ที่มา thaifreenews
โดย poonnook
ก่อนอื่นผมจะขอเรียนชี้แจงกับพี่น้องผู้รักประชาธิปไตยทุกๆ ท่านว่า.. ผมเขียนบทความฉบับนี้ขึ้นเพื่อสื่อสารโดยตรงถึงท่าน เพื่อจะได้ทำความเข้าใจและพิจารณาถึงสิ่งที่ผมจะนำเสนอต่อไปนี้...ด้วยเหตุ และผล.. ด้วยความมีสติ ไม่วู่วาม และด้วยความคิดอย่างรอบด้าน.. บทความชิ้นนี้มิใช่ “การชี้นำ” หรือ “การชักจูง” ให้ทุกๆ ท่านเห็นคล้อยตาม.. หรือคิดเหมือนกัน.. แต่ต้องการให้พี่น้องผู้มีใจที่รักประชาธิปไตยอย่างแท้จริงและสมบูรณ์นั้น.. ได้ใคร่ครวญถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า เพื่อนำไปสู่ผลที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต เพื่อท่านทั้งหลายจะได้ตัดสินใจและพิจารณาได้ด้วยตนเอง.. ด้วยสติปัญญา และความเป็นเหตุเป็นผลที่แต่ละท่านมีด้วยตนเอง ได้โปรดกรุณาอ่านจนจบ แล้วค่อยตอบใจของท่านเองว่า..ท่านจะเลือกกำหนดแนวทางการต่อสู้ของท่านไปในทิศทางใด และรูปแบบใด..
^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^
ประเทศนี้ถูกปกครองด้วยอำนาจของเผด็จการที่ปกครองและครอบงำประเทศในทุกภาคส่วนมาหลายสิบปี โดยที่ประชาชนส่วนใหญ่ก็ถูกมอมเมา และล้างสมองตลอดมาโดยไม่รู้ตัว.. ซึ่งได้มาถึงจุดระเบิดเมื่อเกิดการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ที่ผ่านมา.. นับตั้งแต่วันนั้นขบวนการต่อสู้เพื่อเรียกร้องความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงจึงค่อยๆ พัฒนาและเติบใหญ่ขึ้นเป็นลำดับมาจนถึงปัจจุบัน..
ดังนั้นการที่ประชาชนได้รวมตัวกันเรียกร้องประชาธิปไตยในครั้งนี้ก็คือ “การนำเอาอำนาจในการปกครองจากผู้ครองอำนาจเผด็จการให้มาเป็นอำนาจของประชาชน” นั่นเอง..ซึ่งผมก็ได้เคยกล่าวไปในบทความชิ้นก่อนๆ ว่า การจะได้ตามสิ่งที่ประชาชนต้องการนั้นมีวิธีการอยู่ 2 หนทางคือ การร้องขอ.. หรือการแย่งชิง และจากระยะเวลาที่ผ่านมาหลายปีนั้นดูเหมือนว่า หนทางแห่งการร้องขอ น่าจะตีบตัน หรือ ปิดสนิทลงอย่างสิ้นเชิงเสียแล้ว.. (จากการพิจารณาโดยส่วนตัวของผมเอง)
ด้วยเหตุนี้ในเมื่อความต้องการประชาธิปไตยของประชาชนยังไม่จบสิ้นลง.. หนทางแห่งการได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองของประชาชนนั้นจึงต้องใช้วิธีการ “แย่งชิงอำนาจนั้นมาจากเผด็จการ” พูดง่ายๆ เพื่อความเข้าใจโดยไม่คลาดเคลื่อนก็คือ “เป็นการทำสงครามต่อสู้กันระหว่างอำนาจเผด็จการ (ที่มีอาวุธทุกอย่างในมือ) กับอำนาจประชาธิปไตย (ที่มีพลังประชาชนอยู่ในมือ)” ..
