ที่มา ประชาไท
“สนธิ ลิ้มทองกุล” เล็งทำศิลาจารึกดิจิตอลเพื่อติดชื่อ-รูป ประจานผู้ทำให้เสียดินแดน ชี้วัฒนธรรมไทยไร้พรมแดนสมัย ร.5 มีการปรับตัวเริ่มนุ่งเสื้อและใช้ช้อนกินข้าว แต่อธิปไตยของชาติไม่มีวันไร้พรมแดน และใครหมิ่นพระบรมเดชานุภาพต้องถูกจัดการ
แฟ้มภาพ: ประชาไท
สนธิเล็งทำหลักศิลาจารึกดิจิตอลเพื่อติดรูป+ชื่อ ประจาน
เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า เมื่อเวลา 21.15 น. คืนวานนี้ (23 ก.พ.) นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขึ้นปราศรัยที่เวทีสะพานมัฆวานฯ กล่าวว่า จะสู้ให้ถึงที่สุด ถึงแม้ว่าเราต้องเสียดินแดนไปจริงๆ แต่ก็ถือว่าได้พิสูจน์สิ่งที่เราพูดแล้วว่าเป็นความจริง ที่เราเสียดินแดนก็เพราะเราไม่มีอำนาจที่จะไปจัดการ อย่างไรก็ตาม พันธมิตรฯ จะทำ “ศิลาจารึก 2554” เป็นศิลาจารึกรูปแบบใหม่ โดยจะทำเป็นโปสเตอร์ใส่ชื่อและรูปคนที่ทำให้ประเทศไทยเสียดินแดน ไล่ลงมาตั้งแต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี รวมถึงนายพลกุนเชียง เพื่อนำไปติดตามหมู่บ้านต่างๆ ทั่วประเทศ ให้ลูกหลานจำชื่อคนขายชาติเหล่านี้เอาไว้
นอกจากนี้จะทำหนังสือเล่มเล็กๆ ใส่ข้อมูลว่าใครทำให้ประเทศไทยเสียดินแดนบ้าง เริ่มตั้งแต่การทำเอ็มโอยู 2543 ซึ่งก็มีนายชวน หลีกภัย อดีตนายกฯ ที่เป็นคนลงนาม นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีต รมว.ต่างประเทศ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร อดีต รมช.ต่างประเทศ รวมไปถึง ครม.ทุกชุดที่ลงมติ ส.ส.-ส.ว.ทุกคนที่ยกมือให้ผ่านเจบีซี เป็นต้น โดยจะมีชื่อ ภาพถ่าย ที่อยู่ของคนเหล่านั้น พิมพ์แจกทั่วประเทศ ถ้าต้องพิมพ์เป็นล้านเล่มก็จะทำ รวมทั้งนำไปขึ้นไว้บนเว็บไซต์เอเอสทีวีผู้จัดการ เป็นศิลาจารึกยุคดิจิตอล ให้อยู่ไปตลอดชั่วลูกชั่วหลาน เพื่อให้คนรุ่นหลังมาเห็นว่า บรรพบุรุษของเขามีใครบ้างที่ขายชาติ ได้รู้ว่าใครบ้างที่เป็นคนหนักแผ่นดิน และเป็นการพิสูจน์คำโกหกของนายอภิสิทธิ์และอีกหลายๆ คน ว่าพูดออกมาอย่างไร แต่ความจริงเป็นอย่างไร ให้คนรุ่นหลังได้รับรู้ตลอดไป
ท้านักวิชาการที่เสนอเรื่องไร้พรมแดน ให้ลองไปฮ่องกงโดยไม่มีวีซ่า
นายสนธิได้กล่าวหา คณะนักวิชาการมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์ ที่ร่วมกันทำวิจัยให้กับกระทรวงการต่างประเทศภายใต้โครงการ “การสร้างความรู้ความเข้าใจแก่สาธารณชน เรื่องเขตแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ผ่านสื่อสารคดี และการฝึกอบรม” ซึ่งเผยแพร่ผลงานไปเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยนายสนธิได้เรียกว่า “นักวิชาการ 7.1 ล้านบาท”
นายสนธิกล่าวว่า นักวิชาการพวกนี้บอกว่าทุกวันนี้เป็นโลกไร้พรมแดน ไม่มีใครสนใจเรื่องเขตแดนแล้ว แต่คำพูดของนักวิชาการเหล่านี้ไม่มีค่าใดๆ เลย เพราะคำว่าโลกไร้พรมแดนจริงๆ แล้ว เป็นการไร้พรมแดนทางวัฒนธรรม การติดต่อสื่อสาร และธุรกรรมทางการเงิน ซึ่งสืบทอดมาจากยุคที่ฝรั่งออกค้นหาโลกใหม่เพื่อหาทรัพยากรและของมีค่ากลับ ไปประเทศของตนในยุโรป ดังนั้น การที่คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ออกเดินเรือไปขนเอาทรัพยากรจากประเทศต่างๆ กลับไปสเปน ก็ไม่ต่างจากการที่นักวาณิชธนกิจของฝรั่งนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์คอยปั่นหุ้น ในประเทศต่างๆ เพื่อเอากำไรกลับประเทศตัวเอง จะต่างกันแค่เวลาเท่านั้นโดยโคลัมบัสอาจใช้เวลา 1 ปี แต่วาณิชธนกิจสมัยใหม่ใช้เวลาไม่กี่วินาที
