ที่มา Thai E-News
ภาพที่ประชาธิปัตย์นำมาเผยแพร่บ่อยๆว่าชายชุดดำเป็นพวกเดียวกับเสื้อแดง
ภาพที่ศอฉ.นำมาเป็นหลักฐานจับกุมขังคุกชายชุดดำนานหลายเดือน
ชุดดำ? - นายมานพ
ชาญช่างทอง ที่ถูกกล่าวหาเป็นชายชุดดำก่อการร้าย ในเหตุการณ์เสื้อแดง
ชุมนุมเดือนพ.ค.2553 ปัจจุบันยังคงขับซาเล้งเก็บของเก่าขาย
และอาศัยอยู่บ้านเพิงไม้ ย่านบางบัวทอง จ.นนทบุรี
ที่มา ข่าวสด
เมื่อ
7 ก.ย. ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" เดินทางไปพบนายมานพ ชาญช่างทอง
คนเก็บของเก่าขาย
ซึ่งเป็นบุคคลในภาพที่พรรคประชาธิปัตย์ระบุว่าเป็นชายชุดดำ
โดยพบว่านายมานพพักอาศัยอยู่ที่บ้านใน อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี
กับภรรยาและลูกๆ รวม 4 คน ภายในบ้านโทรมๆ ที่ปลูกขึ้นเอง
ด้วยไม้เก่าแผ่นป้ายโฆษณา มาทำเป็นฝาบ้าน และสังกะสีเก่าๆ
ที่เก็บได้มามุงหลังคา นอกจากนี้ ยังเลี้ยงเป็ดและปลูกผักไว้กินเอง
และชาวบ้านใกล้เคียงส่วนใหญ่สงสารครอบครัวนายมานพ
มักจะนำอาหารและขนมมาให้เป็นประจำ
นายมานพกล่าวว่าไปร่วมชุมนุมกับ
นปช. ตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค.2553
เนื่องจากเห็นว่าประชาชนถูกกลุ่มอำมาตย์ปล้นประชาธิปไตยไป
จึงต้องการไปทวงคืนกลับมา
ทำหน้าที่เป็นการ์ดอาสาช่วยดูแลความปลอดภัยให้พี่น้องเสื้อแดงที่มาชุมนุม
เข้าเวรยามช่วงเที่ยงคืนถึงเช้า อีกทั้งทุกๆ วัน
จะมีหน้าที่ซื้อหนังสือพิมพ์ให้แกนนำ เวลาที่เหลือก็จะเดินเก็บขวดน้ำ
กระป๋องน้ำอัดลมในพื้นที่ชุมนุม เพื่อนำไปขายหารายได้ เมื่อวันที่ 10
เม.ย.2553 สถานการณ์ที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศเริ่มตึงเครียด
มีเฮลิคอปเตอร์โปรยใบปลิว และโยนแก๊สน้ำตาลงมา
พอช่วงเย็นก็เริ่มมีเสียงปืนดังขึ้น
ซาเล้งเก็บของเก่ากล่าวต่อ
ว่า
ขณะนั้นทราบมาว่ามีกำลังทหารนำรถถังและรถหุ้มเกราะมาปิดล้อมพื้นที่ด้าน
โรงเรียนสตรีวิทยา และแยกคอกวัว แกนนำประกาศบนเวทีขอกำลัง 5,000 คน
ไปช่วยผู้ชุมนุมที่คอกวัว จึงเดินทางไปช่วย และใช้เวลาเดินทางนานมาก
เนื่องจากทหารปิดถนนหลายสาย ไปถึงเที่ยงคืนกว่า และเสียงปืนก็เงียบลง
เห็นกลุ่มทหารกว่า 30 นาย พร้อมอาวุธปืน
ตกอยู่ในวงล้อมของผู้ชุมนุมที่บริเวณโรงเรียนสตรีวิทยา
