ที่มา thaifreenews
โดย bozo
การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและความยุติธรรมคนเสื้อแดง
จึงต้องมีความชัดเจนว่าอะไรคือเป้าหมายที่แท้จริง
“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น รอยยิ้มหรือความสุขจะถูกพรากไปกี่ครั้ง
แต่สิ่งที่อยู่ในหัวใจและร่างกายจะยืนหยัดและมอบให้ประชาธิปไตย...
วันนี้พวกผมกลับมาแล้ว กลับมาพร้อมจิตวิญญาณและอุดมการณ์
จะต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
และจะเรียกร้องความสูญเสียของพี่น้องภายใต้กรอบกฎหมาย ไม่ว่าจะเกิดอะไร
ขึ้นเราจะต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยต่อไป”
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)
แดงทั้งแผ่นดิน กล่าวภายหลังได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวพร้อม
นพ.เหวง โตจิราการ นายก่อแก้ว พิกุลทอง นายนิสิต สินธุไพร นายขวัญชัย ไพรพนา
นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย และนายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก และเปิดเผยถึง
ความรู้สึกที่ถูกคุมขังกว่า 9 เดือนว่า ตั้งแต่วันแรกที่สิ้นสุดอิสรภาพจนถึงวันแรก
ที่ได้รับอิสรภาพคืนมา ถือเป็นเรื่องน้อยนิด
ถ้าเทียบกับความสูญเสียของผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต
จากการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในปีที่ผ่านมา
นายณัฐวุฒิประกาศยืนยันจะยืนอยู่เคียงข้างประชาชน ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริง
สิ่งแรกที่จะดำเนินการคือ ทวงถามการเยียวยาและความยุติธรรมให้ กับผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ
รวมทั้งช่วยคนเสื้อแดงที่ถูกคุมขังให้ได้รับการประกันตัว
เพื่อเริ่มต้นสร้างความปรองดองสมานฉันท์และประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นในแผ่นดิน
ทำไม นปช. ได้ประกัน?
การที่ศาลให้ประกันตัวแกนนำ นปช. ทำให้บางฝ่ายกังวลว่าจะเกิดการเคลื่อนไหวใหญ่
และตั้งข้อสงสัยไปต่างๆนานา อย่างนายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส. นครศรีธรรมราช
ในฐานะโฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
ออกมาโจมตีแกนนำ นปช. ว่าได้คืบจะเอาศอก
ที่ประกาศจะชุมนุมใหญ่วันที่ 12 มีนาคม เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวแนวร่วมที่เหลือ
ซึ่งควรเป็นดุลยพินิจของกระบวนการยุติธรรม ดังนั้น
หากแกนนำ นปช. ทำให้สถานการณ์บ้านเมืองเลวร้ายต้องรับผิดชอบ
ด้านนายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรค การเมืองใหม่ (กมม.) ระบุว่า
การได้ประกันตัวของแกนนำ นปช. สะเทือนต่อความรู้สึกของประชาชนอย่างรุนแรง
เพราะก่อนหน้านี้มีการชุมนุมเคลื่อนไหวของ นปช. หรือคนเสื้อแดงหลายครั้ง
โดยเฉพาะการชุมนุมหน้าศาลอาญา รัชดาฯ เพื่อกดดันศาลโดยตรง
และยังปราศรัยในลักษณะกล่าวหาใส่ร้ายและบิดเบือนกระบวนการยุติธรรมอย่างต่อเนื่อง
นายสุริยะใสยังตั้งข้อสังเกตว่า
ทำไม พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์
พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1
นายโสภณ ธิติธรรมพฤกษ์ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และ
นายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการ
อิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.)
จึงมาเป็นพยานให้กับแกนนำ นปช.
เพราะก่อนหน้านี้นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ รักษาการประธาน นปช. และ
นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ แกนนำ นปช. พบกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
ซึ่งรัฐบาลมีการหารือเรื่องการปรองดองใน ครม.
เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2553 ถึงแนวทางช่วยแกนนำ นปช.
