ที่มา Thai E-News
โดย รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
ที่มา โลกวันนี้วันสุข
ฉบับวันศุกร์ที่ 14 กันยายน 2555
วิกฤตการ เมืองในระยะกว่าหกปีมานี้ สื่อมวลชนกระแสหลักของไทย ทั้งฟรีทีวี วิทยุ และหนังสือพิมพ์ค่ายต่าง ๆ ล้วนเป็นกลุ่มผู้ร่วมสมคบก่อเหตุที่สำคัญที่สุดกลุ่มหนึ่ง จนอาจกล่าวได้ว่า คนพวกนี้ “มือเปื้อนเลือด” ไม่ได้น้อยไปกว่าพวกอันธพาลการเมืองที่เรียกตัวเองว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
เบื้อง หลังพฤติการณ์ของสื่อมวลชนกระแสหลักเหล่านี้ก็คือ ความคิดที่รับใช้เผด็จการ ผนวกกับผลประโยชน์ทางธุรกิจ ทั้งของนายทุนเจ้าของสื่อและนักสื่อสารมวลชนอาชีพเกือบทุกระดับ
สื่อสาร มวลชนในยุคปัจจุบันที่เป็นค่ายใหญ่ ๆ เป็นธุรกิจมูลค่านับหมื่นล้านบาท มีเครือข่ายโยงใยผลประโยชน์ไปยังเครือข่ายราชการที่อยู่ในอำนาจรัฐและสาย สัมพันธ์กับพรรคการเมืองเก่าแก่บางพรรค อยู่ภายในโครงครอบทางอำนาจและอุดมการณ์จารีตนิยมที่คอยบ่อนทำลายระบบการ เมืองแบบเลือกตั้งในประเทศไทยมาทุกยุคสมัย อิงแอบอำนาจและแบ่งปันผลประโยชน์กับพวกเผด็จการแฝงเร้นจนแยกกันไม่ออก
การเมือง แบบเลือกตั้งที่ถูกตัดตอนด้วยรัฐประหารครั้งแล้วครั้งเล่านั้น เต็มไปด้วยจุดอ่อนมากมาย สื่อมวลชนกระแสหลักจึงรับหน้าที่เป็นแกนหลักในการเผยแพร่และตอกย้ำวาทกรรม “นักการเมืองเลว” มาทุกยุคสมัย ปั่นกระแสในหมู่คนชั้นกลางในเมืองให้เกลียดชังนักการเมือง สร้างเงื่อนไขทางความคิดในหมู่ประชาชน ที่นำไปสู่รัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและฉีกรัฐธรรมนูญทุก ครั้งนับตั้งแต่ปี 2519 เป็นต้นมา
นักสื่อ มวลชน ตั้งแต่ผู้บริหารระดับสูง ลงมาถึงบรรณาธิการ คอลัมนิสต์ คนเขียนข่าว จนถึงคนอ่านข่าวหน้าจอทีวีและวิทยุ เป็นกลุ่มวิชาชีพพิเศษเช่นเดียวกับนักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัย คือสถาปนาตนเองเป็นฐานันดรที่แยกจากประชาชนทั่วไป ด้วยการสมมติ “จรรยาบรรณและจริยธรรม” ชุดหนึ่งขึ้นมา ให้สาธารณชนเชื่อว่า พวกตนเป็นกลุ่มคนที่มีความสูงส่งทางสติปัญญา สถานะ ความรู้ เต็มไปด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและคุณธรรม คนพวกนี้รวมตัวกันอยู่ในองค์กรอาชีพ เป็นสมาคมสื่อมวลชนประเภทต่าง ๆ มีจุดประสงค์หลักคือ ปกป้องผลประโยชน์และสถานะของคนในอาชีพมิให้ถูกตรวจสอบจากสาธารณชน มีกิจกรรมหลักคือ เชิดชูกันเอง ให้รางวัลกันเองไปมา และคอยข่มขู่ผู้คนที่กล้าวิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบพวกเขาว่า “คุกคามสื่อ”
มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่ดีพอ สูงส่งพอ สะอาดพอที่จะไปตรวจสอบ ชี้นิ้วประณามคนอื่นได้หมด แต่สังคมไม่มีสิทธิ์ตรวจสอบคนพวกนี้
คนพวกนี้ สังกัดกลุ่มทุนสื่อมวลชนที่ร่วมผลประโยชน์กับเผด็จการ ถูกบ่มเพาะอุดมการณ์รับใช้เผด็จการมาตั้งแต่เรียนอยู่ในคณะวิชานิเทศศาสตร์ และสื่อสารมวลชนตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ต่อเนื่องมาถึงในที่ทำงาน มีสถานะพิเศษในสังคมที่แยกจากประชาชนทั่วไปและไม่ถูกตรวจสอบจากสาธารณชน ทำให้คนพวกนี้เป็นอนุรักษ์นิยมถอยหลังเข้าคลอง อหังการ เป็นอำนาจนิยม มีพฤติกรรม “มือถือสาก ปากถือศีล”
สื่อมวล ชนกระแสหลักของไทยครองอำนาจทางความคิดมายาวนาน สามารถ “สร้างประเด็น กำหนดวาระทางสังคม” ในแต่ละช่วงเวลาได้ตามสถานการณ์และผลประโยชน์ของพวกเขา คนพวกนี้ทรงอำนาจอิทธิพลอย่างสูงที่แม้แต่กลุ่มอำนาจในระบบราชการ ทหารตำรวจ และนักการเมืองยังต้องเกรงใจ
ในช่วง กว่าหกปีมานี้ พวกเขามีบทบาทเป็น “เท้าที่สอง” ของพวกอันธพาลพันธมิตรฯ ร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในการปั่นกระแสความวุ่นวาย โจมตีใส่ไคล้รัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่มาจากการเลือกตั้ง สร้างกระแสและความชอบธรรมที่นำไปสู่รัฐประหาร 2549 โดยตรง แล้วสื่อมวลชนพวกนี้ก็เข้าไปเสวยตำแหน่ง อำนาจ ผลประโยชน์จากรัฐประหาร ทั้งในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สภาร่างรัฐธรรมนูญ วุฒิสภาสรรหา รวมถึงการได้โครงการสัญญาจ้างในสื่อฟรีทีวีและวิทยุช่องต่าง ๆ แบ่งปันกันอย่างอิ่มหมีพีมัน
คนพวกนี้ แสดงออกอย่างชัดเจนด้วยการ “เลือกข้าง” สนับสนุนรัฐประหาร สภาและรัฐบาลจากรัฐประหาร สนับสนุนกลุ่มพันธมิตรฯ และพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งตนเป็นศัตรูกับประชาชนเสื้อแดงและพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย ใช้สื่อสารมวลชนในมือทุกชนิดโจมตีอย่างต่อเนื่องยาวนาน ในการสังหารหมู่เมษายน-พฤษภาคม 2553 สื่อมวลชนพวกนี้ก็ช่วยกันกระพือกระแสความเกลียดชัง ส่งเสียงเชียร์อย่างกระหายเลือดให้ทหารเข้าเข่นฆ่าคนเสื้อแดงตายเป็นร้อย บาดเจ็บหลายพันคน แล้วเป็นเวลาหลายเดือนหลังจากนั้น ก็ยังตาม “กระทืบซ้ำ” คนตายด้วยการปกปิดบิดเบือนข้อเท็จจริง ขณะที่ทหารฆ่าประชาชนด้วยปืน สื่อมวลชนพวกนี้ช่วยฆ่าซ้ำด้วยปากกา นี่คือบทบาทที่คนพวกนี้ถนัด หลังจากที่กระทำสำเร็จมาแล้วหนหนึ่งเมื่อ 6 ตุลาคม 2519