ซึ่งในเรื่องนี้ ผมกล่าวในลักษณะของหลักการทางวิชาการ มิได้พูดในเชิงให้มีการจัดตั้งกองกำลังเพื่อให้เกิดการต่อสู้กันในลักษณะของสงครามกลางเมือง (ผู้เขียน)
เช่นนี้แล้วการต่อสู้ที่เกิดขึ้นนี้ เป้าหมายสูงสุดของแต่ละฝ่ายก็คือ “ฝ่ายเผด็จการต้องทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาอำนาจเดิมเอาไว้ให้ได้”... “ส่วนฝ่ายประชาธิปไตยก็ต้องทำทุกวิถีทางในการแย่งเอาอำนาจนั้นมาเป็นของประชาชนให้ได้เช่นกัน” ... นี่คือความเป็นจริงที่เกิดขึ้น..และไม่มีใครปฏิเสธได้.. (ผมได้กล่าวไปแล้วตั้งแต่ต้นว่า ผมเขียนบทความนี้เพื่อสื่อถึงพี่น้องที่เป็นมวลชนผู้รักประชาธิปไตยทุกท่าน มิได้เฉพาะเจาะจงไปถึงแกนนำ หรือใครคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ)..
ดังนั้นกลยุทธการต่อสู้มากมายจึงถึงถูกนำมาใช้เพื่อรักษาอำนาจ..หรือ แย่งชิงอำนาจในสงครามครั้งนี้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน.. “จริงคือเท็จ..เท็จคือจริง.. เขียนเสือให้วัวกลัว... ยืมดาบฆ่าคน.. ขุดบ่อล่อปลา” ฯลฯ มากมายหลากหลายวิธี ซึ่งล้วนแล้วแต่ที่ต่างฝ่ายต่างก็นำมาใช้เพื่อให้ได้ชัยชนะในการต่อสู้ในครั้งนี้... เพื่อ “อำนาจ” เพียงประการเดียวเท่านั้น
เมื่อพี่น้องทุกท่านเข้าใจในความเป็นจริงเรื่อง “สงครามการต่อสู้ระหว่างอำนาจเผด็จการกับอำนาจประชาชนในภาพรวมแล้ว..ท่านก็จะสามารถเข้าใจเรื่องที่จะนำเสนอต่อไปนี้ได้”
แต่ขอความกรุณาครับถ้าท่านยังไม่เข้าใจถึงสิ่งที่ผมพยายามสื่อไปถึงท่าน โปรดอ่านทบทวนในประเด็นเรื่อง “สงครามการต่อสู้นี้” และใคร่ครวญให้รอบคอบก่อน จึงค่อยอ่านในบทความช่วงต่อไป...
ปูนนก
Re:
กระแสการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยในระยะที่ผ่านมานี้.. มีความหลากหลายทางความคิดและแนวทางค่อนข้างมาก.. แม้ว่าทุกๆ แนวคิดหรือทุกๆ แนวทางล้วนแล้วแต่จะอ้างตนเองว่า ต้องการเป้าหมายเดียวกันคือ “ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์เหมือนกัน” .. แต่ถ้าพิจารณาจากวิธีดำเนินการที่ปรากฏจริงตรงหน้าแล้ว.. จะเห็นได้ว่ามีทั้งความเหมือนและความต่างกันโดยสิ้นเชิง.. (ผมจะไม่ขอลงในรายละเอียด แต่ขอให้แต่ละท่านพิจารณาสิ่งที่ปรากฏจริงด้วยตัวของท่านเอง)..
ถ้าเปรียบอำนาจเผด็จการเสมือนอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ที่มีบ้านเรือนผู้คนปลูกพำนักอยู่มากมายโดยมี จุดศูนย์รวมอยู่ที่บ้านหลังใหญ่ที่สุดกลางอาณาจักรนั้น.. และการเรียกประชาธิปไตยโดยประชาชนเหมือนไฟ ที่กำลังลุกไหม้และเริ่มรายล้อมอาณาจักรนั้นเข้ามาจากขอบนอกเข้ามาเรื่อยๆ หนทางที่จะปกป้องอาณาจักรอันยิ่งใหญ่นี้เอาไว้ให้ได้ก็คือ “ทำลาย (ดับ) กองไฟนั้นเสีย..อาจจะโดยเอาน้ำสาด (ล้อมปราบ, การจับกุมคุมขัง).. หรือการแยกกองไฟให้เป็นกองเล็กๆ เพื่อจะทำการดับได้ง่าย (การยุแหย่ให้เกิดการแตกความสามัคคีแล้วทำลายภายหลัง)” ..
