ที่มา บางกอกทูเดย์
ขยันท้าตีท้าต่อยเพื่อนบ้านทุกวัน
คนไทยรับเคราะห์ถูกจับเป็นว่าเล่น
แม้แต่ชาวบ้านธรรมดา ก็ยังรู้ว่า การมีเพื่อนบ้านที่ดีอยู่รอบข้างนั้น มีประโยชน์อย่างไร
อย่างในยุคปัจจุบัน ที่สังคมเมืองทำให้คนในกรุงเทพฯรู้จักเพื่อนบ้านน้อยลง เพราะเช้าก็ออกจากบ้าน กว่าจะกลับก็ค่ำมืด เลยไม่เคยเจอหน้า ไม่เคยรู้ว่าเพื่อนบ้านหน้าตาเป็นอย่างไร
สังคมแบบนี้แหละที่กลายเป็นจุดอ่อนให้อาชญากรรมลักเล็กขโมยน้อย ไปจนกระทั่งถึงการปล้น การสวมรอยเข้ามา สามารถทำได้ง่ายๆ โดยเพื่อนบ้านไม่ได้รู้เลยว่า ที่กำลังขนของขึ้นรถกันจ้าละหวั่นนั้น ไม่ใช่เจ้าของบ้าน แต่เป็นโจร เป็นขโมย
ดังนั้นการแก้ไขปัญหาของตำรวจ จึงได้มีการแนะนำให้บรรดาคนกรุง หันมาคบเพื่อนบ้านมาทำความรู้จักมักคุ้นกับเพื่อนบ้านให้มากขึ้น เกิดอะไรขึ้นจะได้พึ่งพากันได้ เรียกว่ามีเพื่อนบ้านเอาไว้เป็นรั้ว เป็นหูเป็นตาให้ ซึ่งเรื่องแบบนี้ในสังคมชนบท ในสังคมไทยแต่ดั้งเดิม ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา
แต่สิ่งที่ไม่น่าเชื่อที่เกิดขึ้นกับสังคมไทย กับประเทศไทยในตอนนี้ก็คือ รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไม่รู้ถึงวิธีคิดวิถีตะวันออกแบบนี้เลยสักนิด
เพราะนับตั้งแต่เข้ามาเป็นบริหารประเทศ ปรากฏว่ารัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ มีปัญหากับประเทศเพื่อนบ้านไปหมด
ไม่ใช่เพียงแค่เฉพาะเจ้าประจำ กัมพูชา ที่มีสมเด็จฯฮุนเซนเป็นนายกรัฐมนตรีเท่านั้น
แต่บรรดาประเทศเพื่อนบ้านรอบข้าง ไม่ว่าพม่า จีน ลาว เวียดนาม กัมพูชา มาเลเซีย รวมทั้งสิงคโปร์ ปรากฏว่าสัมพันธภาพทางการทูตระหว่างประเทศเป็นในลักษณะที่ลุ่มๆดอนๆทั้งสิ้น
หลายประเทศอยู่ในภาวะที่เอือมระอา ในขณะที่หลายประเทศทำเพียงแค่รักษามารยาททางการทูต โดยที่ไม่ต้องการที่จะกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น
ในขณะที่บางประเทศ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ก็ให้รักษาระยะห่างเอาไว้เป็นดีที่สุด
ซึ่งเรื่องนี้นายอภิสิทธิ์นั่นแหละควรที่จะรู้ดีที่สุดว่า ในช่วง 2 ปี ที่เข้ามาเป็นรัฐบาลโดยที่ติดภาพในเรื่องของการเป็นรัฐบาลที่ได้รับการโอบอุ้มโดยทหาร ที่ผ่านการทำรัฐประหารมานั้น เพื่อนบ้านให้ความสนิทสนมแค่ไหน
ในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา นอกจากเป็นการประชุมนานาชาติตามรอบวาระแล้ว มีกี่ประเทศที่อยากให้นายอภิสิทธิ์ไปเยือน บางประเทศว่ากันว่า พยายามที่ขอไปเยือนยังเจอข้ออ้างว่า ยังหาจังหวะเวลาที่เหมาะสมไม่ได้ จนสุดท้ายต้องอาศัยบารมีกลุ่มอำนาจทหารให้ช่วยประสานให้
ซึ่งเรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ก็รู้ดี เพราะเคยต้องช่วยประสานให้มาแล้วอย่างน้อย 1 ประเทศ
จุดอ่อนนี้ หากจะมองว่าเป็นบาปกรรมที่ตกทอดมาจากการทำรัฐประหารในปี 2549 ก็สามารถที่จะกล่าวอ้างได้ เพราะในนานาประเทศทั่วไปแล้ว ย่อมไม่อยากจะสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับประเทศที่มีรัฐบาลซึ่งมีปัญหาเรื่องภาพลักษณ์ประชาธิปไตยที่แท้จริงสักเท่าไรนัก
เพราะไม่รู้ว่า วันดีคืนดีประชาชนในประเทศของตนจะออกมาประท้วงรัฐบาล ว่าไปคบกับรัฐบาลทหารทำไม???
