WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Sunday, January 23, 2011

ไฟใต้่ที่รัฐไม่กล้ามอง ไม่กล้าแก้ และไม่กล้าพูด!

ที่มา Thai E-News


นโยบายที่จะให้ “ทำงานแข่งกัน” เพื่อแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมี ยศ,ตำแหน่ง,เงินเดือน ที่สูงขึ้น เป็นเดิมพัน จึงกลายเป็น “ทำงานปัดแข้งปัดขากัน” ท้ายสุดกลายเป็น “การทำลายล้างกัน”ในที่สุด มิฉะนั้นแล้วจะมีคำว่า “เกลือเป็นหนอน,หนอนบ่อนใส้ หรือ มีใส้ศึก ” เกิดขึ้นในเหตุการณ์บุกทะลวงฐานปฏิบัติการพระองค์ดำ ในครั้งนี้


โดย ปาแด งา มูกอ
22 มกราคม 2554

สิ่งที่ยืนยันได้อย่างชัดเจนของเหตุการณ์ความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็คือ กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ (กลุ่มผี ? ) ยังคงสามารถก่อเหตุรุนแรงได้แทบทุกที่ ทุกเวลา เท่าที่ทางกลุ่มต้องการเหมือนเดิม!

กองกำลังทหาร,ตำรวจ,ฝ่ายปกครอง ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้(จชต.) ปัจจุบัน ที่ประกอบด้วย (กำลังทหาร 30,000 นาย,กำลังตำรวจ 18,000 นาย,กำลังฝ่ายปกครอง (จ้างประชาชนให้มาตายแทน ทหาร,ตำรวจ ในนาม อาสาสมัครต่างๆ อาทิ ชรบ.อรบ.,อรม.,ทส.ปส.อส.รด.,อส.ตำรวจหมู่บ้าน ฯลฯ ) 18,000 นาย รวม 66,000 นาย

ซึ่งหลายคนบอกว่าเยอะ แต่เมื่อพิจารณาจากภารกิจแล้ว ยืนยันว่าไม่เยอะอย่างที่คิด

เพราะทุกวันนี้ทุกหน่วยงานของภาครัฐกำลังรบอยู่กับ(ผี?) ที่ไม่มีตัวตน และจะปรากฏตัวตนขึ้นมา ก็จากการให้สัมภาษณ์ของบรรดาหัวหลักหัวตอปัญญาอ่อนของบ้านเมือง ที่ใช้เป็นสูตรสำเร็จ ว่า

“ เหตุการณ์ครั้งนี้น่าเชื่อว่าเป็นการลงมือของนายอะไรต่อมิอะไร / สถานการณ์ปัจจุบันดีขึ้นแล้ว / สถิติการก่อการร้ายลดลงมากเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา / การลงมือก่อเหตุอย่างอุกอาจและเหี้ยมโหดในครั้งนี้ เป็นการฉลองวันครบรอบการเปลี่ยนชื่อของกลุ่มขบวนการ เมื่อวันที่ 20 ม.ค.2530 จากขบวนการแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติปัตตานี หรือ BNPP เป็นแนวร่วมอิสลามปลดปล่อยปัตตานี หรือ BIPP /


รวมถึงการให้สัมภาษณ์ของผู้นำประเทศระดับ นนายกรัฐมตรีที่กล่าวว่า
“โดยปกติพอใกล้การประชุมโอไอซี จะมีความพยายามก่อเหตุหรือยั่วยุให้เกิดการตอบโต้ด้วยความรุนแรง เพื่อนำไปใช้เป็นเงื่อนไข ซึ่งกำลังมีการสอบสวนอยู่เหมือนกันว่ามีข้อสังเกตต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบางเรื่อง แต่เบื้องต้นเจ้าหน้าที่จะต้องยึดกรอบกฎหมายอย่างเคร่งครัด ไม่ตกเป็นเหยื่อของการยั่วยุ และวงจรความรุนแรงเพื่อนำไปสร้างเป็นเงื่อนไข หรือขยายผลในเวทีต่างประเทศ”


