ที่มา ไทยรัฐ
วันที่ 16 ก.ค.2553 นายกล้านรงค์ จันทิก โฆษกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวว่า ที่ประชุม ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดทางอาญาข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบแก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กรณีเห็นชอบให้กระทรวงการคลังเข้าเป็นผู้บริหารแผนคนใหม่ของบริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทีพีไอ ด้วยคะแนน 6-2 เนื่องจากการไต่สวนพบว่า เมื่อครั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี มีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลการบริหารราชการแผ่นดินนั้น ร.อ.สุชาติ เชาว์วิศิษฐ เมื่อครั้งเป็น รมว.คลัง ได้มาหารือเรื่องให้กระทรวงการคลังเป็นผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัททีพีไอ ซึ่งเป็นบริษัทเอกชน และ พ.ต.ท.ทักษิณให้ความเห็นชอบการดำเนินการดังกล่าว ซึ่งภายหลังกระทรวงการคลัง ได้เข้าเป็นผู้บริหารแผนฟื้นฟูของทีพีไอ อันเป็นการกระทำนอกเหนืออำนาจหน้าที่ของกระทรวงการคลัง เพราะกระทรวงการคลังไม่มีอำนาจเข้าไปบริหารบริษัทเอกชน อันเป็นความผิดตามมาตรา 10 แห่ง พ.ร.บ.ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ.2546 เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ระบบราชการ จึงมีความผิดฐานะเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ให้ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดยื่นเรื่องดำเนินคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป
นายกล้านรงค์ กล่าวว่า ส่วน ร.อ.สุชาติ ที่ยินยอมให้กระทรวงการคลังเข้าไปเป็นผู้บริหารแผนของบริษัททีพีไอ ก็มีความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบเช่นกัน แต่ร.อ.สุชาติ ได้ถึงแก่กรรม จึงให้จำหน่ายคดีออก ขณะที่ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ซึ่งดำรงตำแหน่ง รมว.คลัง ในขณะนั้น ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า รู้เห็นหรือยินยอมในการที่กระทรวงการคลังเข้าไปเป็นผู้บริหารแผนด้วย ข้อกล่าวหา จึงไม่มีมูลทำให้ข้อกล่าวหาตกไป เช่นเดียวกับกระทรวงการคลังที่เป็นคณะผู้บริหารแผน และคณะผู้บริหารแผนที่ได้รับการเสนอชื่อจากพ.ต.ท.ทักษิณ ก็ไม่พบว่าได้ร่วมกระทำความผิด เพียงแต่ได้กระทำตามหน้าที่ตามที่ได้รับการแต่งตั้งเท่านั้น จึงให้ข้อกล่าวหาตกไป