ที่มา ข่าวสด
คอลัมน์ บทบรรณาธิการ
ปลาย สัปดาห์ที่ผ่านมาเว็บไซต์หลายแห่งเผยแพร่เอกสารที่อ้างว่าออกจากศูนย์อำนวย การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 มีใจความว่า
ข้อ 2. ตามที่นรม.สั่งการให้ศอฉ.ทำการผลักดันกลุ่มผู้ชุมนุมเพื่อขอคืนพื้นที่และ พื้นผิวการจราจร บริเวณสะพานผ่านฟ้าและพื้นที่ใกล้เคียง ตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย.53 เวลา 13.30 น. เป็นต้นไป
ข้อ 2.7 นปพ.ทบ.จัดชุดปฏิบัติการพิเศษ ปฏิบัติภารกิจร่วมกับหน่วยบินเฉพาะกิจศอฉ.ในการตรวจการณ์และการใช้ แก๊สน้ำตาทางอากาศเพื่อสนับสนุนภารกิจ ของทภ.1/กกล.รส.ทภ.1 บริเวณพื้นที่ชุมนุม ตามขั้นตอนของกฎการใช้กำลัง
และต่อมามีการเผยแพร่เอกสารของศอฉ.อีกฉบับ อ้างว่าเป็นคำสั่งด่วนภายในลงวันที่ 13 เม.ย.53 ใจความว่า
ข้อ 2. เพื่อให้การปฏิบัติภารกิจของศอฉ.เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับสถาน การณ์ จึงให้หน่วยพิจารณาใช้ปืนลูกซอง ซึ่งเป็นอาวุธที่ไม่ร้ายแรงและสามารถควบคุมการยิงได้ ในการป้องกันตนเองของเจ้าหน้าที่และประชาชนผู้บริสุทธิ์ โดยกำหนดแนวทางในการใช้ ดังนี้
2.1 ใช้อาวุธทำการยิงเมื่อปรากฏภัยคุกคาม หรือกลุ่มติดอาวุธที่มีท่าทีคุกคาม
2.2 ห้ามใช้อาวุธต่อเป้าหมายที่เป็นผู้หญิงและเด็ก
2.3 การใช้อาวุธ ให้ดำเนินการโดยไม่มุ่งประสงค์ ต่อชีวิตของเป้าหมาย
ดังนั้นจึงให้เล็งส่วนล่างของร่างกาย(ตั้งแต่เข่าลงมา)
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐ มนตรี และอดีตผอ.ศอฉ. ยอมรับว่าเอกสาร ดังกล่าวเป็นของจริง
แต่ยืนยันว่าเป็นคำสั่งที่ออกมาเพื่อระงับยับยั้งสถานการณ์ โดยอ้างถึง"ชายชุดดำ"ดังที่เคยอ้างมาตลอดกว่า 1 ปี
และ เมื่อมีแนวโน้มว่าเอกสารที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สลายการชุมนุมของประชาชน ในเดือนเมษายน-พฤษภาคม จะถูกเปิดเผยเพิ่มขึ้นในลำดับต่อไป
นอกจากคนทั่วไปจะหวังว่านายสุเทพ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี จะพร้อมชี้แจงหรืออธิบายเหตุผลในการออกคำสั่งแล้ว
ยังหวังว่ากระบวนการค้นหาความจริง จะเดินหน้าไปโดยราบรื่นยิ่งขึ้นด้วย