ยุทธศาสตร์การแยกเปลวไฟออกเป็นกองย่อยๆ (การแยกมวลชนเสื้อแดงออกจากกัน) มีการกระทำมาโดยตลอดจากฝ่ายเผด็จการ ตั้งแต่ในยุคเริ่มแรกของ คมช. ที่ ดร. เชียรช่วง กัลยาณมิตร ได้นำทัพเข้าสู่ในสงครามไซเบอร์ที่เรียกว่า 2.4 มาแล้ว
ดังนั้นการเข้ามาเสี้ยมให้มวลชนคนเสื้อแดงแตกความสามัคคีกัน จึงเป็นเป้าหมายในยุทธศาสตร์หนึ่งที่ฝ่ายอำนาจเผด็จการ ได้ใช้การต่อสู้ในสงครามครั้งนี้ด้วย.. และนี่คือความจริงแท้อย่างไม่ต้องสงสัย.. ด้วยเหตุนี้พี่น้องมวลชนคนเสื้อแดงจึงต้องระมัดระวังอย่างมากในการเชื่อถือข้อมูลข่าวสารใดๆ ในโลกอินเตอร์เน็ตแห่งนี้.. ต้องพิสูจน์ทราบอย่างดีและรอบคอบพอสมควร
แต่ในขณะเดียวกัน.. นอกจากยุทธศาสตร์การแยกกองไฟให้กลายเป็นกองเล็กๆ เพื่อง่ายต่อการกำจัดแล้ว สิ่งหนึ่งที่ต้องไม่ลืมพิจารณากันก็คือถ้ากองไฟมีมากเกินไปไม่สามารถแยกสลายได้หมด และไฟยิ่งลุกลามเข้ามาในอาณาจักรแห่งเผด็จการนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ลุกลาม และกินพื้นที่ในอาณาจักรนี้ “ใกล้บ้านหลังใหญ่ที่สุดเข้ามาทุกที” สิ่งที่ฝ่ายเผด็จการจะทำก็คือ “รักษาอำนาจของบ้านหลังใหญ่เอาไว้ให้ได้ต่อไปแม้จะสูญเสียส่วนอื่นของอาณาจักรไปก็ตาม” ... พูดง่ายๆ ก็คือ “สร้างแนวกันไฟล้อมรอบบ้านหลังใหญ่เอาไว้นั่นเอง” เพื่อที่ว่าเมื่อถึงคราวจำเป็น แม้ว่าไฟจะลุกลามไหม้บ้านทุกหลังในอาณาจักรนี้ไปจนหมดสิ้น ก็จะขอให้เหลือ “บ้านหลังใหญ่ที่สุดที่เจ้าของอำนาจเผด็จการครอบครองอยู่ในอาณาจักรแห่งนี้เอาไว้ก่อนนั่นเอง”
ปูนนก
Re:
สิ่งที่ผมกำลังพยายามสื่อถึงพี่น้องมวลชนคนเสื้อแดงผู้รักประชาธิปไตยทุกๆ ท่านในที่นี้ก็คือ. บ่อยครั้งที่มีพี่น้องผู้รักประชาธิปไตยได้นำเสนอแนวทาง และยุทธศาสตร์ในการต่อสู้เพื่อจะได้นำไปสู่เป้าหมายแห่งการได้มาซึ่งอำนาจประชาธิปไตยที่แท้จริงคือ.. เพื่อทำลายทุกส่วนของอาณาจักรเผด็จการนี้ลงไปก่อน.. แล้วค่อยปลูกบ้านหลังใหญ่กลางอาณาจักรขึ้นมาใหม่อีกครั้งในรูปแบบของประชาธิปไตย.. แต่เผอิญแนวทางดังกล่าวไม่ตรง หรืออาจจะขัดแย้งกับแนวทางที่พี่น้องบางกลุ่ม หรือบางส่วนเชื่อ... ก็จะถูกกล่าวหาว่า คนเหล่านั้นกำลังทำตัวให้เข้าสู่ยุทธศาสตร์ของอำนาจเผด็จการคือ “ทำลายความสามัคคีของมวลชนคนเสื้อแดง” และก็ถูกกระหน่ำโจมตี จนถึงขั้นถูกกล่าวหาว่า “เป็นฝ่ายเผด็จการที่แฝงตัวเข้ามาบ่อนทำลายฝ่ายประชาธิปไตย”
