ที่มา Thai E-Newsฝรั่งบ่ยั่นม็อบ-นักท่องเที่ยวต่างชาติแลกเปลี่ยนเงินในใจกลางกรุงเทพฯ แม้กลุ่มเสื้อแดงจัดชุมนุมใหญ่ในเมืองหลวง แต่ก็ไม่อาจหยุดนักลงทุนต่างประเทศให้นำเงินเข้ามาลงทุนในประเทศไทยได้ รวมทั้งการลงทุนในหุ้นและพันธบัตร ค่าเงินบาททะยานแข็งค่ามากที่สุดในรอบ 22 เดือน ส่วนหุ้นไทยขึ้นสูงสุดในรอบ2 ปี(ภาพข่าว:สำนักข่าวรอยเตอร์)
โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
2 เมษายน 2553
ฝรั่งลุยซื้อหุ้นไทยทะลุ800จุด มองผลกระทบม็อยคลี่คลายแล้ว
ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง วานนี้(1เม.ย.)ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นเหนือแนวต้านจิตวิทยาบริเวณ 800 จุด ขึ้นมาปิดทำการที่ 801.32 จุด สูงขึ้นจากวันก่อน 13.34 จุด มูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 28,715ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติเป็นฝ่ายซื้อสุทธิ 1,386 ล้านบาท
โดยดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นตลอดในช่วงที่เสื้อแดงจัดการชุมนุม โดยก่อนหน้าการชุมนุมเมื่อวันที่ 11 มีนาคม อยู่ที่725 จุด เท่ากับว่าล่าสุดขึ้นมา 75 จุดแล้วในช่วงที่มีการชุมนุมโดยสันติ
ขณะที่นักลงทุนต่างชาติเป็นฝ่ายซื้อสุทธิต่อเนื่อง โดยตลอดเดือนมีนาคมที่ผ่านมาซื้อสุทธิสูงถึง 44,600 ล้านบาท(ดูรายละเอียด)
ฝ่ายวิจัยของซิติกรุ๊ป บริษัทโบรกเกอร์นายหน้าค้าหลักทรัพย์ต่างชาติรายสำคัญ ออกบทวิจัยเมื่อ 30 มีนาคม ให้เป้าหมายว่าหุ้นไทยจะขึ้นไป 915 จุด โดยระบุว่าปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองลดลง เพราะเสื้อแดงชุมนุมโดยสันติ และการเผชิญหน้าไม่ตึงเครียด
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก ซึ่งเป็นสำนักข่าวทางด้านเศรษฐกิจการเงินที่สำคัญของโลก รายงานว่า ก่อนเสื้อแดงจัดม็อบมีการโหมกระแสว่าจะเป็นไปด้วยความรุนแรงทำให้หุ้นตกมาเมื่อเดือนก่อน แต่พอมีชุมนุมจริงไม่มีเหตุรุนแรง เป็นไปโดยสันติ ต่างกับการชุมนุมของพันธมิตรในปี2549ที่เต็มไปด้วยความรุนแรงทั้งการยึดทำเนียบ และยึดสนามบิน และการทำรัฐประหารโค่นล้มทักษิณ
บลูมเบิร์กสัมภาษณ์บัณฑูร ล่ำซำชี้นักธุรกิจชินกับม็อบแล้ว
สำนักข่าวบลูม้เบิร์ก สำนักข่าวชั้นนำในโลกการเงินการลงทุนรายงานข่าว โดยสัมภาษณ์นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารธนาคารกสิกรไทย แบงก์พาณิชย์รายใหญ่อันดับ3ของประเทศระบุว่า"ถึงแม้การประท้วงจะรุนแรงหรือนองเลือดก็ไม่มีผลทำลายเศรษฐกิจ"เพราะการประท้วงเกิดขึ้นตลอดเวลาอยู่แล้วในประเทศไทย"