ขึ้นชื่อว่ารัฐบาลทหาร ไม่ว่าประเทศใดในโลกนี้ก็ล้วนแล้วแต่มีภาพที่เป็นลบมากกว่าเป็นบวกด้วยกันทั้งนั้น
ซึ่งแม้ว่ารัฐบาลไทยจะเป็นรัฐบาลทหารแฝงรูป แต่สังคมโลกก็รับรู้ทั่วกัน เพราะนิตยสารไทม์ ยังยกให้เหตุการณ์สลายการชุมนุมนองเลือด พฤษภาอำมะหิต เป็น 1 ในเหตุการณ์ดังในรอบปี 2553
แล้วจะมีใครไม่รู้บ้างว่า รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ มีที่มาที่ไปอย่างไร หรือมีอำนาจพิเศษอะไรหนุนหลังบ้าง
แต่อีกประเด็นหนึ่งที่นายอภิสิทธิ์ ซึ่งก็เป็นถึงนักเรียนนอก จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยดังของโลก ซึ่งน่าจะรู้ดีว่า ภาพลักษณ์ในเรื่องของกระทรวงการต่างประเทศนั้น ในระบบสากลแล้ว ทุกๆประเทศที่เจริญแล้วให้ความสำคัญมากเพียงใด?
กลับปรากฏว่าในการตั้งรัฐบาล นายอภิสิทธิ์จะด้วยความจำเป็นในการตอบแทนคุณบรรดากลุ่มต่างๆ ที่ช่วยหนุนและสร้างโอกาสให้แทรกวาระขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้ หรือเพราะไม่สามารถที่จะปฏิเสธคำขอพิเศษบางประการได้
ได้มีการตั้งนายกษิต ภิรมย์ แกนนำกลุ่มม็อบพันธมิตร ที่มีส่วนร่วมอยู่ในเหตุการณ์ยึดและปิดสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นสนามบินนานาชาติในสายตาของประชาคมโลก แต่กลับได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
แถมก่อนหน้านั้นก็รู้ทั้งรู้ว่า นายกษิตได้เคยมีคำพูดคำจาพาดพิงถึงผู้นำรัฐบาลประเทศเพื่อนบ้านบางประเทศอย่างไรบ้าง
จุดนี้แหละที่ทำให้ในสายตาของประเทศเพื่อนบ้าน ต่างไม่เข้าใจ และกลายเป็นระยะห่างในความสัมพันธ์ระดับประเทศขึ้นมาในทันที!!!
ที่สำคัญและยิ่งกลายเป็นการเพิ่มความอึดอัดให้กับบรรดาประเทศเพื่อนบ้าน และมิตรประเทศต่างๆของไทย ก็คือเรื่องการทำหน้าที่ในการไล่ล่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จนออกนอกหน้าของนายกษิต
หนังสือขอความร่วมมือในรูปแบบต่างๆ ที่ออกไปยังประเทศต่างๆในยุคที่นายกษิตนั่งเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ได้สร้างความพะอืดพะอมอิหลักอิเหรื่อให้กับประเทศต่างๆเป็นจำนวนมาก
แต่ตลอดมาเช่นกัน นายอภิสิทธิ์ไม่ได้มีความพยายามที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้เลยสักนิด
ทั้งๆ ที่หากใช้วิจารณญาณคิดง่ายๆว่า หากประเทศอื่นๆเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้ร้ายข้ามแดนอย่างที่กระทรวงการต่างประเทศยุคของนายกษิตมองจริงๆ การส่งตัวก็คงเกิดขึ้นมานานแล้ว เพราะนี่เป็นเวลากว่า 2 ปีแล้ว
แต่เพราะต่างประเทศรู้ดีว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดกับรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ในปี 2549 นั้นคืออะไร? จึงเป็นไปได้หรือไม่ว่า ต่างประเทศมองในมุมของการเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมืองเสียมากกว่า
ทำให้ทุกวันนี้ไม่มีใครที่จะสนใจให้ความร่วมมือกับกระทรวงการต่างประเทศของไทยเลย
และไม่ใช่เพียงแค่ประเทศกัมพูชาประเทศเดียวอย่างที่นายกษิตคิด หรือนายอภิสิทธิ์เข้าใจ