แต่ฝ่ายประชาธิปไตยก็ยังสามารถชนะเลือกตั้งถึงสองครั้ง นี่จึงเป็นครั้งแรกที่สื่อมวลชนกระแสหลักประสบความพ่ายแพ้ ไม่สามารถ “สร้างประเด็น กำหนดวาระ ปั่นหัวคน” ให้คิดและเชื่อไปตามที่พวกตนต้องการเหมือนที่เคยเป็นมา
เงื่อนไข สำคัญที่ทำให้สื่อมวลชนกระแสหลัก “เสื่อม” ในครั้งนี้ก็คือ เทคโนโลยี คนพวกนี้มัวแต่หลงระเริงอยู่กับสถานะอภิสิทธิ์ชนของตน จมอยู่ในผลประโยชน์และกรอบความคิดคับแคบ บนเทคโนโลยียุคอนาล็อกอันล้าหลังที่พวกเขาควบคุมได้เบ็ดเสร็จตลอดมา ซึ่งก็คือสื่อบนกระดาษกับสื่อคลื่นในอากาศ เชื่อว่า พวกตนสามารถควบคุมความคิดของคนไทยไปได้ตลอดกาล จนลืมดูไปว่า พลังโลกาภิวัฒน์นั้นมาพร้อมกับอาวุธที่ทรงพลานุภาพอย่างยิ่งคือ “อินเตอร์เน็ตกับสื่อดิจิตอล” ที่มาถึงโดยไม่รู้ตัว ประชาชนมีทางเลือกในการแสวงหาข่าวสารข้อมูลและความคิดนอกกรอบไม่มีสิ้นสุด สื่อบนอินเตอร์เน็ตนี้เองที่กลายเป็น “กระดูกสันหลัง” ของสื่อสารทางเลือกที่มีลักษณะมวลชนอื่น ๆ คือ วิทยุโทรทัศน์อินเตอร์เน็ต วิทยุชุมชน และสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม ไปจนถึงเคเบิ้ลท้องถิ่น
สื่อ ดิจิตอลและอินเตอร์เน็ตคือ “สื่อประชาธิปไตย” อย่างแท้จริง ที่ไม่มีใครผูกขาดควบคุม กำหนดเนื้อหาได้อีกต่อไป สื่อใหม่แห่งยุคโลกาภิวัฒน์นี้ได้ทำลายการผูกขาดข่าวสารข้อมูลของสื่อมวล ชนกระแสหลัก ยิ่งสื่อทางเลือกแผ่ขยายออกไปเท่าไร ฐานะครอบงำของสื่อมวลชนกระแสหลักของไทยก็ยิ่ง “เสื่อมทรุด” ลงไปเท่านั้น
จำนวนครัว เรือนที่เข้าถึงอินเตอร์เน็ตและสื่อทางเลือกกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทุก นาที ทุกหมู่บ้านตั้งแต่ชานเมืองกรุงเทพไปถึงชนบททั่วประเทศ เราจะเห็นแต่จานดาวเทียมบนหลังคาบ้าน จำนวนคนที่ติดตามรายการโทรทัศน์ดาวเทียมผ่านจานดาวเทียม เคเบิลท้องถิ่น และวิทยุชุมชนนั้นมีมากกว่าคนดูฟรีทีวีและวิทยุหลักหลายเท่าตัว
ลูกค้าที่ ยังเสพย์ฟรีทีวี วิทยุและหนังสือพิมพ์กระแสหลักทุกวันนี้ มีจำนวนแคบลงไปทุกที จนกล่าวได้ว่า ฐานของสื่อกระแสหลักในวันนี้เหลือแต่คนชั้นกลางในกรุงเทพฯและหัวเมืองใหญ่ เป็นสำคัญ คนเมืองที่ยังหลงคิดว่า ตัวเองฉลาด มีการศึกษา มีข่าวสารข้อมูลครบถ้วนกว่าคนชนบท แต่กลับจำกัดตัวเองอยู่กับฟรีทีวีเพียงไม่กี่ช่องกับหนังสือพิมพ์หลักไม่กี่ ฉบับ และเชื่อทุกอย่างที่ถูกยัดเยียดมาให้ แต่คนประเภทนี้ก็กำลังลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว
ทุกวันนี้ ชาวบ้านในชานเมืองและชนบทเขาอ่านหนังสือพิมพ์หลักและดูฟรีทีวีเฉพาะละครน้ำ เน่าตอนหัวค่ำ ทอล์คโชว์ กับรายการข่าวประเภท “สัพเพเหระ” เท่านั้น เขาไม่เชื่อข่าวการเมืองจากคนพวกนี้อีกต่อไปแล้ว