หรือระดับ ผู้บัญชาการทหารบกแห่งประเทศไทย ที่ให้สัมภาษณ์ว่า
“ทำไมเหตุการณ์ในพื้นที่ยังไม่จบ อยากบอกว่าตราบใดคนเหล่านี้ ที่สมองถูกบ่มเพาะและถูกล้างสมอง ที่ทำทุกวันนี้เพื่อความถูกต้องหรือเพื่ออะไรต่างๆ ไม่ว่าชาติพันธุ์ทางประวัติศาสตร์ คนเหล่านี้ยังมีอยู่ ดังนั้นเมื่อเราไม่สามารถเปลี่ยนสมองคนพวกนี้ได้ หรือคนเหล่านี้ยังเกิดความคับแค้นใจและความเข้าใจในรัฐ ไม่เข้าใจด้านกฎหมาย เขาก็พร้อมปฏิบัติการ แต่ไม่ได้หมายความว่า เขาจะสามารถแบ่งประเทศเราออกไปได้ ยังไงก็แบ่งไม่ได้ เพราะเขาไม่สามารถรวมกำลังขนาดใหญ่ไปยึดพื้นที่ได้ แต่ถ้าพื้นที่ไหนมีการยึดครองเมื่อไร เราต้องใช้กำลังเข้าปราบปรามเป็นลักษณะการสู้รบ ซึ่งเราไม่อยากปฏิบัติลักษณะนั้น เพราะจะทำให้สถานการณ์รุนแรงในสายตาชาวโลก
"

นี่คือสูตรสำเร็จในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในปัจจุบัน ครับ



เหตุการณ์ความรุนแรงรายวันใน จชต. ทุกวันนี้ จะไม่พูดถึงหรือวิเคราะห์ว่า เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น เป็นการกระทำของ ใคร...? กลุ่มใด...? แต่จะพูดถึงข้อเท็จจริง ของตัวปัญหา ๓ ประเด็นหลัก ที่ทำให้รัฐแก้ปัญหาไฟใต้ไม่ได้

ประเด็นแรก : ความผิดพลาดในยุทธการของกองทัพ ( ปัญหาเรื่อง ผบ.ฉก.เลขตัวเดียว กับ ผบ.ฉก.เลขสองตัว)

ความผิดพลาดดังกล่าวก็คือ การจัดหน่วยกำลังในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอของ จ.สงขลา โดยการจัดวางกำลังในปัจจุบันอยู่ในรูปของ "หน่วยเฉพาะกิจ" หรือ ฉก. แยกเป็นจังหวัดและอำเภอไล่ลงไป โดยมีตัวเลขกำกับ กล่าวคือ

- หน่วยเฉพาะกิจยะลา (ฉก.1 เดิม) รับผิดชอบ จ.ยะลา ทั้งจังหวัด ประกอบด้วยกำลังของกองทัพบก 6 กองพัน และกำลังตำรวจ 1 กองกำกับการ (ตำรวจตระเวนชายแดน / ตชด.)

- หน่วยเฉพาะกิจปัตตานี (ฉก.2 เดิม) รับผิดชอบ จ.ปัตตานี ทั้งจังหวัด ประกอบด้วยกำลังของกองทัพบก 5 กองพัน และกำลังนาวิกโยธิน (ทหารเรือ) 1 กองพัน

- หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส (ฉก.3 เดิม) รับผิดชอบ จ.นราธิวาส ทั้งจังหวัด ประกอบด้วยกำลังของกองทัพบก 7 กองพัน และกำลังนาวิกโยธิน 2 กองพัน

- หน่วยเฉพาะกิจสงขลา (ฉก.4 เดิม) รับผิดชอบ 4 อำเภอของ จ.สงขลา คือ จะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย ประกอบด้วยกำลังของกองทัพบก 1 กองร้อยทหารราบ และกำลังตำรวจ 1 กองกำกับการ (ตชด.)

