ที่มา Thai E-News
ประเด็นสำคัญที่มองข้ามไปไม่ได้เลยก็คือ การที่เรายอมรับคำพิพากษาของศาลกัมพูชาโดยไม่มีการอุทธรณ์ซึ่งทำให้คดีถึงที่สุด โดยความหมายก็คือเรายอมรับเขตอำนาจศาลกัมพูชาว่า มีอำนาจเหนือเขตแดนดังกล่าว ทำให้เราต้องเสียเปรียบหรืออำนาจต่อรองในการปักปันเขตแดนในภาพรวมต่อไปในอนาคต หรือว่ารัฐบาลของนายอภิสิทธิ์จะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ชาติไทยว่ าเป็นยุคที่เราต้องเสียดินแดนให้กัมพูชาเพราะความ “คลั่งชาติ”ของคนบางกลุ่ม และความ “อ่อนหัด”ของผู้นำรัฐบาลนั่นเอง
โดย ชำนาญ จันทร์เรือง
จากกรณีที่คนไทย ๗ คนถูกทหารกัมพูชาจับตัว จนในที่สุด ศาลกัมพูชาพิพากษาจำคุก ๕ คนไทยคนละ ๙ เดือนและปรับเป็นเงินจำนวน ๑ ล้านเรียล โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ก่อน ซึ่งก็มีความหมายว่ากระทำความผิดจริง แต่ยังไม่ต้องถูกติดคุกนั่นเอง
เหตุการณ์ต่างๆที่สับสนในตอนแรกเริ่มกระจ่างขึ้นตามลำดับ แต่ก็ยังเป็นที่สงสัยว่า“ใครได้อะไร เมื่อไหร่ และอย่างไร” ซึ่งใช้เป็นคำอธิบายว่า “การเมืองคืออะไร” (Politics is,who gets "What", "When", and "How")ของฮาโรลด์ ลาสเวลล์ (Harold D. Lasswell)ปรมาจารย์ทางรัฐศาสตร์ชาวอเมริกันที่โด่งดัง
ที่ผมยกนิยามศัพท์ของคำว่า “การเมืองคืออะไร”มากล่าวถึงกรณี ๗ คนไทย ก็เนื่องเพราะว่า กรณีนี้เป็นกรณีการเมืองโดยแท้
ถึงแม้ว่าจะมีกรณีการบังคับใช้กฎหมายของศาลกัมพูชามาเกี่ยวข้องด้วยก็ตาม แต่ก็เป็นกรณีที่ฝ่ายการเมืองของกัมพูชาที่ใช้ศาลเป็นเครื่องมือในการดำเนินการทางการเมืองกับไทยเช่นกัน
จุดเริ่มต้นของกรณีนี้เกิดขึ้นจากมีการพยายามที่จะใช้การปลุกกระแสชาตินิยมในกรณีพิพาทเรื่องเขตแดนของกลุ่มการเมืองบางกลุ่มและรัฐบาลเอง เพื่อสร้างคะแนนนิยมของกลุ่มการเมืองและกลบปัญหาความไม่เอาไหนของรัฐบาลเอง
แต่่การณ์กลับไม่เป็นไปดังที่คาดหวัง เนื่องจากมีเข้าร่วมการชุมนุมจำนวนไม่มากนัก และมิหนำซ้ำยังถูกต่อต้านจากคนในพื้นที่ จึงได้มีการตัดสินใจยกระดับการจุดชนวนด้วยการเดินข้ามแดนเข้าไปให้ทหารกัมพูชาจับกุมตัว โดยหวังที่จะปลุกกระแสความรักชาติขึ้นมา
ในเบื้องแรก ผู้ก่อการเรื่องดังกล่าวคงมิได้คาดหมายเหตุการณ์จะพลิกผันว่า จะมีการดำเนินคดีจนถึงกับมีการขึ้นโรงขึ้นศาลจนถึงต้องมีการขังคุก(ขี้ไก่)จนแมลงสาบแทะหัว กว่าจะได้ประกันตัวและตัดสินคดีก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด
คณะดังกล่าวคงนึกแต่เพียงว่า หากมีการจับกุมในพื้นที่คงสามารถเจรจาได้เหมือนครั้งที่ผ่านๆมา แล้วค่อยนำข่าวไปสร้างกระแส
แต่เหตุไม่คาดฝันย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ เพราะทหารกัมพูชาที่จับกุมเกิดจำนายวีระ สมความคิด ที่เคยถูกจับมาแล้วแต่ถูกปล่อยตัวพร้อมกับทำทัณฑ์บนไว้แล้วเมื่อไม่นานมานี้
กอปรกับนายวีระเองก็ถูกทางการกัมพูชาขึ้นบัญชีดำไว้แล้วเพราะด่าฮุนเซ็นไว้เยอะ การณ์จึงกลับไปเข้าล็อกทางฝ่ายกัมพูชา บุคคลทั้งเจ็ดจึงถูกส่งตัวไปยังพนมเปญ พร้อมกับการถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองของรัฐบาลฮุุนเซ็น
การจงใจที่จะให้ถูกทางการกัมพูชาจับกุมนั้นปรากฏชัดเจนขึ้นเป็นลำดับ ไม่ว่าจะเป็นภาพจากวิดีโอที่ถูกบันทึกไว้ ไม่ว่าจะเป็นการออกมาเรียกร้องในทันทีทันควันของขบวนการคลั่งชาติ ที่ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลไทยปะทะกับกัมพูชาเพื่อให้บานปลายให้ได้
เป้าหมายก็เพื่อให้มีการตัดความสัมพันธ์ของสองประเทศ มีการเรียกร้องให้ปิดพรมแดนเพื่อตอบโต้ จากนั้นนำไปสู่การตัดสัมพันธ์ทางการทูต และที่ร้ายที่สุดมีการเรียกร้องจากทหารเก่าหลงยุคที่ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลใช้มาตรการทางทหารออกมากดดันรัฐบาลกัมพูชาเพื่อให้ปล่อยตัวผู้ต้องหา
แต่โชคดีที่ปลุกกระแสไม่ขึ้น เพราะไม่เช่นนั้นเราอาจจะได้เห็นการคืนชีพของพวกคลั่งชาติที่กลับมายิ่งใหญ่เป็นผู้นำประชาชนบนความหายนะของประเทศ
เพราะชายแดนจะถูกแปรจากสนามการค้ากลายเป็นสนามรบ ประชาชนทั้งสองประเทศอพยพหลบหนีการสู้รบกันอย่างน่าเวทนาดังปรากฏในหลายประเทศแถบอาฟริกา
เราอาจจะได้เห็นผู้คนและทหาร ชั้นผู้น้อยล้มตายด้วยเหตุผลเพียงว่า เพื่อรักษาผืนแผ่นดินที่พิพาท ตามแผนการกระหายอำนาจของกลุ่มล้าหลังคลั่งชาติพวกนี้
ทางฝ่ายรัฐบาลเองนั้นเล่า นอกจากจะดำเนินนโยบายทางการทูตแบบตีสองหน้ากับประเทศเพื่อนบ้านแล้ว หลังจากที่เกิดปัญหาความกินแหนงแคลงใจกับกลุ่มการเมืองที่ส่งเสริมตัวเองให้ขึ้นสู่อำนาจ ก็พยายามเอาใจโดยการเล่นการเมืองแบบตีสองหน้าอีกเช่นกัน
โดยแสร้งว่า ไม่ยอมรับการกดดันทางนโยบายจากกลุ่มนี้ แต่กลับส่ง ส.ส.คนสนิทกับหัวหน้ารัฐบาลเข้าร่วมกระบวนการดังกล่าว โดยหวังเพื่อแสดงให้เห็นว่ายังมีไมตรีกันอยู่ และหวังผลทางการเมืองในเบื้องลึกคือการเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่บนสถานการณ์ความขัดแย้งในกระแสความรักชาติที่ดุเดือดเลือดพล่าน