โผล่อีกแล้วพวก"ขาวเนียน"สมาคมท่องเที่ยวต้านเสื้อแดงชุมนุม บอกสมัยพธม.ม็อบไม่มีประสบการณ์เดือดร้อนตบหน้าพวกขาวเนียน -นักท่องเที่ยวต่างชาติกับสิ่งของที่ช็อปปิ้งริมถนนในใจกลางกรุงเทพฯในช่วงชุมนุมใหญ่ของเสื้อแดง แม้แต่ในวันที่การเทเลือดประท้วงหน้าบ้านพักนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ไม่อาจหยุดชาวต่างประเทศนำเงินเข้ามาใช้จ่ายในประเทศไทย รวมทั้งการซื้อหุ้นและพันธบัตร ค่าเงินบาททะยานสูงขึ้นในรอบ 22 เดือน ส่วนหุ้นไทยขึ้นมาที่ 800 จุด สูงสุดในรอบ 2 ปี(ภาพข่าว:สำนักข่าวรอยเตอร์)
สหพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย (เฟสต้า)ซึ่งไม่เคยเดือดร้อน ไม่เคยเคลื่อนไหวต่อต้านเลยแม้แต่น้อยในช่วงพันธมิตรฯจัดชุมนุมใหญ่ 193 วัน ทั้งยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบิน ซึ่งมีผลกระทบต่อการท่องเที่ยวอย่างหนัก ได้เกิดความเดือดร้อนขึ้นมาในช่วงที่กลุ่มเสื้อแดงจัดชุมนุมได้ยังไม่ทันถึง 20 วัน และนัดรวมตัวกันประท้วงที่สวนลุมพินีในวันพรุ่งนี้ โดยนัดกันใส่เสื้อขาวประท้วงเสื้อแดง
นอกจากนั้นยังพบหลักฐานว่า ในช่วงที่พันธมิตรยึดสนามบินสุวรรณภูมิ จนต้องหาทางงลงด้วยการยุบ 3 พรรคการเมือง ผู้บริหารของเฟสต้าเคยออกมาสนับสนุนอย่างออกนอกหน้า และเลือกข้างเลือกฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด
เคยออกโรงหนุนยุบ3พรรค เชียร์ปชป.ตั้งรัฐบาล ไม่เคยเดือดร้อนตอนพธม.ยึดสนามบิน!
เหตการณ์ตอนนั้น ข่าวสดรายงานว่า นายเจริญ วังอนานนท์ นายกสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว (เฟสต้า) กล่าวภายหลังเรียกสมาชิกสมาคมหารือและรับฟังถึงปัญหาที่เกิดหลังการปิดสนามบิน ว่า การยุบพรรคร่วมรัฐบาล 3 พรรค น่าจะเป็นทางออกที่ดีให้กับเศรษฐกิจไทย เพราะที่ผ่านมารัฐบาลไม่ได้ทำงาน ซึ่งการเมืองไทยนับจากนี้ไปที่ตัดสินใจจัดทัพใหม่ ควรหาบุคลาการที่มีความรู้ความสามารถมาบริหารประเทศ และน่าจะถือโอกาสผสมขั้วการเมืองใหม่ เพราะประเทศไทยไม่ได้เป็นการปกครองแบบท้องถิ่นที่ใครก็มาทำได้ เพราะจากนี้ไปคนที่มาเป็นรัฐบาลบริหารประเทศต้องเร่งคลายความกังวลที่เกิดขึ้น ดึงความเชื่อมั่นของประเทศให้กลับมา หากรัฐบาลสามารถดึงความเชื่อมั่นได้ ประเทศไทยอาจเห็นทางออกในการฟื้นฟูเศรษฐกิจในอีก 6 เดือนข้างหน้า ส่วนการท่องเที่ยวเองหวังที่จะฟื้นตัวอีกครั้งหลังจากบอบซ้ำมามาก