นายสนธิกล่าวต่อว่า การที่ฝรั่งสามารถทำเช่นนี้ได้ก็เพราะได้สร้างกติกาไว้เพื่อให้พวกเขาเข้ามา เอาทรัพยากรจากประเทศต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ให้ทุกประเทศทำระบบธนาคารให้เหมือนกัน มีการกันทุนสำรองเหมือนกัน ให้ตลาดหลักทรัพย์ทุกประเทศทำตามกติกาที่พวกเขากำหนด ซึ่งฝรั่งที่เชี่ยวชาญกว่าก็ได้เปรียบเราตั้งแต่ยกแรก ทางด้านวัฒนธรรมการกินอยู่ก็ให้มีแมคโดนัลด์เหมือนกันทุกประเทศ ดูหนังฮอลลีวูดเหมือนกันทั้งโลก ตรงนี้คือโลกที่ไร้พรมแดน โดยมีองค์ประกอบคือการติดต่อสื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ต ผ่านดาวเทียม โลกไร้พรมแดนในความหมายที่แท้จริงอยู่ตรงนี้ ไม่ได้หมายถึงไร้พรมแดนทางอธิปไตยแม้แต่นิดเดียว
นายสนธิระบุว่า ถ้าไร้พรมแดนจริง ให้นักวิชาการ 7.1 ล้านบาท ลองเดินทางไปฮ่องกงโดยไม่มีวีซ่าดู เพราะฉะนั้น ตราบใดที่การเดินทางข้ามประเทศยังต้องใช้พาสปอร์ต-วีซ่า นั่นคือโลกที่ยังมีพรมแดน
สนธิชี้ไทยมีการปรับตัวสมัย ร.5 เริ่มใส่เสื้อ-ใช้ช้อนกินข้าว แต่ถ้าใครหมิ่นต้องถูกจัดการ
นายสนธิกล่าวต่อว่า ในแง่วัฒนธรรมนั้นเป็นโลกไร้พรมแดน เพราะมีการดัดแปลงวัฒนธรรมอยู่ตลอด เหมือนเมื่อก่อนที่คนไทยไม่ใส่เสื้อ แต่ในสมัยรัชกาลที่ 4 รัชกาลที่ 5 เมื่อมีฝรั่งเข้ามา เราก็เริ่มใส่เสื้อ หรือเมื่อก่อนเราใช้มือกินข้าว แต่รัชกาลที่ 5 ทรงดัดแปลงการใช้มีดกับส้อมของฝรั่ง มาให้คนไทยใช้ช้อนส้อมกินข้าว เพราะฉะนั้นโลกไร้พรมแดนคือ ไร้พรมแดนทางวัฒนธรรม การเงินการค้า ไม่ใช่ไร้พรมแดนทางอธิปไตย และอธิปไตยของชาตินั้นไม่มีวันไร้พรมแดน ของใครของมัน ใครล้ำเข้ามา ใครหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ต้องถูกจัดการ
นายสนธิกล่าวถึงการต่อสู้เพื่อปกป้องดินแดนของพันธมิตรฯ ว่า ถ้าจะเปรียบเทียบกับกรณีสมมติว่า มีป้าแก่ๆ คนหนึ่งหาบของมาขายแล้วถูกเทศกิจมากระชากเอากระจาดไป ก็จะมีคนอยู่ 2 ประเภท ประเภทแรกยืนดูอยู่เฉยๆ แล้วแค่พูดว่าไปทำอย่างนั้นทำไม กับประเภทที่ 2 ที่ทนไม่ได้แล้วออกไปช่วยป้ายื้อกระจาดเอาไว้ คนที่ออกไปช่วยป้ายื้อกระจาด ก็คือคนที่นั่งอยู่ตรงนี้
ยกอภิสิทธิ์และประชาธิปัตย์ขายชาติหนักแผ่นดินที่สุดในประวัติศาสตร์
นายสนธิกล่าวต่อว่า คนบางคนไปพูดข้างนอกว่า พวกเราสู้ไปทำไม สู้ไปก็แพ้ ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่าสู้แล้วแพ้ แต่ประเด็นคือ เราทนไม่ได้ที่เห็นคนแก่โดนยึดกระจาดเราต้องออกมาช่วย ซึ่งก็คือเราทนไม่ได้ที่เราเห็นชาติกำลังจะเสียดินแดนไปต่อหน้าต่อตา นี่คือประเด็นที่ทำให้เรายึดมั่นในหลักการตรงนี้ สิ่งหนึ่งที่เราจะไม่ยอมให้เรื่องนี้จบไปง่ายๆ คือต้องทำศิลาจารึกคนหนักแผ่นดินให้ได้ โดยช่วยกันทำช่วยกันกระจายออกไป นี่คือบทเรียนทางจริยธรรมและทางประวัติศาสตร์ที่จะจารึกว่า ไม่มีชาติไหนที่จะมีคนขายชาติและหนักแผ่นดินเหมือนชาติไทยยุคที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล และมีนายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ
“วันนี้บอกได้เลยว่า ประเทศไทยเสียดินแดนในยุคที่ประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯ ที่จงใจทำให้ไทยเสียดินแดน ตรงนี้อย่าลืม เจอใครต้องเล่าให้ฟัง เจอลูกเจอหลานต้องบอก ตรงนี้คือพลานุภาพที่มหาศาล คือพลานุภาพที่รุนแรงที่สุด สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะลงมาบอกพวกเราว่าคนที่ออกมาสู้เพื่อแผ่นดินนั้นจะได้บุญ ได้กุศล ไม่ว่าจะนับถือศาสนาไหน ส่วนพวกที่ขายแผ่นดินต้องลงนรกชั่วลูกหลานและโคตรเหง้าของมัน” นายสนธิกล่าว
ที่มา: เรียบเรียงจาก เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์