นอกจากนั้นการพยายามปลุกกระแสคลั่งชาติ โดยการยอมลงทุนให้คนของตัวเองถูกจับนั้น ก็ยังหวังผลของการกลบกระแสของการเรียกร้องผลของการค้นหาความจริงกรณี ๙๑ ศพให้เงียบลง อย่างน้อยก็ชั่วคราวในระยะเฉพาะหน้าก่อนที่จะมีการเลือกตั้งใหญ่เสียก่อนหลังจากนั้นค่อยว่ากันทีหลัง
เป็นแก้ผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ และเผื่อฟลุ้กจุดกระแสติดก็จะได้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมากเด็ดขาดพรรคเดียวไปเลย
แต่ก็เป็นที่น่าดีใจที่คนไทยส่วนใหญ่ติดตามข่าวสารด้วยสนใจและเห็นใจผู้ถูกจับ แต่ไม่หลงกลตกเป็นเหยื่อของอุบายอันซ่อนเร้นนี้
กระแสการปลุกความรักชาติจึงไม่แปรเปลี่ยนไปเป็นกระแสความคลั่งชาติตามที่กลุ่มการเมืองและรัฐบาลมุ่งหวัง
เหตุดังกล่าวนี้มิใช่คนไทยส่วนใหญ่ไม่รักชาติ แต่คนไทยในยุค “2G ครึ่ง”นี้เข้าถึงเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้หลายทางนอกเหนือจากสื่อของกลุ่มการเมืองดังกล่าว และสื่อกระแสของรัฐบาล ทำให้คนไทยได้รู้ว่าอะไรจริง อะไรเท็จ ถึงแม้ว่าจะรู้ไม่หมดทุกอย่างถึงเบื้องหลังอุบายดังกล่าวก็ตาม
แต่ที่เหนือสิ่งอื่นใดคนไทยเรารู้ว่า หากเกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา เราก็จะเป็นเหมือนกับอีกหลายๆประเทศที่ตกเป็นเหยื่อของสงคราม ผู้คนบาดเจ็บล้มตายโดยไม่มีเหตุผล มีแต่ความอดอยากยากแค้น ดังปรากฏเป็นข่าวที่รับรู้กันโดยทั่วไป
คนไทยเรารู้ว่าโลกยุคใหม่มิใช่ยุคชาตินิยมล้าหลังคลั่งชาติที่เมื่อเกิดความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านนิดๆหน่อยๆก็ไม่จำเป็นต้องสู้รบกันให้แตกหักกันไปข้างหนึ่งอีกต่อไปแล้ว
คนไทยรู้ว่าอย่างไรเสียเรากับประเทศเพื่อบ้านไม่ว่าจะเป็นกัมพูชา ลาวหรือพม่าและแม้แต่่มาเลเซียก็ตาม เราไม่สามารถยกประเทศหนีกันไปได้ และก็หมดยุคที่จะใช้กำลังทหารเข้ายึดครองประเทศอื่นมาเป็นของตนเองอีกต่อไป
ที่สำคัญก็คือแน่ใจได้อย่างไรว่า หากเรารบแล้วจะชนะ เพราะแม้แต่สหรัฐอเมริกาที่เป็นมหาอำนาจทางทหารยังรบแพ้ในสงครามเวียดนาม และกำลังแพ้อีกในสงครามอิรัก จนโอบามาต้องออกนโยบายว่า จะถอนทหารเพื่อไม่ให้เสียหน้าการเป็นมหาอำนาจของตนเอง
อย่างไรก็ตามแม้ว่าไทยเราจะรบชนะแต่ก็คงหืดขึ้นคอ หรือสะบักสะบอม สูญเสียมาก แต่เราก็จะแพ้ในเวทีโลก แต่หากจะพูดแบบไม่เกรงใจละก็ทหารไทยเราห่างสมรภูมิไปนาน ต่างจากทหารกัมพูชาที่รบมาทั้งชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งทหารเขมรแดงที่ฮุนเซ็นเอามาใช้งาน ว่ากันว่าทหารกัมพูชาเชื่อว่ าหากสู้กันตัวต่อตัวแล้วล่ะก็ต้องใช้ทหารไทยถึง ๓ หรือ ๕ คน สู้กับทหารกัมพูชาเพียงคนเดียวจึงจะเอาชนะได้