พธม. ใหญ่คับแผ่นดิน
นายสุริยะใสยังกล่าวหารัฐบาลว่า
ถ้าการช่วยเหลือแกนนำ นปช. ถือเป็นแผนปรองดองของรัฐบาล
ก็ต้องบอกว่าคิดผิดอย่างไม่น่าให้อภัย
เพราะรัฐบาลได้ลากเอากระบวนการยุติธรรมเข้ามาอยู่ในจุดสุ่มเสี่ยง
เพื่อแลกกับความอยู่รอด และฮั้วกับกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมือง
ถือเป็นโศกนาฏกรรมยุติธรรมไทย
ที่อาจร้ายแรงกว่าการจลาจลและการเผาบ้านเผาเมืองที่แยกราชประสงค์ด้วยซ้ำไป
แต่นายสุริยะใสกลับไม่กล่าวถึงคดีของแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.)
ที่ถูกตั้งข้อหาก่อการร้ายเช่นกัน ผ่านมากว่า 2 ปีคดียังไม่มีการนำขึ้นสู่ศาล
นอกจากการออกหมายเรียกของตำรวจ และทุกคน ก็ได้รับการประกัน
ทั้งที่การยึดสนามบินนานาชาตินั้นสร้าง ความเสียหายนับแสนล้านให้กับประเทศ
และถูกประชาคมโลกรุมประณามมาจนทุกวันนี้
ทั้งยังติดตามดูว่ารัฐบาลไทยจะดำเนินคดีและเอาผิดกับพันธมิตรฯอย่างไร
เช่นเดียวกันการชุมนุมปิดถนนบริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาลขณะนี้
หลายฝ่ายตั้งคำถามต่อพันธมิตรฯถึงการปลุกกระแสชาตินิยมหรือกระแสคลั่งชาติว่า
มีเบื้องหลังเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองหรือผลประโยชน์ อะไรซ่อนเร้น
ทั้งที่บันทึกลงนามความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชา (เอ็มโอยู 2543) นั้น
ต้องการให้ไทยและกัมพูชาแก้ปัญหาภายใต้หลักการสันติวิธี
ฝ่ายพันธมิตรฯคัดค้านอะไร และใครอยู่เบื้องหลัง
ทำไมรัฐบาลไม่กล้าใช้กฎหมายบ้านเมืองเหมือนกับที่ดำเนินการกับกลุ่ม นปช.
อย่างที่มีรายงานจากการประชุม ครม. เพื่อพิจารณาขยายเวลา
การประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงภายในราชอาณาจักรนั้น
พล.ต. สนั่นได้ตั้งคำถามกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า
ที่ผ่านมาไม่เห็นทำอะไรแล้วจะขอต่ออายุทำไม
ปล่อยให้คนเพียงไม่กี่ร้อยคนมาปิดถนนทำให้ประชาชนเดือดร้อน
ทั้งที่ต้องขอคืนพื้นที่ถนนจากผู้ชุมนุม 1-2 เลน
กระแส “ไม่เอา 112”!
แต่การเมืองอีกด้านหนึ่งก็ตั้งคำถามว่าการได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวของแกนนำ นปช. นั้น
ไม่ใช่สัญญาณสู่การปรองดองหรือรุ่งอรุณของประชาธิปไตย
เพราะในคืนวันที่ 21 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับนายสุรชัย แซ่ด่าน
หรือนายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ แกนนำกลุ่มแดงสยาม ข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยนายสุรชัยกล่าวกับผู้มาสนับสนุนว่า
“ประเด็นไม่ใช่ว่าผมถูกจับแล้วมาสู้ให้ปล่อยผม
ได้หรือไม่ได้ประกัน ไม่ต้องโวยวายหรือมาสู้ให้ผม
แต่ประเด็นสำคัญคือ
เป็นโอกาสที่ผมจะได้รณรงค์ยกเลิกมาตรา 112 กฎหมายหมิ่นฯ
และได้เวลาเปลี่ยนแปลงสถาบันเบื้องสูงให้พ้นวังวนการเมือง”
คำพูดของนายสุรชัยจึงเหมือนการปลุกกระแส
ให้กลุ่มที่เคลื่อนไหวยกเลิกมาตรา 112 กลับมาแพร่หลายอีกครั้ง
เพราะหลังจากการจับนายสุรชัย เว็บไซต์ไทยอีนิวส์รายงานว่า
ทำให้กลุ่ม “ไม่เอา 112” แพร่กระจาย ไปในเฟซบุ๊คอย่างรวดเร็วเหมือน “โรคระบาดใหม่”
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็มีการเคลื่อนไหวมาอย่างต่อเนื่อง โดยทางกลุ่มได้อธิบายเหตุผลว่า