แต่พอมาตอนนี้ที่เสื้อแดงชุมนุม ไม่ได้ก่อผลกระทบต่อแหล่งท่องเที่ยว หรือยึดสนามบินพันธมิตร ปรากฎว่า เฟสต้า ได้ประชุมร่วมกันเพื่อหาแนวทางแสดงจุดยืนของภาคเอกชนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเมือง ขณะการชุมนุมของคนเสื้อแดงได้ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวชัดเจนแล้วทั้งในช่วงนี้และอนาคตพวกผมไม่ได้เข้าข้างสีใดสีหนึ่ง แต่ที่ไม่ได้ออกมาแสดงจุดยืนช่วงที่กลุ่มเสื้อเหลืองชุมนุมในอดีตนั้นเพราะยังไม่มีประสบการณ์ว่า การชุมนุมส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวอย่างไรบ้าง แต่เวลานี้มีประสบการณ์ ได้เห็นผลกระทบ จึงต้องออกมาแสดงท่าที -นายเจริญกล่าวให้เหตุผลว่าทำไมตอนพันธมิตรชุมนุม ไม้รู้สึกเดือดร้อนบ้าง
พธม.ชุมนุมยืดเยื้อ193วันยึดสนามบินไม่เดือดร้อน เสื้อแดงม็อบไม่ถึง20วันใส่เสื้อขาวต้าน
โดยนายเจริญ วังอนานนท์ โฆษกเฟสต้า เปิดเผยภายหลังการประชุมวานนี้ว่า ได้นัดรวมตัวผู้ประกอบการ และพนักงานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ประมาณ 1,400 คน ที่สวนลุมพินี บริเวณหน้าอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 6 ในวันที่ 2 เม.ย.นี้ เวลา 16.00 น. เพื่อร่วมกันประกาศจุดยืนและออกแถลงการณ์ “ยุติความขัดแย้ง เพื่อท่องเที่ยวไทยทุกฝ่ายหยุดทำร้ายท่องเที่ยวไทย สมานฉันท์เพื่อท่องเที่ยวไทย” ซึ่งในช่วงเวลาเดียวกันจะมีตัวแทนผู้ประกอบการ และพนักงานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ที่อยู่ในต่างจังหวัด ออกมารวมตัวกันด้วย เช่น เชียงใหม่ อุดรธานี เกาะสมุย สุราษฎร์ธานี กระบี่ ภูเก็ต จันทบุรี และ เมืองพัทยา และยังอยู่ระหว่างการประสานงานให้มากที่สุด
ทั้งนี้ นายกสมาคมต่างๆ ที่เข้าร่วมแสดงจุดยืน จะใส่เสื้อสีขาวส่วนตัวแทนผู้ประกอบการ และพนักงานคนอื่นๆ จะสวมใส่เสื้อผ้าตามอัธยาศัย ใช้เสื้อผ้าหลากสีโดยบางแห่งอาจให้พนักงานสวมชุดเครื่องแบบบริษัทมา ส่วนรูปแบบการแสดงจุดยืนจะไม่เคลื่อนที่ไปไหน เพราะไม่ต้องการให้เกิดความวุ่นวาย แต่จะอยู่ที่อ่านแถลงการณ์จุดยืนของภาคท่องเที่ยว พร้อมชูป้ายผ้า และไม่ต้องการให้เห็นว่า พวกเราเป็นกลุ่มผู้ชุมนุม แต่ต้องการให้เห็นว่าเป็นอีกลุ่มคนไทยที่เสียภาษีและได้รับผลกระทบ จากการชุมนุมทางการเมือง
นายเจริญ กล่าวอีกว่า ตั้งแต่ วันที่ 12 มี.ค. ที่กลุ่มคนเสื้อแดงเริ่มชุมนุมจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาเที่ยวไทยก็ลดลง ซึ่งภาคเอกชนอดทนเรื่อยมา หวังว่าการชุมนุมจะยุติหลังวันที่ 27 มี.ค.ที่ผ่านมา เริ่มมีความหวังหลังจากตัวแทนรัฐบาล และ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง เจรจากัน 28-29 มี.ค.แต่รอจนล่าสุด กลุ่มคนเสื้อแดงระบุว่าจะนัดชุมนุมกันอีก 3 เม.ย.