ที่มา ประชาไท
การ จลาจลเมื่อเดือนสิงหาคมในเมืองต่างๆ ของอังกฤษ เป็นผลของนโยบายรัฐบาลแนวร่วมพรรคอนุรักษ์นิยม-เสรีนิยม ที่ใช้กลไกตลาดเสรีสุดขั้วเพื่อตัดงบประมาณรัฐ โดยอ้างว่า “ต้อง” ลดหนี้สาธารณะเพื่อรักษา “วินัยทางการคลัง”
คำพูดเรื่องวินัยทางการ คลังนี้ เรามักได้ยินออกมาจากปากนักการเมืองเสรีนิยมอย่างอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และกรณ์ จาติกวณิช โดยเฉพาะเวลารัฐบาลไทยรักไทยใช้งบประมาณเพื่อพัฒนาสถานภาพคนจน แต่เมื่อมีการเพิ่มงบประมาณทหารสองเท่าหลังรัฐประหาร 19 กันยา ไม่มีใครพูดอะไร
ในกรณีอังกฤษ หนี้สาธารณะไม่ได้สูงเป็นประวัติศาสตร์ตามที่รัฐบาลอ้าง เพราะหลังสงครามโลกครั้งที่สองสูงกว่านี้สองเท่า แต่เขายังสร้างรัฐสวัสดิการได้ และที่สำคัญหนี้สาธารณะที่ขยายตัวตอนนี้มาจากการเอาเงินประชาชนไปอุ้มธนาคาร ที่เต็มไปด้วยหนี้เสียจากการปั่นหุ้น แต่ไม่มีรัฐมนตรีหรือนักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักคนไหนที่เสนอว่าต้องไปเก็บคืน จากนายธนาคารและคนรวยที่เคยได้ดิบได้ดีจากการเล่นหุ้น
รัฐบาลแนวร่วม พรรคอนุรักษ์นิยม-เสรีนิยมอังกฤษ ตัดการบริการสาธารณะ ตัดตำแหน่งงาน ตัดรัฐสวัสดิการ ทำลายชีวิตและอนาคตของเยาวชน มีการตัดทุนเพื่อการศึกษาของวัยรุ่นและตัดศูนย์วัยรุ่นอีกด้วย หลายคนคาดว่าคงจะเกิดเหตุจลาจลในไม่ช้า แต่นักการเมืองตอนนี้ทำเป็น “ตกใจ”
สิ่ง ที่จุดไฟให้ระเบิดขึ้นครั้งนี้ คือท่าทีก้าวร้าวของตำรวจที่รังแกเยาวชนและคนผิวดำอย่างต่อเนื่อง จนตำรวจยิงปืนฆ่าชายคนหนึ่งตายโดยอ้างว่าเป็นโจร ทั้งๆที่ไม่มีหลักฐานอะไร จะเห็นว่าคนจน โดยเฉพาะเยาวชนถูกกดดันจากนโยบายรัฐบาล และจากตำรวจ
ตอน นี้ระดับว่างงานของเยาวชนสูงมาก บัณทิตที่จบมหาวิทยาลัยตกงานถึง 14% เป็นบัณทิตชายสูงถึง 18% สำหรับเยาวชนทั่วไป ระดับการว่างงานสูงเกิน 20% ถ้าพูดถึงคนจนในเมือง ระดับการว่างงานสูงกว่านี้อีกมาก โดยเฉพาะในหมู่คนผิวดำ ย่านทอตแนม ซึ่งเป็นย่านเกิดเหตุครั้งแรก มีระดับการว่างงานของเยาวชนสูงที่สุดในลอนดอน การที่เยาวชนจำนวนมากที่กำลังเรียนระดับ ม.6 ต้องพึ่งเงินทุนเพื่อการศึกษาที่รัฐบาลกำลังตัด เป็นเหตุให้นักเรียนออกมาประท้วงร่วมกับนักศึกษามหาวิทยาลัยเมื่อปลายปีที่ แล้ว และมีการบุกเข้าไปในที่ทำการพรรคอนุรักษ์นิยมด้วย