เพราะไม่ต้องการให้มาตรา 112 มาเป็นเครื่องมือทางการเมือง
แอบอิงเบื้องสูง
เหมือนหนังสือ “ขบวนการลิ้มเจ้า”
ที่ทีมข่าวโลกวันนี้ได้เปิดเผยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศไทย
โดยการนำเสนอที่มาของวาทกรรมและวาระซ่อนเร้นที่จุดประสงค์แท้จริง
พยายามอ้างแอบ แนบชิด และบิดเบือน
เอาสถาบันเบื้องสูงมาใช้เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม
ตั้งแต่การจัดตั้งกลุ่มการเมืองผ่านภาคประชาชน
เพื่อโค่นรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ด้วยวาทกรรมโค่นล้ม “ระบอบทักษิณ”
โดยกล่าวหาว่าเป็น “ขบวนการล้มเจ้า”
จนเป็นหนึ่งในข้ออ้างทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
และเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต”
ที่มีผู้เสียชีวิตถึง 91 ศพ และบาดเจ็บพิการเกือบ 2,000 คน
ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)
ยังอุปโลกน์ผังเครือข่าย “ขบวนการล้มเจ้า”
มากล่าว หาแกนนำ นปช. และนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม
โดยใช้มาตรา 112 เป็นเครื่องมือทำลายคู่แข่งทางการเมือง
และผู้ที่มีความเห็นแตกต่าง
จนผู้มีรายชื่อดังกล่าวนำเรื่องฟ้องร้อง ศอฉ. ขณะนี้
รัฐประหารกับเบื้องสูง
ยิ่งย้อนกลับไปตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เห็นชัดเจนว่า
การปฏิวัติรัฐประหารที่เป็นเหมือน “มรดกอุบาทว์” มาจนทุกวันนี้นั้น
มีการใช้สถาบันเบื้องสูงทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามมาโดยตลอด
อย่างกรณีนายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษ ที่ถูกใส่ร้ายป้ายสีกรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8
อย่างบทความ “20 ปี รสช. สถาบันกับรัฐประ-หารกษัตริย์ สถาบันกษัตริย์กับรัฐประหาร”
ในเว็บไซต์ ไทยอีนิวส์ได้กล่าวถึงประวัติศาสตร์การเมืองไทยยุคใหม่ว่า
มีการหยิบยกสถาบันกษัตริย์ว่าเป็นเครื่องมือทำลายล้างฝ่ายปฏิปักษ์ทางการเมืองมาตลอด
นับตั้งแต่คราว รัฐประหารพฤศจิกายน 2490 คือ
กรณีคดีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 ที่ทหารนำมาอ้างทำรัฐประหารปี 2500
เหตุการณ์การปฏิวัติประชาชนในเดือนตุลาคม 2516 ก็มีการใส่ความว่า
พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร บุตรชาย จอมพลถนอม กิตติขจร มักใหญ่ใฝ่สูง
จะเป็นประธานาธิบดีคนแรกของประเทศไทย
ในขณะที่เหตุการณ์นองเลือด เดือนตุลาคม 2519
มีการใส่ความนักศึกษาฝ่ายซ้ายว่าเล่นละครแขวนคอดูหมิ่นองค์รัชทายาท
เช่นเดียวกับการรัฐประหาร รสช. 23 กุมภาพันธ์ 2534
และรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ก็มีการเอาสถาบันมาเป็นข้ออ้าง
สภาเปรซิเดียมถึงล้มเจ้า
แม้แต่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย
เจ้าของสมญา “ขงเบ้งแห่งกองทัพบก” ทั้งที่เคยดำรงตำแหน่ง
เป็นถึงนายกรัฐมนตรี ผู้บัญชาการทหารบก และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ยังถูกโจมตีว่าฝักใฝ่ลัทธิคอมมิวนิสต์ เพียงเพราะเผลอพูดเรื่อง “สภาเปรซิเดียม”
จนถูก ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ตั้งคำถามแรงๆว่า
“แล้วจะเอาในหลวงไปไว้ที่ไหน เมื่อมีสภาเปรซิเดียม!”