นอกจากนั้นยังมี "หน่วยเฉพาะกิจทหารพราน" หรือ ฉก.ทพ. กระจายอยู่ในพื้นที่ป่าเขาอีกหลายกองพัน รวมถึงหน่วยปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร หรือไอโอ จากหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (หมวกแดง) และ "หน่วยเฉพาะกิจอโณทัย" รับผิดชอบภารกิจเก็บกู้ทำลายล้างวัตถุระเบิดด้วย

จุดที่น่าสนใจก็คือ ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจระดับจังหวัด หรือที่เรียกกันติดปากว่า "ผบ.ฉก.เลขตัวเดียว" ปัจจุบันเป็นนายทหารยศ "พลตรี" มีภารกิจ คุมกำลังระดับจังหวัด ซึ่งกองกำลังที่ปฏิบัติหน้าที่ในแต่ละจังหวัดมาจากต่างกองทัพภาคกัน

โดยหน่วยเฉพาะกิจยะลา เป็นทหารจาก (กองทัพภาคที่ 3)
หน่วยเฉพาะกิจปัตตานี เป็นทหารจาก (กองทัพภาคที่ 2) และ(แค่เดินถนนในตัวเมืองก็หลงแล้ว)
หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส เป็นทหารจาก (กองทัพภาคที่ 1)


ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจจังหวัด หรือ ผบ.ฉก.เลขตัวเดียว เป็นทหารระดับรองแม่ทัพหรือเสนาธิการจากแต่ละกองทัพภาค ผู้ที่คิดสูตรนี้คือ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีตผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) (เจ้าพ่อเรือเหาะที่ยังเหาะไม่ได้ในทุกวันนี้) และนำการจัดกำลังลักษณะนี้มาใช้ตั้งแต่เขาก้าวขึ้นดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ.

วัตถุประสงค์ที่ พล.อ.อนุพงษ์ ตั้งเอาไว้ก็คือ ผบ.ฉก.แต่ละคนจะได้แข่งกันทำงาน คือมีความพร้อมทั้งฝ่ายเสนาธิการและยุทธการ

แต่ปัญหาที่มักไม่ค่อยมีใครพูดถึงก็คือ ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจ หรือ ผบ.ฉก.ระดับจังหวัดเหล่านี้มาจากต่างกองทัพภาค และไม่ได้ขึ้นตรงกับแม่ทัพภาคที่ 4 เมื่อ ผบ.ทบ.มีนโยบายให้ทำงานแข่งกัน สายการบังคับบัญชาของพวกเขาจึงต้องวิ่งเข้าหาแม่ทัพภาคของตัวเอง และตัว ผบ.ทบ.

เป้าหมายก็คือการขยับสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นในการแต่งตั้งโยกย้ายประจำปี อันเป็นตำแหน่งที่สูงขึ้นในกองทัพภาคของตัวเอง หาใช่กองทัพภาคที่ 4 ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่

โครงสร้างที่เป็นอยู่ทำให้เกิดปัญหาแม่ทัพภาคที่ 4 (เจ้าของพื้นที่) ไม่มีอำนาจบังคับบัญชาที่แท้จริง แต่ ผบ.ฉก.สามารถขับเคลื่อนงานยุทธการได้อย่างอิสระ ภายใต้การกำกับในระดับสูงสุดโดย ผบ.ทบ.

ยิ่งไปกว่านั้น ใน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ยังตั้ง "กองบัญชาการผสมพลเรือน ตำรวจ ทหาร" หรือ พตท.ขึ้นมาเพื่อดูแลหน่วยกำลังทั้งหมด โดยมีผู้บัญชาการเป็นนายทหารยศ "พลโท" จากเดิม "พลตรี" ซึ่งการขยับเพิ่มยศก็เพื่อให้สามารถบังคับบัญชาบรรดา ผบ.ฉก.ระดับจังหวัดได้นั่นเอง

จากนโยบาย "แข่งกันทำงาน" ทำให้ ผบ.พตท. ไม่ได้มีสภาพต่างไปจาก แม่ทัพภาคที่ 4 เท่าใดนัก จะเห็นได้ว่าบทบาทของ ผบ.พตท. ส่วนใหญ่จะทำได้แค่เรียกประชุม “ ผบ.ฉก.เลขสองตัว” คือหน่วยเฉพาะกิจระดับอำเภอ ซึ่งผู้บังคับหน่วยจะมียศ "พันเอก"