ไม่ว่าอย่างไร วันนี้ การสอบตกในเรื่องผลงานของกระทรวงการต่างประเทศ ยุคที่มีนายกษิต เป็นรัฐมนตรีว่าการ กำลังสะท้อนปัญหาออกมาให้สังคมเห็นมากขึ้นเรื่อยๆ
อย่างเช่นกรณีการจับกุมคนไทยของบรรดาประเทศเพื่อนบ้านของไทยเอง
ไม่ใช่แค่ 7 คนไทยที่ถูกกัมพูชาจับกุมตัว ซึ่งอาจจะมองได้ว่า เป็นเรื่องระหองระแหงกันต่อเนื่อง เพราะยังมีประเด็นปราสาทพระวิหาร มีประเด็นม็อบพันธมิตร และกลุ่มสื่อที่สนับสนุน ที่กดดันในเรื่องเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็อาจจะเป็นเหตุให้เกิดการจับกุม 7 คนไทยแบบจริงๆจังๆก็ได้
แต่ถึงขณะนี้ ไม่ได้มีเพียงแค่ประเทศกัมพูชาแล้วที่จับกุมคนไทย ประเทศพม่าก็มี โดยเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2554 ทหารรัฐบาลพม่าก็มีการจับราษฎรไทย บ้านออกฮู ตำบลวาเล่ย์ อ.พบพระ จ.ตาก จำนวน 8 คนไทยบริเวณบ้านห้วยโพมูบอ ในเขตชายแดนของพม่าด้วยเช่นกัน
โดยคนไทยทั้งหมดได้ข้ามไปหาปลา ระหว่างนั้นทหารรัฐบาลพม่าได้ลาดตระเวนไปพบ จึงเข้าทำการจับกุมทั้งหมด
ประกอบด้วย นายเมธี คีรีทัศนัย นายแพทู คีรีไกลวัลย์ นายตะนุ คีรีไกลวัลย์ นายหม่อชิ ไม่มีนามสกุล นางมะหมี่ คีรีไกลวัลย์ นางตะลา ไม่มีนามสกุล นางปาละโม และนายพะคึ โดยทั้งหมดทหารพม่าได้ควบคุมตัวไว้ที่กองบังคับยุทธวิธีที่ 3
ซึ่งเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของไทย และแกนนำชาวบ้านพยายามติดต่อทหารพม่าเพื่อให้ปล่อยตัวราษฎรไทยทั้งหมด แต่การติดต่อประสานงานเป็นไปด้วยความยากลำบาก
อย่างไรก็ตามนายสามารถ ลอยฟ้า ผวจ.ตาก ได้สั่งการให้ นายพจน์ หรูวรนันท์ นอภ.พบพระ รวมทั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ ที่มีความมักคุ้นกับทางพม่า ช่วยเจรจาให้มีการปล่อยตัว เพราะคนไทยทั้งหมดไม่ใช่สายข่าวของทหารกะเหรี่ยง เป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาที่เข้าไปเก็บข้าวโพดที่ปลูกไว้
ถึงขนาดที่ว่าหากการเจรจาไม่เป็นผลก็ต้องให้ทางชุดประสานงานชายแดนไทย หรือ (ทีบีซี)เจรจากับ ทีบีซีของพม่า อีกทีหนึ่ง
ยังโชคดีที่ไม่มีการเจรจาโดยกระทรวงต่างประเทศของไทย ทำให้สุดท้ายทางการพม่าได้ปล่อยตัวราษฎรไทยมาหมดแล้ว ไม่เช่นนั้นไม่รู้ว่าเรื่องจะบานปลายอีกหรือไม่หากกระทรวงต่างประเทศยื่นมือเข้ามา
หรืออย่างก่อนหน้านั้นในช่วงปลายปีที่แล้ว หน่วย “มารีนทาม” ซึ่งเป็นหน่วยปราบปรามทางทะเลของประเทศมาเลเซีย ก็ได้มีการจับกุมผู้โดยสารและลูกเรือ โดยสารระหว่าง จ.สตูล-รัฐเปอร์ลิส ประเทศมาเลเซีย ชื่อเรือ “บุหงานาวา2”โดยถูกจับกุมทั้งหมด 9 คน ข้อหา “นำสิ่งของออกจากประเทศมาเลเซีย”โดยไม่ได้รับอนุญาต
และได้นำผู้ต้องหาคนไทยทั้งหมดไปควบคุมตัวที่โรงพักเมืองกาง่า รัฐเปอร์ลิส ประเทศมาเลเซีย มาแล้วเช่นกัน ยังโชคดีที่ศาลรัฐเปอร์ลิส ได้สั่งเปรียบเทียบปรับคนละ 1 แสนบาท เนื่องจากบางคนอาศัยโดยสารมากับเรือที่เกิดเหตุและไม่มีสิ่งของผิดกฎหมายติดตัวมาแต่อย่างใด
ซึ่งเรื่องทำนองนี้ในฐานะประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงสมควรจะเกิดหรือไม่ เป็นสิ่งที่รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์จะต้องตอบ และจะต้องตระหนักด้วยว่า เกิดขึ้นเพราะอะไร???
