ที่มา บางกอกทูเดย์ จับตา 3 ดอก... เสียบอกมาร์ค เพราะแม้ว่าหลังการสลายการชุมนุมพฤษภาอำมหิต จนกระทั่งมีคนตายกว่า 80 ศพ มีผู้บาดเจ็บร่วม 2,000 คน แต่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ยังอยู่ได้ โดยไม่ต้องแสดงความรับผิดชอบใดๆ แต่ข้อสงสัย เสียงวิพากษ์วิจารณ์ ก็ยังไม่เคยจบสิ้นเสียที ล่าสุดนายเสนาะ เทียนทอง ก็มีการพูดชัดเจนท่ามกลางประชาชนจำนวนมากที่จังหวัดสระแก้วว่าเกิดมาอายุตั้ง 78 ปี เป็นรัฐมนตรีมาหลายสมัย ไม่เคยเจอรัฐบาลไหนที่เป็นแบบนี้ ทำผิดแล้วยังกล้าอยู่บริหารประเทศต่อ ซ้ำไปไหนก็มีแต่ประชาชนสาปแช่ง ก็ยังทนเป็นรัฐบาลอยู่ได้ โดยไม่สนใจเสียงเรียกร้องของประชาชนอย่างจริงใจ เจอแบบนี้จะไม่สะดุ้งสะเทือนได้อย่างไร ดังนั้นเมื่อถูกสื่อมวลชนจี้ถามเรื่องนี้หนักๆ เข้า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ ผู้อำนวยการ ศอฉ. ก็เลยของขึ้นเบรกแตก ย้อนถามสื่อมวลชนว่า “เป็นไทยหรือเปล่า?” ทำให้ตอนนี้บรรดาสื่อมวลชนก็อยากจะย้อนถามกลับเช่นกัน ว่าแล้วคนประเภทที่รับรู้ว่ามีคนตายคนเจ็บขนาดนี้ โดยไม่รู้สึกรู้สมเลยนั้น เป็นคนไทยหรือเปล่าล่ะ??? งานเข้าดอกนี้เชื่อว่าสาหัสไม่น้อยแน่ๆ จากนี้เป็นต้นไป อีกดอกหนึ่งที่ต้องถือว่างานเข้าและหมิ่นเหม่เหลือเกิน ก็คือ กรณีของคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ที่ทั้งสังคมไทยต่างพากันจับตามองเขม็ง จะจบอย่างไร??? จะมี 2 มาตรฐานหรือไม่??? หรือจะยื้อเกมลากถูลู่ถูกังกันไป 2-3 ปี กว่าคดีจะจบ!!! แต่ไม่ว่าจะออกในรูปไหน ถ้าใครก็ตามที่อยู่เบื้องหลังอำนาจยุคนี้ ทำแบบนั้นจริงๆ พรรคประชาธิปัตย์เองก็คงมีแต่เสียกับเสีย ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่เมื่อนักกฎหมายมีการดูหลักฐานแล้ว จะเห็นว่าการที่มีการไปจดจัดตั้งพรรคการเมืองเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นพรรคไทยเข้มแข็ง พรรคประชาธิปัตย์ก้าวหน้า หรือแม้แต่การทาบทามพรรคธรรมาธิปัตย์ ของญาติๆ นายจุติ ไกรฤกษ์ ก็ไม่น่าที่จะเป็นเรื่องเสียหายอะไร เตรียมการไว้ก่อนล่วงหน้าจะแปลกตรงไหน ดอกที่ 2 นี้ แน่นอนอีกเช่นกันว่า จบอย่างไรก็ไม่สวยสำหรับพรรคประชาธิปัตย์ ถ้าถูกยุบ ก็ต้องโดนโทษแบนกรรมการบริหารพรรคร่วม 40 คนเป็นเวลา 5 ปี แน่นอนว่าในนั้นมีนายอภิสิทธิ์ด้วย แต่ถ้าไม่ยุบ มีหวังโดนครหาไปอีกเป็นสิบๆ ปี ว่าเกาะขั้วอำนาจได้ดี ล่าสุดยังเจองานเข้าดอกที่ 3 