ที่หนักที่สุดคือนโยบายด้านยุทธการทั้งหมดถูกกำหนดมาจาก ผบ.ทบ. จะเห็นได้ว่า พล.อ.อนุพงษ์ ในขณะนั้น(ปี 2551-2553) ลงพื้นที่ถี่ยิบ ราวกับว่าตัวเองเป็นแม่ทัพภาคที่ 4 และทุกนโยบายในพื้นที่ล้วนสั่งตรงมาจากข้างบน

นี่คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้ฝ่ายการเมือง โดยเฉพาะ ถาวร เสนเนียม รมช.มหาดไทย ในฐานะแม่ทัพดับไฟใต้ของรัฐบาล เคยเสนอในที่ประชุมวงจรปิดจนเป็นที่ฮือฮามาแล้วว่า เขาต้องการให้ถอนทหารจากกองทัพภาคอื่นๆ ออกไปจากพื้นที่ทั้งหมด เพื่อเปิดทางให้กองทัพภาคที่ 4 ในฐานะเจ้าของพื้นที่ได้ทำงานร่วมกับกองกำลังประชาชนที่จัดตั้งขึ้น ทั้ง อส. (อาสารักษาดินแดน) ชรบ. (ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน) อรบ. (อาสาสมัครรักษาหมู่บ้าน) และ อรม. (อาสาสมัครรักษาเมือง) เพราะทหารที่เกาะติดพื้นที่มานานย่อมเข้าใจพื้นที่มากกว่า และน่าจะสร้างปัญหาน้อยกว่าทหารจากนอกพื้นที่ที่ "มาแล้วก็ไป"

ซึ่ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็ออกมาขานรับแนวคิดนี้ แม้ท่าทีของฝ่ายการเมืองจะสอดรับกับแนวทางที่ ผบ.ทบ.วางเอาไว้ในท้ายที่สุด คือถอนทหารจากกองทัพภาคอื่นๆ ออกไปเมื่อสถานการณ์ความไม่สงบอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ เพื่อเปิดทางให้ "กองพลทหารราบที่ 15" หรือ "กองพลพัฒนาและพิทักษ์ทรัพยากร" รับไม้ต่อ ซึ่งกรอบเวลาคร่าวๆ ที่วางเอาไว้คือปีที่ 8-10 ในแผนดับไฟใต้ 10 ปีของ ผบ.ทบ.

ทว่าความไร้เอกภาพและยุทธศาสตร์ที่ผิดพลาดดังที่เห็นและเป็นอยู่ ณ ปัจจุบัน ทำให้น่าคิดไม่น้อยว่ากว่าจะถึงวันนั้น สถานการณ์โดยรวมจะดีขึ้นได้จริงหรือไม่

นโยบายที่จะให้ “ทำงานแข่งกัน” เพื่อแก้ไขปัญหา นับเป็นเรื่องที่ดี น่ายกย่องสรรเสริญ แต่สิ่งที่ติดตามมาจากการ “ทำงานแข่งกัน” โดยมีสิ่งตอบแทนคือ ยศ,ตำแหน่ง,เงินเดือน ที่สูงขึ้น เป็นเดิมพัน “การทำงานแข่งกัน” จึงกลายเป็น “ทำงานปัดแข้งปัดขากัน”

จนท้ายสุดกลายเป็น “การทำลายล้างกัน”ในที่สุด มิฉะนั้นแล้วจะมีคำว่า “เกลือเป็นหนอน,หนอนบ่อนใส้ หรือ มีใส้ศึก ” เกิดขึ้นในเหตุการณ์บุกทะลวงฐานปฏิบัติการพระองค์ดำ ในครั้งนี้


สิ่งที่น่าจับตามองในเหตุการณ์ครั้งนี้ก็คือ หลุมระเบิดจำนวน 20 หลุมจากอานุภาพของเครื่องยิงระเบิด M 79 ที่ถูกระดมยิงเข้าไปในฐานนั้น ตัวเครื่องยิงระเบิดพอจะทำใจได้ว่า กลุ่มผี อาจจะไปว่าจ้างโรงกลึงทำขึ้นมา แต่ที่ทำใจไม่ได้และยอมรับไม่ได้ก็คือ เจ้าตัวลูกระเบิดนี่แหล่ะ ที่กองทัพจะต้องตอบให้ประชาชนที่เสียภาษีให้กระจ่างหน่อยว่า มันมาจากไหน กลุ่มผี มันได้พัฒนาไปไกลถึงกับสั่งซื้อมาจากต่างประเทศเลยหรือ ข้องใจจริงๆ