หรืออย่างล่าสุดเมื่อวันที่ 24 ม.ค. 54 ก็มีรายงานข่าวจากฮ่องกงว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจฮ่องกงได้ควบคุมตัว นายสาคร เกี่ยวข้อง ส.ส.กระบี่ พรรคประชาธิปัตย์ ที่ได้ร่วมกับคณะกรรมาธิการวิสามัญสภาฯ ในสภาผู้แทนราษฎร เดินทางไปเพื่อศึกษาดูงานด้านการตลาดยางพารา เพื่อพิจารณา พ.ร.บ.ยางพารา ที่ฮ่องกง ไว้ตั้งแต่ช่วงเย็นของวันที่ 22 มกราคมที่ผ่านมา
เนื่องจากทางเจ้าหน้าที่ต้องสงสัยว่า นายสาคร ได้ขโมยของในร้านปลอดภาษีที่สนามบินฮ่องกง ซึ่งขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่สถานกงศุลใหญ่กำลังประสานงานเรื่องดังกล่าวอยู่
ซึ่งสุดท้ายนายอภิสิทธิ์ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมายืนยันแล้วว่า นายสาคร เกี่ยวข้อง ส.ส.ของพรรคถูกทางการฮ่องกงควบคุมอยู่จริง
ขณะที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ บอกว่า รู้สึกแปลกใจที่นายสาครโดนจับ โดยเห็นว่าคงเป็นเพียงความเข้าใจผิด เนื่องจากนายสาครเป็นคนมีฐานะ
แม้ว่าสุดท้ายเรื่องดังกล่าวจะเป็นเรื่องที่บอกว่าแคชเชียร์ที่ไม่ได้สแกนบาร์โค้ดสินค้าให้ครบทุกชิ้น เมื่อนายสาคร เดินออกจากจุดชำระเงินเครื่องตรวจจับจึงดังขึ้น และเจ้าหน้าที่ในร้านก็กล่าวหาว่าลักทรัพย์ แต่ก็ได้เคลียร์กันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คือให้นายสาคร ชำระเงินของสินค้าในส่วนที่ไม่ได้สแกน
ขณะที่ทางกระบวนการยุติธรรมของประเทศฮ่องกง ได้ตัดสินเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยได้พิจารณาเป็นกรณีของการทะเลาะวิวาทไม่ใช่เรื่องขโมยสินค้า และนายสาครสามารถที่จะกลับประเทศไทยได้แล้ว
แต่เรื่องเหล่านี้หากทางกระทรวงการต่างประเทศของไทย มีสัมพันธภาพที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้าน เรื่องเล็กๆเหล่านี้อาจจะมีการขอกันได้ ไม่กลายเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาอย่างที่เกิดขึ้นกับหลายกรณีหลายประเทศในช่วง ปี 2 ปีนี้
คำถามจึงวกเข้าใส่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ว่า แล้วเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าประเทศไทยจะอยู่ร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงอย่างไ??ร
ไทยซึ่งเคยคิดว่าเป็นพี่ใหญ่ในภูมิภาคนี้ ยังเป็นพี่ใหญ่ในสายตาประเทศเพื่อนบ้านหรือไม่???
ที่สำคัญในเมื่อนายอภิสิทธิ์ ก็รู้ดีว่า ประเทศเพื่อนบ้านไม่ชอบนายกษิต และนายกษิตคือจุดอ่อนในเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ในเรื่องของความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศเพื่อนบ้าน
ทำไมนายอภิสิทธิ์ จึงไม่คิดจะแก้ไขปัญหาให้ตรงจุด
หรือจะปล่อยให้การตอบแทนบุญคุณ สร้างผลกระทบกับประเทศเพื่อนบ้านให้ครบเสียก่อน
วันนั้นประเทศไทยคงวังเวงน่าดู.....!!!