อีกเต็มๆ กับเรื่องโบนัสข้าราชการ... ซึ่งอุตส่าห์จะสร้างกระแสประชานิยมกับข้าราชการ กลับมาสะดุดตกม้าตาย เพราะความเป็นจริงของฐานะการเงินการคลังของประเทศ ซึ่งการที่คณะรัฐมนตรี(ครม.) มีมติให้โบนัสเงินเดือนข้าราชการ จะมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ แต่ถ้าดูต้นเรื่องจะพบว่า การให้โบนัสข้าราชการนั้นเป็นไปตามมติเดิม เนื่องจากปี 2553 นั้นไม่ได้มีการจัดงบประมาณไว้ จึงจะใช้การรวบรวมเงินเหลือจ่าย รวมกับเงินเหลือจ่ายจากโครงการในปีก่อนๆ อีก 1,400 ล้านบาท เข้ามารวมกันในรูปของเงินตอบแทนพิเศษ เพื่อให้กับส่วนราชการทุกหน่วยเพื่อไม่ให้เกิดการเหลื่อมล้ำ แต่มาวันนี้ เนื่องจากตัวเงินที่ลดลงจากเดิม นายอภิสิทธิ์จึงต้องให้ ครม.มีมติไม่ให้ผู้บริหาร แต่จะให้เฉพาะระดับปฏิบัติเท่านั้น ที่สำคัญที่สุดก็คือ แนวคิดเรื่องการให้เงินรางวัลแก่ข้าราชการนั้น ได้ผิดเพี้ยนไปจากวัตถุประสงค์เดิมที่เคยกำหนดไว้ ว่าจะให้แก่หน่วยงานที่มีผลงานดี ดูแลจัดสรรงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดงบประมาณได้และมีเงินเหลือจ่าย จึงจะใช้เป็นเงินที่จะนำมาจ่ายเป็นโบนัสให้แก่ข้าราชการ ซึ่งจะไม่ได้เอามาหารถัวเฉลี่ยเท่ากันทุกคน แต่ให้ตามผลงาน แต่ปัจจุบันบิดเบี้ยวไปจากวัตถุประสงค์เดิมที่มาขอตั้งงบประมาณไปจ่ายเป็น เงินโบนัส เพราะกลายเป็นว่าเม็ดเงินส่วนใหญ่มักจะไปตกอยู่กับผู้บริหารทั้งสิ้น แต่ข้าราชการผู้น้อยหรือฝ่ายปฏิบัติกลับไม่ได้รับ ซึ่งเมื่อในวันนี้นายอภิสิทธิ์ จะสรุปว่า ในครั้งนี้จะให้เงินรางวัลประจำปีงบฯ 52 แก่เฉพาะข้าราชการชั้นผู้น้อยเท่านั้น ส่วนผู้บริหารไม่ให้ ปัญหาที่ถูกจับตามองก็คือ จะทำได้จริงแค่ไหน ระดับบริหารไม่ได้ ได้แต่ลูกน้องจริงๆ หรือจะมีการอมเงินลูกน้องเกิดขึ้นหรือไม่ เพราะเรื่องทำนองนี้ไม่ใช่ไม่เคยเกิด แน่นอนว่า งานนี้รัฐบาลจะเสียคะแนนนิยมในสายตาของข้าราชการระดับบริหารแน่ๆ แถมยังถูกมองด้วยว่า ที่เคยคุยขโมงโฉงเฉงเอาไว้ว่า ฐานะการเงินการคลังของรัฐบาลชุดนี้ดีมากๆนั้น เอาเข้าจริงๆ แล้วดีจริงหรือไม่??? ดอกนี้โดนทั้ง 2 คู่ซี้ นายอภิสิทธิ์ และนายกรณ์ จาติกวณิช เต็มๆ รัฐบาลประชาธิปัตย์ เจอเป็นชุด รวดเดียว 3 ดอกพร้อมๆ กันเช่นนี้ จะลอยหน้าอยู่อย่างเดิม ไม่ง่ายแน่นอน
งานเข้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หนักมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วในขณะนี้