ประเด็นที่สอง : ความผิดพลาดในนโยบาย

แนวคิดในการที่จะสลายมวลชนในแต่ละพื้นที่ที่มีปัญหา ไม่ว่าปัญหาที่พื้นที่นั้น เป็นแหล่งซ่องสุม แหล่งพักพิง หรือแหล่งหลบซ่อน อย่างที่บอกไว้

นี่คือนโยบายอันชาญฉลาดของนักการเมือง ที่จ้างให้ประชาชนในพื้นที่ที่ไม่มีงานทำอยู่แล้ว มาตายแทนเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะเสียค่าจ้างน้อย ค่าเยียวยาช่วยเหลือก็น้อย ไม่ต้องมีพวงหรีดหรูหรา ไม่ต้องขอยศ,เงินเดือนเพิ่ม และไม่ต้องรับผิดชอบผูกพันไปถึงลูกๆของคนที่ตาย ที่ต้องหาโรงเรียนให้เรียนต่อ หรือหางานให้ทำ เหมือนเช่นเจ้าหน้าที่รัฐ จาก ร.อ.กระโดดเป็น พล.อ. ใครไม่อยากตายให้มันรู้ไป

ประเด็นสำคัญ นโยบายของรัฐ รวมถึงนโยบายห่วยๆที่เกิดจากก้อนสมองของ ผู้ว่าราชการจังหวัด ในการที่จะพยายาม แย่งมวลชนกลับคืนมา อาทิ นโยบายของจังหวัดยะลา “ นโยบาย สี่เสาหลัก (ฮูกุมปะก๊ะ) ” อันนี้แหละ ที่ทำให้ประชาชนในพื้นที่ ในหมู่บ้าน/ตำบล เกิดความหวาดระแวงกันเอง

วันดีคืนดีเห็นเพื่อนบ้านที่เคยร่วมวง ดื่มน้ำชา นินทานาย (นายในที่นี้ทางใต้เขาหมายถึงเจ้าหน้าที่รัฐ) ทุกเช้า เกิดแต่งเครื่องแบบและพกอาวุธปืนทั้งสั้นและยาว เป็นใครก็ต้องตกใจกันทั้งนั้น และผลของการตกใจก็คือ ตายครับ ในห้วงระยะเวลาปลายปี 2553 ถึง ม.ค.2554 อาสาสมัครในสามจังหวัดชายแดนใต้ตายไปแล้วไม่ต่ำกว่า 20 คน พร้อมกับของแถมคืออาวุธปืน

ปัญหาดังกล่าวขอถามบรรดาแม่ทัพนายกอง ผู้ว่าทุกคน รวมไปถึงรัฐบาลว่า รู้เรื่องเกี่ยวกับคำว่า “เขตงาน” ดีพอหรือไม่ หรือว่ารู้อยู่เต็มอกแต่ไม่กล้าพูดหรือให้สัมภาษณ์.......?????

จากข้อมูล “เขตงาน” ที่ระบุในรายละเอียด เกี่ยวกับการปฏิบัติการของกลุ่มที่รัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐในปัจจุบันเรียกว่า “กลุ่มก่อความไม่สงบ” นั้น หากศึกษาในรายละเอียด และวิเคราะห์ถึงความเป็นจริงของเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่ปี ๒๕๔๗ เป็นต้นมานั้น จะปรากฏเห็นชัดว่า การปฏิบัติการของกลุ่มลึกลับ (กลุ่มผี) จะพัฒนารุดหน้าไปมากในทุกๆด้าน ไม่ว่าทางด้านหฤโหด อำมหิต และความทันสมัยในยุคสงครามไซเบอร์ ที่หน่วยงานภาครัฐตามไม่ทัน