แม้เรื่องนี้จะผ่านมานานนับสิบๆปีแล้วก็ตาม
แต่ยังมีนักการเมืองบางพรรคพยายามนำมาใช้โจมตี พล.อ.ชวลิต
เหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทหารนำมาใช้อ้างในการทำรัฐประหารคือ
การทุจริตคอร์รัปชันของนัก การเมือง ไม่ว่าเป็นกรณีรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
หรือรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ที่ถูก รสช. รัฐประหาร
ทั้งที่ไม่มีหลักฐานและเอาผิดได้
แต่ก็ไม่วายที่จะหยิบยกเอาเรื่องความผูกขาดจงรักภักดีต่อสถาบันมาเป็นเครื่องมืออีกเช่นกัน
พ.ต.ท.ทักษิณจึงต้องประกาศต่อสู้เพื่อให้ได้ความยุติธรรมกลับคืนมาให้ได้
แม้ตายก็จะไปต่อสู้ในนรก
ขณะที่นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ บุตรชายของ พล.อ.ชาติชาย
ซึ่งเวลานั้นมีหมวกอีกใบหนึ่งเป็นหัวหน้าทีมที่ปรึกษาบ้านพิษณุโลกของรัฐบาล
เปิดเผยถึงความรู้สึกขณะนั้นว่า
“ผมอับอายขายขี้หน้าชาวโลกจนไม่รู้จะตอบคำถามสื่อมวลชนตะวันตกในเวลานั้นอย่างไรดี
มันเป็นไปไม่ได้เลยในโลกยุค พ.ศ. นั้นที่จะเกิดการทำรัฐประหารยึดอำนาจขึ้นมาอีก
รัฐบาลพ่อของผมกำลังนำประชาธิปไตยมาปักหลักในประเทศนี้
รัฐบาลกำลังพัฒนาเศรษฐกิจ อาจมีปัญหาเรื่องการกระจายรายได้ แต่เราก็กำลังทำกันอยู่”
โดยเฉพาะนายไกรศักดิ์ตัดพ้อว่า ยอมรับไม่ได้อย่างยิ่งคือ การใช้เรื่องสถาบันมาเป็นเครื่องมือ
“ที่ผมยอมรับไม่ได้โดยสิ้นเชิงก็คือ
การหยิบยกเอาเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเงื่อนไขสำคัญ จะเป็นไปได้อย่างไรว่า
รัฐบาลไม่ปกป้องสถาบันกษัตริย์ คนไม่รู้หรอกหรือว่าแม่ผม (ท่านผู้หญิงบุญเรือน ชุณหะวัณ)
เคยอยู่รับใช้ใกล้ชิดสมเด็จย่า
ผมตอนเด็กๆก็เข้าไปวิ่งเล่นในวังของท่าน ยังเรียกท่านว่าเด็จยายๆอยู่เลย”
ผู้ก่อการร้าย-ล้มเจ้า
ดังนั้น เกือบ 80 ปีของการเมืองไทยยังวนเวียนอยู่กับการรัฐประหาร
และฉีกแล้วร่างรัฐธรรมนูญฉบับแล้วฉบับเล่านั้น ไม่ใช่เพราะพฤติกรรมของนักการเมือง
ที่โกงบ้านโกงเมืองเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องของการแย่งชิงอำนาจ ผลประโยชน์ในกองทัพ
และกลุ่มทุนต่างๆ ทั้งกลุ่มทุนในอดีตหรือกลุ่มอำมาตย์กับกลุ่มทุนใหม่
ซึ่งมีหลักฐานชัดเจนในการโค่นล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณของกลุ่มอำมาตย์ ตุลาการ นายทหาร
และกลุ่มทุน โดยนำสถาบันเบื้องสูงมาใช้เป็นเครื่องมืออย่างได้ผล
แม้แต่ปัจจุบันกลุ่มอำมาตย์และกองทัพ
ก็ยังพยายามปลุกผี “ล้มเจ้า” ขึ้นมาใช้เป็นเครื่องมือ
อย่างรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 แถลงการณ์ คปค. ฉบับที่ 1
ระบุว่ารัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้ง แบ่งฝ่าย
สลายความรู้รักสามัคคีของคนในชาติอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
ในประวัติศาสตร์ชาติไทย
ประชาชนเคลือบแคลงสงสัยการบริหารราชการแผ่นดิน
อันส่อไปในทางทุจริต ประพฤติมิชอบอย่างกว้างขวาง
หน่วยงานองค์กรอิสระถูกครอบงำทางการเมือง
ไม่สามารถสนองตอบเจตนารมณ์
ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ทำให้การดำเนินกิจกรรมทางการเมืองเกิดปัญหาและอุปสรรคหลายประการ
ตลอดจนหมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแห่งองค์พระมหากษัตริย์
ผู้ทรงเป็นที่เคารพเทิดทูนของปวงชนชาวไทยอยู่บ่อยครั้ง
ขณะที่ก่อนการรัฐประหารกลุ่มพันธมิตรฯ
นำโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล ใช้สัญลักษณ์เสื้อเหลือง
และข้อความว่าทำเพื่อปกป้องเบื้องสูงมาเคลื่อนไหว
โจมตีรัฐบาลทักษิณอย่างหนักว่าคอร์รัปชัน
และจาบจ้วงสถาบัน เช่นเดียวกับที่ ศอฉ.