เห็นท่าไม่ดีจึงประสานกับทางแกนนำว่าจะเอาอย่างไรกับทหารกลุ่มนี้
หากปล่อยไว้คงจะอันตราย
นายมานพกล่าวว่า
จากนั้นก็เข้าไปพูดกับนายทหารผู้คุมกำลัง เพื่อขอปลดอาวุธทั้งหมด
และจะพาออกไปอย่างปลอดภัย ทหารก็ยอม จึงเข้าไปปลดอาวุธ เป็นปืนทาโวร์ 4
กระบอก และเอ็ม 16 ก่อนจะนำปืนไปมอบให้แกนนำที่เวทีผ่านฟ้าฯ
ระหว่างที่นําปืนออกมาก็มีช่างภาพหลายคนเข้ามาถ่ายรูป
ขณะลำเลียงปืนไปที่เวที จนกระทั่งถูกกล่าวหาเป็นชายชุดดำ
และจำเลยคดีก่อการร้าย ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะถือปืนหลายกระบอกมายิงกับทหาร
และก็ยิงปืนไม่เป็น ไม่เคยเป็นทหาร จึงขอความเป็นธรรมด้วย
"ในวัน
เกิดเหตุ ผมใส่เสื้อดำ และสวมไอ้โม่งดำจริง เพราะเห็นคนอื่นใส่เท่ดี
จึงใส่บ้างไม่ได้คิดร้ายอะไร
และที่ใส่ถุงมือก็เพื่อไว้จับกระป๋องแก๊สน้ำตาที่ทหารโยนใส่ผู้ชุมนุมเท่า
นั้น อีกทั้งไอ้โม่งดำคลุมหัว ก็เพราะเป็นคนหัวล้าน
หากรู้มาก่อนว่าใส่ไม่ได้ก็คงไม่ทำ" นายมานพ กล่าว
นายมานพกล่าวอีก
ว่า ส่วนวันที่ 19 พ.ค.2553 สถานการณ์ตึงเครียดทั้งวัน
หลังแกนนำประกาศบนเวทียุติการชุมนุม และให้ผู้ชุมนุมไปหลบภายในวัดปทุมฯ
ตนก็เข้าไปหลบอยู่ด้านในวัด ไม่ได้ออกมา
แต่ได้ยินแต่เสียงปืนดังอยู่ด้านนอก
และในวัดขณะนั้นก็มีคนถูกยิงบาดเจ็บและตายหลายสิบราย จนกระทั่งเช้าวันที่
20 พ.ค.2553
ตำรวจนำกำลังเข้ามาช่วยพาตัวผู้ชุมนุมทั้งหมดออกจากวัดและพากลับบ้าน
จากนั้นก็กลับที่พักย่านบางบัวทอง ไม่ได้หนีไปไหน
และยังคงขับซาเล้งเก็บขวดกระดาษเหมือนเดิม
"หลังจากอยู่บ้านได้ 2
เดือน ก็มีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอกว่า 30 คน นำหมายจับคดีก่อการร้าย
มาบุกจับผมถึงบ้าน นำตัวมาแถลงข่าว โดยจับตามภาพถ่ายขณะที่ผมสวมไอ้โม่ง
และสะพายปืน ถูกข้อหาบุกโรงแรมเอสซีปาร์ค ทั้งๆ ที่ไปโรงแรมยังไม่ถูกเลย
ผมพยายามอธิบายแต่ก็ไม่มีใครเชื่อ ลองคิดดูหากเป็นชายชุดดำ
หรือผู้ก่อการร้ายจริง ผมจะมานั่งเก็บขยะอยู่แบบนี้หรือ
หลังถูกจับก็ต้องอยู่ในคุกนานหลายเดือน จนกระทั่งมีผู้ใหญ่นำเงิน 600,000
บาท มาช่วยประกันตัวออกมา ทุกวันนี้ผมก็ยังเก็บขยะขาย รายได้เฉลี่ย 2-3 วัน
ประมาณ 300 บาท" นายมานพกล่าว