การพัฒนาดังกล่าว มิใช่พัฒนาในด้านกำลังรบหรือการมีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัย แต่เป็นการพัฒนาโดยไม่ใช้อำนาจทางทหาร แต่เน้นกลยุทธ์ที่ว่า "หากทำให้มวลชนเชื่อหรือศรัทธาไม่ได้..ให้ใช้วิธีทำให้กลัว" อันเป็นการปูทางเพื่อเตรียมการวางโครงสร้างการจัดตั้งองค์กรมวลชนขึ้น "ทับซ้อน" กับการปกครองของรัฐไทย

โดยเริ่มจากหมู่บ้าน,ตำบล ไปสู่อำเภอ,จังหวัด จนถึงภาค ประเด็นดังกล่าว มีความเป็นไปได้สูง โดยศึกษาจากเหตุการณ์ความรุนแรงต่างๆที่ผ่านมา ตั้งแต่ปลายปี ๒๕๕๒

ประเด็นสำคัญ แล้ว ใคร? และ กลุ่มใด? ที่สามารถวางโครงสร้างการจัดตั้งองค์กรมวลชนขึ้นมา “ทับซ้อน” กับการบริหารงานของภาครัฐได้ นับเป็นปัญหาที่ท้าทายสำหรับหน่วยงานของภาครัฐ ที่เพียบพร้อมไปด้วยกำลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์ และงบประมาณอันมหาศาลเป็นอย่างยิ่ง


ประเด็นสุดท้าย : สงครามไซเบอร์เริ่มที่ชายแดนใต้

“ ปราชญ์ซุนวู” ท่านกล่าวว่า “รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” อย่าไปดูถูกฝ่ายตรงข้ามเป็นเด็ดขาด อย่าเห็นว่าเขานุ่งโสร่งซอมซ่อ ทำงกๆเงิ่นๆ นั่นแหล่ะ นักรบไซเบอร์รุ่นใหม่ล่ะครับ ปัจจุบันเขาใช้อินเตอร์เนทกันแล้ว ไม่เหมือนทหารไทยเรา ที่ยังสะพายปืนสงครามแต่งเครื่องแบบสนาม วิ่งซอกๆตามสวนยางอยู่นั่นแหล่ะ

ต้องยอมรับว่าในโลกยุคใหม่ เป็นโลกที่ไร้พรมแดน (แต่ก็ยังมีกลุ่มที่พยายามแบ่งแยกดินแดนอยู่ทุกวันนี้) อำนาจการสั่งการ,การโต้ตอบทางการเมือง รวมถึงการทำสงครามจิตวิทยา มันได้ก้าวไกลไปมากแล้ว รัฐบาลและกองทัพไทยอย่าได้หลงลำพองว่าเก่งกว่า ฉลาดกว่า มีคนหนุนหลังที่ดีกว่า เป็นอันขาด

มิฉะนั้นแล้วผมและท่านทั้งหลายอาจจะไม่มีที่สำหรับซุกหัวนอน
************8

กลุ่มขบวนการพูโลเผยแพร่บทความ วันที่ 8 มกราคม 2554:ถาวรหรือจะเปลี่ยนใจอันแน่วแน่ของนักสู้ปตานี

ต่อไปนี้เป็นเอกสารโฆษณาชวนเชื่อของPULO เผยแพร่ทางเวบไซต์ขององค์การPULOเมื่อ 8 มกราคมที่ผ่านมา การนำเสนอนี้เพื่อให้ได้รู้ท่าทีทัศนะของPULOต่อนโยบายของรัฐบาลไทย ไม่มีเจตนาอื่น

ตามที่นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกิจการทำลายล้างชนชาวมลายูปตานี เปิดเผยกรณีคณะรัฐมนตรีจักรวรรดิ์นิยมไทยเมื่อ 4 ม.ค.2554 เห็นชอบการประกาศกำหนดบทลงโทษนักต่อสู้ปตานีที่กำลังบั่นทอนการคงอยู่ของจักรวรรดิ์นิยมไทย ณ เขตดินแดนยึดครอง(ปตานี) ในขณะนี้ ในนามของ มาตรา 21 แห่งพ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในของจักรวรรดิ์นิยมไทย พ.ศ 2551