กล่าวหากลุ่ม นปช. ว่าเกี่ยวข้องกับเครือข่ายขบวนการล้มเจ้า
และนำมาซึ่งการปราบปราม
และฆ่าประชาชนอย่างโหดเหี้ยม
ในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่มีผู้เสียชีวิตถึง 91 ศพ
และบาดเจ็บพิการเกือบ 2,000 คน
จาก สด.43 ปลอมถึงใบเกิดอังกฤษจริง!
แต่ผ่านมากว่า 9 เดือนการสอบสวนและชันสูตรพลิกศพก็แทบไม่มีอะไรคืบหน้า
ขณะที่สังคมไทยก็เหมือนคนหูหนวกตาบอด
ยอมรับการกระทำอย่างโหดเหี้ยมเลือดเย็นของรัฐบาลและกองทัพ
ยอมอยู่ภายใต้รัฐบาลที่รวมหัวกันปล้นอำนาจประชาชน
แม้แต่นายอภิสิทธิ์เองก็ถูกตั้งคำถามเรื่อง “ใบผ่านการเกณฑ์ทหาร” หรือ สด.43 ว่า
ผ่านการรับราชการทหารอย่างถูกต้องหรือไม่
เพราะกองทัพเองก็ไม่เปิดเผยผลการสอบหรือชี้แจงใดๆถึงเอกสาร
ที่มีการนำมาเปิดเผยว่านายอภิสิทธิ์ไม่ได้ผ่านการรับราชการทหาร
หรือการเป็นข้าราชการพลเรือนสังกัดกลาโหมนั้นถือว่า
ผ่านการรับราชการทหารอย่างถูกต้องหรือไม่
กองทัพบกมีเอกสารต้นขั้ว สด.9 ที่ออกให้นายอภิสิทธิ์เพื่อบรรจุเป็นทหารกองเกิน
เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2529 จริงหรือไม่ และมีเอกสาร สด.1 ของสัสดีที่ยืนยัน
การรับ สด.9 ด้วยหรือไม่ สด.43 เป็นของจริงหรือมีการปลอมแปลง
คนไทยสัญชาติอังกฤษ?
ขณะที่เรื่องสัญชาติอังกฤษของนายอภิสิทธิ์
ที่นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม
สำนักกฎหมายอัมสเตอร์ดัม แอนด์ เพรอฟ ในฐานะทนายความของ นปช.
นำมาใช้ฟ้องร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ (ไอซีซี)
เพื่อให้ดำเนินคดีในข้อหาฆ่าประชาชน
ซึ่งเป็นช่องทางเดียวที่จะนำนายอภิสิทธิ์ขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศได้นั้น
นายอภิสิทธิ์ก็ไม่ยอมตอบคำถามอย่างตรงไปมาว่าได้ทำเรื่องขอถอนสัญชาติหรือไม่
อย่างล่าสุดที่กล่าวถึงกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.เพื่อไทย และแกนนำ นปช.
นำหลักฐานสูติบัตรของนายอภิสิทธิ์มากล่าวปราศรัยว่ายังไม่ได้สละสัญชาติอังกฤษว่า
“ผมเกิดที่ไหน ผมก็เปลี่ยนที่เกิดผมไม่ได้อยู่แล้ว ผมเกิดที่ไหนก็เกิดที่นั่นแหละครับ
แต่ผมก็ไม่ได้ใช้สิทธิ เพราะ ตอนที่ผมเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยผมก็จ่ายเงิน
ในฐานะเป็นนักเรียนต่างประเทศ และผมเดินทางไปอังกฤษ
ตั้งแต่บรรลุนิติภาวะมาไม่รู้กี่ครั้งก็ต้องใช้วีซ่าเข้าประเทศ
เพราะ ฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่น่ามีความชัดเจนในตัวของมันอยู่แล้ว”
นอกจากนี้นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวว่า ประเด็นอยู่ที่ว่า
ตนมีสัญชาติไทย และใช้สัญชาติไทยมาโดยตลอดในการสมัครรับเลือกตั้ง
กฎหมายไทยเขียนว่าอย่างไร ตนเป็นคนไทยก็ถือตามกฎหมายไทย
โดยไม่ยอมตอบคำถามว่าได้สละสัญชาติแล้วหรือไม่
อีแอบโมเดล?
