส้นทางการลำเลียงยาเสพติดของชาวไนจีเรีย จะมีการติดต่อสื่อสารกับสาวไทยผ่านโปรแกรมแชททางอินเตอร์เน็ต ซึ่งสาวไทยจะรับสัมพันธ์ด้วยแม้ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน โดยชายชาวไนจีเรียกลุ่มนี้จะซื้อตั๋วเที่ยวต่างประเทศและโอนเงินให้สาวไทย ใช้หลายครั้ง เพื่อให้เหยื่อตายใจ และเมื่อถึงขั้นสนิทสนมกันแล้ว ก็จะหลอกให้ส่งของกลับมายังประเทศไทย โดยที่เหยื่อไม่รู้ตัว หลังจากนั้นหนุ่มไนจีเรียจะข่มขืนเหยื่อจนตั้งท้อง เพื่อให้สามารถส่งของผ่านด่านตรวจได้ง่ายขึ้น
“แก๊งค์ค้ายาจะให้สาวท้องกลืนโคเคนเข้าไปในท้อง เมื่อเดินทางกลับมาถึงประเทศไทย ก็จะให้เหยื่อถ่ายออกมา แล้วส่งต่อให้พ่อค้ายาเสพติดในประเทศไทย” นายสุวัฒน์ กล่าว
นายสุวัฒน์ บรรยายต่อไปว่า รายล่าสุดที่กรมการกงสุลสามารถช่วยเหลือมาได้ คือเหยื่อสาวไทยที่ถูกจับได้ในประเทศกัมพูชา และถูกศาลประเทศกัมพูชาตัดสินจำคุก 29 ปี แต่สาวไทยคนนี้คลอดลูกในเรือนจำที่นั่น ซึ่งสร้างความโกลาหนให้เจ้าหน้าที่กัมพูชามาก กรมการกงสุลจึงติดต่อขอตัวเด็กกลับมาจดทะเบียนเป็นคนไทยและส่งตัวให้สถาน ดูแลเด็กกำพร้าเลี้ยงดูต่อไป