และตามที่กองอำนวยการรักษาผลประโยชน์ของจักรวรรดิ์นิยมไทย (กอ.รมน.) เสนอ เพื่อประกาศใช้ในพื้นที่นำร่อง 4 อำเภอของ จ.สงขลา เพื่อเป็นการสนับสนุนนโยบายการทำลายล้างอย่างละมุนละไมของรัฐบาล ซึ่งจะต้องรอคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณารายละเอียดว่า จะจัดการอย่างไรกับนักสู้ปตานีในฐานความผิดที่ขัดขืนต่อทางการจักรวรรดิ์นิยมไทยทุกรูปแบบภายใน 1 สัปดาห์นั้น

รมช.คลั่งชาติไทย (ที่กลายพันธุ์จากมลายูฮินดู/พุทธศรีวิชัยก่อนถูกสุโขทัยรุกราน นัคาราศรีดารมาราชาและบริเวณใกล้เคียง) คนนี้พยายามจะกล่าวว่า การดำเนินการดังกล่าวของรัฐบาลจักรวรรดิ์นิยมไทยมีจุดประสงค์เพื่อกล่อมใจผู้ถูกกล่าวหาว่า กระทำทุกรูปแบบที่ทางการจักรวรรดิ์นิยมไทยถือว่ามีความผิดอันเนื่องมาจากมีผลกระทบต่อความมั่นคงโดยตรงนั้น ให้คิดใหม่และหลอกตัวเองว่า หลงผิดหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และย้ำอีกว่าจะมีคณะกรรการที่เกี่ยวข้องตามกระบวนการ 3 คณะ

คือ 1.คณะกรรมการรับการยอมจำนน (เพื่อยุติการต่อสู้ตามหนทางของอัลลอฮผู้ทรงยิ่งใหญ่เหนือพื้นพิภพ)

2.คณะกรรมการทรมานกายและใจในรูปของการกลั่นกรองกลั่นแกล้งและสอบสวนพิเศษในรูปของการข่มขู่ต่างๆนานา

3.คณะกรรมการสยบลบหลู่แล้วทำทีเยียวยา โดยเฉพาะการเยียวยาเพื่อกู้หน้าต่อผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ฝ่ายจักรวรรดิ์นิยมไทย โดยไม่ได้คำนึงถึงท่าทีความรู้สึกของผู้เสียหายแต่ประการใด ท้ายสุดจะถูกสั่งเข้ารับการอบรมล้างสมองในโรงเรียนที่ให้ชื่อสุดหรูว่า สันติสุข (จอมปลอม)

เพียงเท่านี้หรือที่นายถาวรทำได้ หลังกลับจากไปเที่ยวเตร่ที่ไอร์แลนด์เหนือ? ทำไมไม่เปิดโปงด้วยว่าคนไอร์แลนด์เขาอยู่เย็นเป็นสุขได้อย่างถาวร(ที่ไม่เสนเนียม)ได้ เนื่องจากพวกเขาสามารถปลดเปลื้องความคิดคลั่งชาติอย่างบ้าบิ่นหันหน้าไปสู่ความเป็นมนุษยธรรม?

ถ้าจะเริ่มแรกด้วยการเคารพในสิทธิอันชอบธรรมและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ อันดับแรกสุดจำเป็นต้องพิจารณาตนเองยุติการกระทำอันเป็นอันธพาลด้วยวาจาและการกระทำต่อชนชาวมลายูมุสลิมปตานีผู้รักสันติ ณ ดินแดนที่พวกเขาตั้งสมญานามว่า ดินแดนแห่งสันติภาพ


อ่านข่าวสารนี้แล้วนึกไปถึงงบประมาณทหารปีละนับหมื่นล้านเฉพาะ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ งบลับกองทัพที่ประชาชนตรวจสอบไม่ได้ การค้าอาวุธเถื่อนและตลาดมืด ซึ่งไม่รู้ใครหรือนักการเมืองหน้าไหนเกี่ยวข้องหรือได้ประโยชน์อยู่กับมันบ้าง ทำเอาสงสัยว่า ยุทธการทางการทหารที่ใช้กันแบบนี้ เป็นยุทธการดับไฟใต้

หรือเลี้ยงไฟใต้ (ไว้ให้นานๆ) กันแน่ !!!...