นี้ ภาคเอกชน มองว่า การชุมนุมไม่มีวันยุติเสียทีบรรยากาศเช่นนี้จะกระทบการท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ ขณะที่นักท่องเที่ยวจากญี่ปุ่นและเกาหลี ที่ไม่กังวล เริ่มโทรศัพท์มาสอบถามมากขึ้นว่า ทำไมมีระเบิดเกิดขึ้นทุกวัน ทำไมการประท้วงไม่มีข้อยุติเสียที สิ่งเหล่านี้ทำให้เอกชนกังวลว่าหากปล่อยเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะย่ำแย่เหมือนกับ 2-3 ปีที่ ผ่านมา ที่คนในอุตสาหกรรมเป็นหนี้กัน และหวังว่าจะได้ปลดหนี้กันในปีนี้ เพราะการท่องเที่ยวเริ่มฟื้นมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้วมาจนถึงเดือน ม.ค.และก.พ.ปีนี้ แต่สุดท้ายต้องมาชะงักในเดือน มี.ค.อีก จึงอยากออกมาแสดงจุดยืนให้ยุติความขัดแย้งเสียที
“พวกผมไม่ได้เข้าข้างสีใดสีหนึ่ง แต่ที่ไม่ได้ออกมาแสดงจุดยืนช่วงที่กลุ่มเสื้อเหลืองชุมนุมในอดีตนั้นเพราะยังไม่มีประสบการณ์ว่า การชุมนุมส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวอย่างไรบ้างแต่เวลานี้มีประสบการณ์ ได้เห็นผลกระทบ จึงต้องออกมาแสดงท่าที หลังจากออกมารวมตัวแสดงจุดยืนกันวันที่ 2 เม.ย.แล้ว เฟสต้า จะประเมินผลตอบรับอีกครั้ง โดยอยากให้เห็นว่าในประเทศนี้ไม่ได้มีแค่รัฐบาลกับกลุ่มคนเสื้อแดง แต่ต้องการให้คนทุกกลุ่มตื่นตัวดูแลประเทศไทยเช่นกัน ในส่วนของรัฐบาลและกลุ่มคนเสื้อแดง อยากให้รีบๆ คุย รีบๆ ตกลงกันให้ได้เพราะตอนนี้ท่องเที่ยวแย่แล้ว ไม่อยากให้บรรยากาศแบบนี้คงอยู่ไปอีกนานจากเดิมรัฐบาลถอยมาระดับหนึ่ง ประกาศจะยุบสภาใน 9 เดือนแล้ว ก็อาจจะถอยลงมาเหลือ 6-8 เดือน ส่วนกลุ่มคนเสื้อแดงต้องถอยเช่นกัน เพราะถ้าตกลงกันได้ก็ได้ประโยชน์กันทั้งหมด” นายเจริญ กล่าว
นายประกิจ ชินอมรพงษ์ นายกสมาคมโรงแรมไทย กล่าวว่า การชุมนุมที่ยืดเยื้อส่งผลกระทบต่อธุรกิจโรงแรมแล้ว โดยหากคำนวณจากตัวเลขรายได้ด้านการท่องเที่ยวทั้งปีนี้ ที่หลายฝ่าย ประเมินไว้ 600,000 ล้านบาท เท่ากับว่า จะมีรายได้ เดือนละ 50,000 ล้านบาท แต่จากตัวเลขที่สมาคมโรงแรมได้รับพบว่า อัตราเข้าพักโรงแรมต่าง ๆ หายไป 20% แล้วในช่วงที่มีการชุมนุม หมายความว่าภายใน 1 เดือนที่มีการชุมนุมนี้ ทำให้รายได้ของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวโดยรวมหายไปแล้ว 10,000 ล้านบาท หากการชุมนุมยังยืดเยื้อต่อไปอีกหลายเดือนจะเสียหายกว่านี้อีกหลายหมื่นล้านบาท
ขณะที่ นายวิชิต ประกอบโกศล นายกสมาคมผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวไทย-จีน กล่าวว่า ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่าเครื่องบินเช่าเหมาจากจีนที่จะเข้ามาไทยช่วงสงกรานต์จากเดิม100 เที่ยวบิน จะเหลือแค่ 50-60เที่ยวบินเท่านั้น กระทบจำนวนนักท่องเที่ยวหายไป 20,000-40,000 คน รายได้เข้าประเทศหายไป 500-1,000ล้านบาทต่อเดือน
นักท่องเที่ยวต่างชาติเพียง0.7%ที่กลัวปัญหาการเมืองไม่แนะนำเที่ยวไทย
ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) ทำการสำรวจความเห็นของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติต่อการมาท่องเที่ยวกรุงเทพฯ ในช่วงการชุมนุมทางการเมือง พบว่า มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ระบุว่าสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองเกิดขึ้นส่งผลต่อการตัดสินใจมาท่องเที่ยว กรุงเทพฯ มากถึงร้อยละ 41.4 ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากการ สำรวจเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม — 1 พฤศจิกายน 2552 ที่ร้อยละ 19.3
ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวร้อยละ 75.5 มีความต้องการจะกลับมาเที่ยวกรุงเทพฯ อีกครั้ง ร้อยละ 2.7 จะไม่กลับ และร้อยละ 21.8 ยังไม่แน่ใจ
ร้อยละ 82.8 ยินดีที่จะแนะนำและบอกต่อให้ผู้อื่นมาเที่ยวกรุงเทพฯ ร้อยละ 0.7 จะไม่แนะนำ (โดยให้เหตุผลว่า มีปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง เสียงดัง และทางเดินเท้าไม่สะอาด) และ ร้อยละ 16.5 ไม่แน่ใจ
และเมื่อสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับเมืองหลวงที่น่าท่องเที่ยวมากที่สุด 5 อันดับแรกในความเห็นของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยวกรุงเทพฯ (เปรียบเทียบเฉพาะ 11 เมืองในกลุ่มเครือข่ายเมืองใหญ่แห่งเอเชีย 21 (The Asian Network of Major Cities 21 หรือ ANMC21) ได้แก่ กรุงเดลี กรุงฮานอย กรุงจาการ์ตา กรุงกัวลาลัมเปอร์ กรุงมะนิลา กรุงโซล กรุงโตเกียว กรุงไทเป กรุงย่างกุ้ง สิงคโปร์ และกรุงเทพมหานคร) พบว่า อันดับ 1 กรุงเทพฯ ประเทศไทย ยังเป้นเมืองหลวงที่น่าท่องเที่ยว ร้อยละ 31.9 อันดับ 2 กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ร้อยละ 19.0 อันดับ 3 สิงคโปร์ ประเทศสิงคโปร์ ร้อยละ 12.6 อันดับ 4 กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ร้อยละ 8.8 อันดับ 5 กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม ร้อยละ 7.6
ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) ได้สำรวจโดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป บริเวณแหล่งท่องเที่ยวที่ชาวต่างชาตินิยมไป 8 แห่งของกรุงเทพฯ ได้แก่ 1) ถนนข้าวสาร 2) ถนนสีลม 3) ประตูน้ำ - พระพรหม — แยกราชดำริ 4) ตลาดนัดจตุจักร - สวนจตุจักร 5) วัดพระแก้ว — วัดโพธิ์ 6) สถานีรถไฟหัวลำโพง - ถนนเยาวราช
7) ถนนสุขุมวิท - แยกอโศก 8) สวนลุมไนท์บาซาร์ ได้กลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 449 คน เป็นเพศชายร้อยละ 55.5 และ เพศหญิงร้อยละ 44.5