การเจรจาด้วยสันติวิธี การตกลงผลประโยชน์ร่วมกัน การเป็นเพื่อนบ้านที่มีไมตรีต่อกันต่างหากที่เป็นนโยบายที่สมประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย
การได้เปรียบเสียเปรียบกันบ้างเล็กๆน้อยๆอยู่ที่ฝีมือของกระทรวงการต่างประเทศและผู้ที่เกี่ยวข้องที่จะเป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งฝีมือทางด้านการต่างประเทศหรือทางการทูตของไทยก็ปรากฏเป็นเป็นที่เลื่องลือในความยอดเยี่ยมมาช้านาน
ตัวอย่างที่เห็นชัดก็คือแม้แต่เราจะได้ประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตรซึ่งเป็นผู้ชนะในสงครามโลกครั้งที่สอง เรายังไม่ตกเป็นประเทศที่เป็นฝ่ายแพ้สงครามเลย
แต่ปัจจุบันเรากลับท้าตีท้าต่อยกับเขาไปทั่ว นับเป็นยุคที่ตกต่ำที่สุดของนโยบายการต่างประเทศของไทยเรา ซึ่งยังไม่รวมถึงการที่ให้เลขานุการรัฐมนตรีฯทำหน้าที่ให้ข่าวสำคัญๆต่อสื่อมวลชนแทนโฆษกกระทรวงฯ ทั้งๆที่ไม่มีแนวธรรมเนียมปฏิบัติทางการทูตแต่อย่างใด
ประเด็นสำคัญที่เราจะมองข้ามไปไม่ได้เลยก็คือ การที่เรายอมรับคำพิพากษาของศาลกัมพูชาโดยไม่มีการอุทธรณ์ซึ่งทำให้คดีถึงที่สุด โดยความหมายก็คือเรายอมรับเขตอำนาจศาลกัมพูชาว่า มีอำนาจเหนือเขตแดนดังกล่าว ทำให้เราต้องเสียเปรียบหรืออำนาจต่อรองในการปักปันเขตแดนในภาพรวมต่อไปในอนาคต
ซึ่งเข้าหลักกฎหมายปิดปากที่ทำให้เราแพ้คดีประสาทพระวิหารในศาลโลกมาแล้วในอดีต
ถึงแม้ว่านายอภิสิทธิ์จะพยายามชี้แจงว่า คำพิพากษาผูกพันเฉพาะคู่ความก็ตาม แต่ก็เป็นการพูดความจริงเพียงครึ่งเดียว เพราะแม้ว่าในคำบังคับจะผูกพันเฉพาะคู่ความหรือคู่กรณี แต่หลักกฎหมายที่ศาลได้วางไว้ย่อมเป็นแนวที่ต้องปฏิบัติตาม
ดังจะเห็นได้จากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ หรือคำพิพากษาของศาลปกครองที่ผ่านมา ที่สำคัญก็คือกรณีคำพิพากษาฏีกาคดีอาชญากรสงคราม หรือกรณีการยึดทรัพย์ของผู้นำรัฐบาลที่ถูกรัฐประหาร เป็นต้น
ฤาว่ารัฐบาลของนายอภิสิทธิ์จะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ชาติไทยว่ าเป็นยุคที่เราต้องเสียดินแดนให้กัมพูชาเพราะความ “คลั่งชาติ”ของคนบางกลุ่ม และความ “อ่อนหัด”ของผู้นำรัฐบาลนั่นเอง
--------------------------
หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๔