สภาพเศรษฐกิจ ที่มีผลจากวิกฤตโลก ทำให้คนหนุ่มสาวตกงานและขาดอนาคต เป็นสาเหตุสำคัญของการลุกฮือล้มเผด็จการในอียิปต์กับตูนิเซีย และเป็นสิ่งที่ทำให้เยาวชนสเปนออกมาสร้างค่ายประท้วงตามเมืองต่างๆ แม้แต่ในชิลี ซึ่งเป็นประเทศลาตินอเมริกัน ก็มีการประท้วงของนักศึกษาในประเด็นคล้ายๆ กัน
นอกจากการจลาจลแล้ว ที่อังกฤษมีการ “ร่วมกันกระจายทรัพย์สู่คนจน” โดยการบุกร้านค้า เพื่อยึดเอาของใช้ประจำวันและสินค้าราคาแพงที่คนจนไม่มีวันซื้อได้
การ จลาจลครั้งนี้ทำให้หลายคนมองย้อนหลังสู่การจลาจลในปี 1981 สมัยรัฐบาลพรรคอนุรักษ์นิยมขวาสุดขั้วของนางแทชเชอร์ เพราะสถานการณ์คล้ายกันมาก คือมีการตัดงบประมาณในสภาพวิกฤตเศรษฐกิจ ทำลายตำแหน่งงาน ทำลายอนาคตคนธรรมดา และตำรวจมีท่าทีก้าวร้าวเหยี่ยดสีผิวจนฆ่าผู้หญิงผิวดำตายสองคน หลังการจลาจลครั้งนั้น นักมาร์คซิสต์อังกฤษชื่อ คริส ฮาร์แมน เขียนไว้ว่า
“สำหรับ หลายคนที่มีส่วนร่วมในการจลาจล มันเป็นประสบการณ์ยิ่งใหญ่ของชีวิต เพราะการร่วมจลาจลทำให้รู้สึกว่าได้โอกาสที่จะลุกขึ้นสู้ร่วมกับคนอื่น และมีผลต่อสังคม แทนที่จะมีชีวิตแบบโดดเดี่ยวที่ซ้ำซากน่าเบื่อ และแทนที่จะเป็นเหยื่ออย่างเดียว ดังนั้นหลังการจลาจล คนที่เข้าร่วมไม่เคยรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเลย ทั้งๆ ที่การจลาจลเป็นการต่อสู้ราคาแพงสำหรับเขา เพราะฝ่ายประชาชนบาดเจ็บมากกว่าตำรวจ และถูกจับจำนวนมาก
"แต่การ จลาจลมีจุดอ่อนมหาศาลถ้าเทียบกับการนัดหยุดงาน เพราะเวลากรรมาชีพนัดหยุดงาน เขาจะมีประสบการณ์ร่วมที่เพิ่มความรู้สึกในความสมานฉันท์ และที่สำคัญสามารถท้าทายโครงสร้างระบบทุนนิยมได้โดยการปิดท่อส่ง “มูลค่า” และทำให้ระบบเศรษฐกิจอัมพาต มันมีผลระยะยาวมากกว่าการก่อจลาจล และมันนำไปสู่การจัดตั้งและเรียนรู้ทางการเมืองได้ดีกว่า” (http://www.marxists.org/archive/harman/1981/xx/riots.html)
เมื่อ ต้นปีนี้มีการเดินขบวนครั้งยิ่งใหญ่ของนักสหภาพแรงงานอังกฤษเพื่อ ต้านนโยบายรัฐบาล และเมื่อปลายเดือนมิถุนายนมีการนัดหยุดงานร่วมกันของสหภาพแรงงานในภาครัฐ ในช่วงนี้นักสังคมนิยมและนักสหภาพแรงงานรากหญ้ากำลังรณรงค์กดดันสภาแรงงาน อังกฤษให้จัดการนัดหยุดงานทั่วไปอย่างที่เราเห็นในกรีซ
หลายคนใน อังกฤษที่เกลียดชังนโยบายของรัฐบาลเศรษฐีอังกฤษ กำลังคิดในใจว่า “สมน้ำหน้ารัฐบาล” และในไทยเราไม่ควรลืมว่า พวกเศรษฐีชั้นสูงของอังกฤษในพรรคอนุรักษ์นิยมเป็นเพื่อนหรือจบจากสถานที่ ศึกษาเดียวกับคนอย่างอภิสิทธิ์