โดย รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
ที่มา โลกวันนี้วันสุข
ฉบับวันศุกร์ที่ 14 กันยายน 2555
วิกฤตการ เมืองในระยะกว่าหกปีมานี้ สื่อมวลชนกระแสหลักของไทย ทั้งฟรีทีวี วิทยุ และหนังสือพิมพ์ค่ายต่าง ๆ ล้วนเป็นกลุ่มผู้ร่วมสมคบก่อเหตุที่สำคัญที่สุดกลุ่มหนึ่ง จนอาจกล่าวได้ว่า คนพวกนี้ “มือเปื้อนเลือด” ไม่ได้น้อยไปกว่าพวกอันธพาลการเมืองที่เรียกตัวเองว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
เบื้อง หลังพฤติการณ์ของสื่อมวลชนกระแสหลักเหล่านี้ก็คือ ความคิดที่รับใช้เผด็จการ ผนวกกับผลประโยชน์ทางธุรกิจ ทั้งของนายทุนเจ้าของสื่อและนักสื่อสารมวลชนอาชีพเกือบทุกระดับ
สื่อสาร มวลชนในยุคปัจจุบันที่เป็นค่ายใหญ่ ๆ เป็นธุรกิจมูลค่านับหมื่นล้านบาท มีเครือข่ายโยงใยผลประโยชน์ไปยังเครือข่ายราชการที่อยู่ในอำนาจรัฐและสาย สัมพันธ์กับพรรคการเมืองเก่าแก่บางพรรค อยู่ภายในโครงครอบทางอำนาจและอุดมการณ์จารีตนิยมที่คอยบ่อนทำลายระบบการ เมืองแบบเลือกตั้งในประเทศไทยมาทุกยุคสมัย อิงแอบอำนาจและแบ่งปันผลประโยชน์กับพวกเผด็จการแฝงเร้นจนแยกกันไม่ออก
การเมือง แบบเลือกตั้งที่ถูกตัดตอนด้วยรัฐประหารครั้งแล้วครั้งเล่านั้น เต็มไปด้วยจุดอ่อนมากมาย สื่อมวลชนกระแสหลักจึงรับหน้าที่เป็นแกนหลักในการเผยแพร่และตอกย้ำวาทกรรม “นักการเมืองเลว” มาทุกยุคสมัย ปั่นกระแสในหมู่คนชั้นกลางในเมืองให้เกลียดชังนักการเมือง สร้างเงื่อนไขทางความคิดในหมู่ประชาชน ที่นำไปสู่รัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและฉีกรัฐธรรมนูญทุก ครั้งนับตั้งแต่ปี 2519 เป็นต้นมา
นักสื่อ มวลชน ตั้งแต่ผู้บริหารระดับสูง ลงมาถึงบรรณาธิการ คอลัมนิสต์ คนเขียนข่าว จนถึงคนอ่านข่าวหน้าจอทีวีและวิทยุ เป็นกลุ่มวิชาชีพพิเศษเช่นเดียวกับนักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัย คือสถาปนาตนเองเป็นฐานันดรที่แยกจากประชาชนทั่วไป ด้วยการสมมติ “จรรยาบรรณและจริยธรรม” ชุดหนึ่งขึ้นมา ให้สาธารณชนเชื่อว่า พวกตนเป็นกลุ่มคนที่มีความสูงส่งทางสติปัญญา สถานะ ความรู้ เต็มไปด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและคุณธรรม คนพวกนี้รวมตัวกันอยู่ในองค์กรอาชีพ เป็นสมาคมสื่อมวลชนประเภทต่าง ๆ มีจุดประสงค์หลักคือ ปกป้องผลประโยชน์และสถานะของคนในอาชีพมิให้ถูกตรวจสอบจากสาธารณชน มีกิจกรรมหลักคือ เชิดชูกันเอง ให้รางวัลกันเองไปมา และคอยข่มขู่ผู้คนที่กล้าวิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบพวกเขาว่า “คุกคามสื่อ”
มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่ดีพอ สูงส่งพอ สะอาดพอที่จะไปตรวจสอบ ชี้นิ้วประณามคนอื่นได้หมด แต่สังคมไม่มีสิทธิ์ตรวจสอบคนพวกนี้
คนพวกนี้ สังกัดกลุ่มทุนสื่อมวลชนที่ร่วมผลประโยชน์กับเผด็จการ ถูกบ่มเพาะอุดมการณ์รับใช้เผด็จการมาตั้งแต่เรียนอยู่ในคณะวิชานิเทศศาสตร์ และสื่อสารมวลชนตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ต่อเนื่องมาถึงในที่ทำงาน มีสถานะพิเศษในสังคมที่แยกจากประชาชนทั่วไปและไม่ถูกตรวจสอบจากสาธารณชน ทำให้คนพวกนี้เป็นอนุรักษ์นิยมถอยหลังเข้าคลอง อหังการ เป็นอำนาจนิยม มีพฤติกรรม “มือถือสาก ปากถือศีล”
สื่อมวล ชนกระแสหลักของไทยครองอำนาจทางความคิดมายาวนาน สามารถ “สร้างประเด็น กำหนดวาระทางสังคม” ในแต่ละช่วงเวลาได้ตามสถานการณ์และผลประโยชน์ของพวกเขา คนพวกนี้ทรงอำนาจอิทธิพลอย่างสูงที่แม้แต่กลุ่มอำนาจในระบบราชการ ทหารตำรวจ และนักการเมืองยังต้องเกรงใจ
ในช่วง กว่าหกปีมานี้ พวกเขามีบทบาทเป็น “เท้าที่สอง” ของพวกอันธพาลพันธมิตรฯ ร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในการปั่นกระแสความวุ่นวาย โจมตีใส่ไคล้รัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่มาจากการเลือกตั้ง สร้างกระแสและความชอบธรรมที่นำไปสู่รัฐประหาร 2549 โดยตรง แล้วสื่อมวลชนพวกนี้ก็เข้าไปเสวยตำแหน่ง อำนาจ ผลประโยชน์จากรัฐประหาร ทั้งในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สภาร่างรัฐธรรมนูญ วุฒิสภาสรรหา รวมถึงการได้โครงการสัญญาจ้างในสื่อฟรีทีวีและวิทยุช่องต่าง ๆ แบ่งปันกันอย่างอิ่มหมีพีมัน
คนพวกนี้ แสดงออกอย่างชัดเจนด้วยการ “เลือกข้าง” สนับสนุนรัฐประหาร สภาและรัฐบาลจากรัฐประหาร สนับสนุนกลุ่มพันธมิตรฯ และพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งตนเป็นศัตรูกับประชาชนเสื้อแดงและพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย ใช้สื่อสารมวลชนในมือทุกชนิดโจมตีอย่างต่อเนื่องยาวนาน ในการสังหารหมู่เมษายน-พฤษภาคม 2553 สื่อมวลชนพวกนี้ก็ช่วยกันกระพือกระแสความเกลียดชัง ส่งเสียงเชียร์อย่างกระหายเลือดให้ทหารเข้าเข่นฆ่าคนเสื้อแดงตายเป็นร้อย บาดเจ็บหลายพันคน แล้วเป็นเวลาหลายเดือนหลังจากนั้น ก็ยังตาม “กระทืบซ้ำ” คนตายด้วยการปกปิดบิดเบือนข้อเท็จจริง ขณะที่ทหารฆ่าประชาชนด้วยปืน สื่อมวลชนพวกนี้ช่วยฆ่าซ้ำด้วยปากกา นี่คือบทบาทที่คนพวกนี้ถนัด หลังจากที่กระทำสำเร็จมาแล้วหนหนึ่งเมื่อ 6 ตุลาคม 2519
แต่ฝ่ายประชาธิปไตยก็ยังสามารถชนะเลือกตั้งถึงสองครั้ง นี่จึงเป็นครั้งแรกที่สื่อมวลชนกระแสหลักประสบความพ่ายแพ้ ไม่สามารถ “สร้างประเด็น กำหนดวาระ ปั่นหัวคน” ให้คิดและเชื่อไปตามที่พวกตนต้องการเหมือนที่เคยเป็นมา