โดยลืมมองไปว่าแนวทางที่พี่น้องจำนวนมากกำลังเดินไปนั้น คือแนวทางที่เป็นยุทธศาสตร์ที่ฝ่ายเผด็จการวางเอาไว้เช่นกันคือ “สร้างแนวกันไฟ” มิให้เข้าถึงบ้านหลังใหญ่ที่สุดในอาณาจักรเผด็จการได้.. เพราะถึงแม้ในที่สุดเมื่อไฟได้ลุกลามเข้าไปเผาไหม้อาณาจักรแห่งเผด็จการได้ทั้งหมดแล้ว.. แต่ทว่า “บ้านหลังใหญ่ที่อำนาจเผด็จการครอบครองอยู่ก็มิได้กลายเป็นของประชาชนกลับยังคงอำนาจเผด็จการดังเดิมเอาไว้อยู่เช่นกัน”
ดังที่ผมเคยบอกไปแล้วแต่ต้นว่า.. เป้าหมายสูงสุดของสงครามครั้งนี้.. สำหรับฝ่ายเผด็จการก็คือ “ทำทุกวิถีทางที่จะรักษาอำนาจเผด็จการเอาไว้ให้ได้” ส่วนฝ่ายประชาธิปไตยก็คือ “ทำทุกวิถีทางเช่นกันที่จะเอาอำนาจนั้นมาสู่ประชาชนให้ได้เช่นกัน” เมื่อท่านเข้าใจเป้าหมายหลักแล้ว ท่านก็จะเข้าใจยุทธศาสตร์อื่นๆ ในแต่ละกรณีที่ถูกกำหนดขึ้นมาในการต่อสู้ครั้งนี้ของแต่ละฝ่ายด้วย
เหตุดังกล่าวทั้งหมดนี้...พี่น้องผู้รักประชาธิปไตยทุกๆ ท่าน... ที่มีสติสัมปชัญญะและการพิจารณาอย่างรอบคอบด้วยตัวของท่านเอง.. ขอให้ทุกๆ ท่านได้ใคร่ครวญ ด้วยใจเป็นธรรมว่า สิ่งที่ท่านกำลังเดินทางไป หรือร่วมเดินไปนั้นเป็น “การทำลายอำนาจเผด็จการเพื่อได้ชัยชนะ” ในสงครามครั้งนี้ หรือเป็น “การสร้างแนวกันไฟให้กับอำนาจเผด็จการ” เพราะถึงอย่างไร อำนาจเผด็จการก็ไม่มีวันยอมแพ้ในสงครามครั้งนี้อย่างแน่นอน..
การกล่าวหาว่าพี่น้องที่คิดไม่สอดคล้องกับความต้องการของบางคน, บางกลุ่ม เป็นผู้ที่แฝงตัวเข้ามาเพื่อ เสี้ยม ทำลายความสามัคคีของคนเสื้อแดง... ถ้าพิจารณาให้ดีๆ อย่างรอบคอบและลึกซึ้ง ก็เป็นไปได้เช่นกันว่า การกล่าวหาเช่นนั้นก็เพียงเพื่อ “สร้างแนวกันไฟ” เอาไว้ให้เผด็จการนั่นเอง...
ขอให้ทุกๆ ท่านได้โปรดระลึกว่า..ฝ่ายเผด็จการนั้นมียุทธศาสตร์ที่จะใช้คนเข้ามาเพื่อแยกสลายกำลังของมวลชนคนเสื้อแดงนั้นเป็นความจริง... แต่ขณะเดียวกันพวกเขาก็มียุทธศาสตร์ที่จะใช้คนของเขาเข้ามาเพื่อทำเนียนและชักจูงโน้มน้าวมวลชนให้เดินไปไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้... และสร้างแนวกันไฟให้อำนาจเผด็จการเช่นเดียวกัน... ดังนั้นพี่น้องมวลชนต้องใช้สติและพิจารณาให้รอบคอบในการจะเลือกเชื่อ หรือเดินตามสิ่งใดต่อไป...
ปูนนก