การเมืองไทยภายใต้รัฐบาลอภิสิทธิ์ และเงาทมิฬของกองทัพและกลุ่มอำมาตย์
จึงยากที่สังคมไทยจะได้เห็นความยุติธรรม และประชาธิปไตยที่แท้จริง
เช่นเดียวกับวาทกรรมปรองดองที่นายอภิสิทธิ์พยายามชูขึ้นมา
เพื่อฟอกตัวจากเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต”
ประชาธิปไตยและความยุติธรรมจึงต้องมาจากประชาชน
ต้องมีอำนาจเหนือกองทัพและกลุ่มอำมาตย์
เช่นเดียวกับการลุกขึ้นมาปฏิวัติของประชาชนในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ
เพื่อโค่นล้มอำนาจเผด็จการและความไม่เป็นธรรมขณะนี้
โดยเฉพาะกรณีอียิปต์โมเดลที่เป็นหนึ่งในประเทศมหาอำนาจของโลกอาหรับนั้น
ทำให้ผู้นำเผด็จการทรราชทั่วโลกหวาดผวา ต้องเร่งปฏิรูปอำนาจและปฏิรูปการเมือง
แต่ประเทศไทยที่อำนาจการเมืองการปกครองยังวนเวียนอยู่กับ “วงจรอุบาทว์”
การปฏิวัติรัฐประหาร และประชาธิปไตยจอมปลอม ไม่สามารถทำได้ง่ายๆ
เพราะอำนาจที่แท้จริงไม่ใช่รัฐบาลหุ่นเชิด
แต่อยู่ที่ “อีแอบ” และ “อำนาจพิเศษ” ที่สังคมทั้งกลัวและไม่กล้าแตะต้อง
การต่อสู้เพื่อความยุติธรรมและประชาธิปไตยที่แท้จริงของประชาชน
จึงต้องสุขุมและรอบคอบอย่างยิ่ง เพราะไม่ใช่ต่อสู้กับผู้นำ “ศรีธนญชัย”
ที่เป็นแค่หุ่นเชิดเท่านั้น แต่ต้องสู้กับ “อีแอบ” และ “อำนาจที่มองไม่เห็น”
โดยกองทัพพร้อมจะเข่นฆ่าประชาชน เหมือนเหตุการณ์ 6 ตุลาวิปโยค
พฤษภาทมิฬ และเมษา-พฤษภาอำมหิต
เพราะ “อีแอบ” คิดว่าประเทศนี้เป็นของ “อีแอบ” ไม่ใช่ของประชาชน
เหมือนอย่างที่ พ.อ.มูอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำเผด็จการลิเบีย ประกาศจะสู้ตาย
และบดขยี้ประชาชนทุกคนที่ลุกขึ้นมาขับไล่ว่า
“นี่คือประเทศของผม ผมจะสู้จนกระทั่งเลือดหยดสุดท้าย”
ซึ่งไม่ได้แตกต่างจากความรู้สึกของ “อีแอบ”
และกลุ่มอำมาตย์ในสังคมไทย
ที่ตีค่าประชาชนไทยเป็นแค่ไพร่และข้าทาสที่ต้องก้มหัวรับใช้เท่านั้น
การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและความยุติธรรม ประชาชนและคนเสื้อแดง
จึงต้องมีความชัดเจนว่าอะไรคือเป้าหมายที่แท้จริง
ต้องสุขุมมั่นคง และมียุทธศาสตร์ทั้งระยะสั้น ระยะยาว
เพราะการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่การต่อกรกับรัฐบาลที่เป็นเพียงผู้รับใช้
แต่ เป็นการต่อสู้กับ “อีแอบ” ที่แยบยลเหนือ ชั้นกว่าที่มองเห็น
“อียิปต์โมเดล” ไปแล้ว แต่ “อีแอบโมเดล” ยังอยู่ยงคงกระพัน
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 300
วันที่ 26 กุมภาพันธ์ – 4 มีนาคม พ.ศ. 2554 หน้า 16
คอลัมน์ เรื่องจากปก โดย ทีมข่าวรายวัน
http://www.dailyworldtoday.com/newsblank.php?news_id=9792