เงื่อนไข สำคัญที่ทำให้สื่อมวลชนกระแสหลัก “เสื่อม” ในครั้งนี้ก็คือ เทคโนโลยี คนพวกนี้มัวแต่หลงระเริงอยู่กับสถานะอภิสิทธิ์ชนของตน จมอยู่ในผลประโยชน์และกรอบความคิดคับแคบ บนเทคโนโลยียุคอนาล็อกอันล้าหลังที่พวกเขาควบคุมได้เบ็ดเสร็จตลอดมา ซึ่งก็คือสื่อบนกระดาษกับสื่อคลื่นในอากาศ เชื่อว่า พวกตนสามารถควบคุมความคิดของคนไทยไปได้ตลอดกาล จนลืมดูไปว่า พลังโลกาภิวัฒน์นั้นมาพร้อมกับอาวุธที่ทรงพลานุภาพอย่างยิ่งคือ “อินเตอร์เน็ตกับสื่อดิจิตอล” ที่มาถึงโดยไม่รู้ตัว ประชาชนมีทางเลือกในการแสวงหาข่าวสารข้อมูลและความคิดนอกกรอบไม่มีสิ้นสุด สื่อบนอินเตอร์เน็ตนี้เองที่กลายเป็น “กระดูกสันหลัง” ของสื่อสารทางเลือกที่มีลักษณะมวลชนอื่น ๆ คือ วิทยุโทรทัศน์อินเตอร์เน็ต วิทยุชุมชน และสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม ไปจนถึงเคเบิ้ลท้องถิ่น
สื่อ ดิจิตอลและอินเตอร์เน็ตคือ “สื่อประชาธิปไตย” อย่างแท้จริง ที่ไม่มีใครผูกขาดควบคุม กำหนดเนื้อหาได้อีกต่อไป สื่อใหม่แห่งยุคโลกาภิวัฒน์นี้ได้ทำลายการผูกขาดข่าวสารข้อมูลของสื่อมวล ชนกระแสหลัก ยิ่งสื่อทางเลือกแผ่ขยายออกไปเท่าไร ฐานะครอบงำของสื่อมวลชนกระแสหลักของไทยก็ยิ่ง “เสื่อมทรุด” ลงไปเท่านั้น
จำนวนครัว เรือนที่เข้าถึงอินเตอร์เน็ตและสื่อทางเลือกกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทุก นาที ทุกหมู่บ้านตั้งแต่ชานเมืองกรุงเทพไปถึงชนบททั่วประเทศ เราจะเห็นแต่จานดาวเทียมบนหลังคาบ้าน จำนวนคนที่ติดตามรายการโทรทัศน์ดาวเทียมผ่านจานดาวเทียม เคเบิลท้องถิ่น และวิทยุชุมชนนั้นมีมากกว่าคนดูฟรีทีวีและวิทยุหลักหลายเท่าตัว
ลูกค้าที่ ยังเสพย์ฟรีทีวี วิทยุและหนังสือพิมพ์กระแสหลักทุกวันนี้ มีจำนวนแคบลงไปทุกที จนกล่าวได้ว่า ฐานของสื่อกระแสหลักในวันนี้เหลือแต่คนชั้นกลางในกรุงเทพฯและหัวเมืองใหญ่ เป็นสำคัญ คนเมืองที่ยังหลงคิดว่า ตัวเองฉลาด มีการศึกษา มีข่าวสารข้อมูลครบถ้วนกว่าคนชนบท แต่กลับจำกัดตัวเองอยู่กับฟรีทีวีเพียงไม่กี่ช่องกับหนังสือพิมพ์หลักไม่กี่ ฉบับ และเชื่อทุกอย่างที่ถูกยัดเยียดมาให้ แต่คนประเภทนี้ก็กำลังลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว
ทุกวันนี้ ชาวบ้านในชานเมืองและชนบทเขาอ่านหนังสือพิมพ์หลักและดูฟรีทีวีเฉพาะละครน้ำ เน่าตอนหัวค่ำ ทอล์คโชว์ กับรายการข่าวประเภท “สัพเพเหระ” เท่านั้น เขาไม่เชื่อข่าวการเมืองจากคนพวกนี้อีกต่อไปแล้ว
การ์ตูนประกอบบทความจาก Gag |