WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Monday, August 8, 2011

แถลงการณ์ "ในพระองค์" สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร

ที่มา มติชน

ในประเทศ

11 กรกฎาคม 2554 ศาลเยอรมนี มีคำพิพากษาให้อายัดเครื่องบินพระที่นั่งโบอิ้ง 737-400 ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ไว้เป็นของกลางในคดีพิพาทระหว่าง บริษัท วอลเตอร์ บาว กับรัฐบาลไทย

เรื่อง นี้สืบเนื่องจาก บริษัท วอลเตอร์ บาว ของเยอรมนี ที่เข้ามาเป็นหุ้นส่วนรับสัมปทานการก่อสร้างดอนเมืองโทลล์เวย์เมื่อปี 2543 ได้ดำเนินการทางกระบวนการยุติธรรมกับรัฐบาลไทย โดยอ้างว่า รัฐบาลไทยทำผิดสัญญา ผ่านคณะอนุญาโตตุลาการที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

1 กรกฎาคม 2552 คณะอนุญาโตตุลาการ ชี้ขาดให้รัฐบาลไทยชดใช้ค่าเสียหาย 30 ล้านยูโร (ราว 1,200 ล้านบาท) บวกดอกเบี้ย 6 เดือนในอัตราร้อยละ 2 ตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2549

แต่รัฐบาลไทยได้ประวิงเวลาชดใช้ และพยายามหาช่องสู้คดีอยู่หลายปี

บริษัท วอลเตอร์ บาว จึงได้ฟ้องร้องต่อศาลเยอรมนีเพื่อบังคับคดี

จนนำไปสู่การอายัดเครื่องบินพระที่นั่งดังกล่าว



รัฐบาลไทยส่งคณะกฎหมายไทย ประกอบด้วย อัยการสูงสุด และรองอธิบดีกรมสนธิสัญญาเดินทางไปเยอรมนี เพื่อยกเลิกการอายัด

โดย ชี้แจงศาลเยอรมนีว่าเครื่องบินพระที่นั่ง ไม่ใช่ทรัพย์สินของรัฐบาล เป็นเครื่องบินที่กองทัพอากาศไทยได้น้อมเกล้าฯ ถวาย ตั้งแต่ปี พ.ศ.2550 จึงถือเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์

วันที่ 20 กรกฎาคม ศาลเยอรมนี เห็นพ้องที่จะถอนอายัดเครื่องบินดังกล่าว

แต่มีเงื่อนไขต้องมีการวางหลักทรัพย์ค้ำประกันตามมูลค่าประเมินของเครื่องบิน 20 ล้านยูโร หรือราว 840 ล้านบาทไว้

รัฐบาล ไทยได้หารือในประเด็นนี้ ที่สุดเห็นว่าไม่ควรวางหลักประกันดังกล่าว เพื่อรอให้ศาลพิจารณาและสืบพยานให้เสร็จสิ้นไปในคราวเดียว ซึ่งคาดว่ากระบวนการสืบพยานจะมีขึ้นประมาณปลายเดือนสิงหาคม 2554

นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด แสดงความมั่นใจว่าจะนำเครื่องบินกลับมาได้ โดยไม่ต้องเสียเงินค่ามัดจำแม้แต่บาทเดียว

พร้อมทั้งให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า

"ผม ได้เข้าเฝ้าฯ โดยแรกๆ ที่ถูกอายัดเครื่องบินพระองค์ท่านก็ทรงห่วงความรู้สึกของคนไทย แต่วันที่พระองค์ท่าน เสด็จฯ ทรงเปลี่ยนเครื่องทรงพระแก้วมรกตที่วัดพระแก้ว วันนั้นมีฝนตก และมีประชาชนรอเฝ้าฯ รับเสด็จจำนวนมาก พร้อมกับเปล่งเสียงทรงพระเจริญ แสดงความรู้สึกจงรักภักดี"

"ทั้งนี้ พระองค์ท่านเป็นนักบิน รักการบิน เมื่อถูกอายัดเครื่องบินก็ย่อมไม่สบายพระทัยเป็นปกติ แต่เมื่อคนไทยแสดงความรู้สึกดี พระองค์ท่านก็สบายพระทัย"

"ส่วน เครื่องบินที่ประเทศเยอรมนี พระองค์ท่านมีพระราชวินิจฉัยว่าไม่ต้องวางเงินประกัน แม้รัฐบาลไทยก็พร้อมที่จะเอาเงินวางเพื่อจะนำเครื่องบินออกมาเพื่อ น้อมเกล้าฯ ถวายให้พระองค์ท่านทรงใช้งาน แต่พระองค์ท่านไม่ประสงค์ให้นำเงินของรัฐบาลไทยไปวาง"



อย่าง ไรก็ตาม เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม สถานทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย ออกแถลงการณ์ตอกย้ำให้รัฐบาลไทยจ่ายค่าเสียหายชดเชยให้บริษัท วอลเตอร์ บาว

เพราะคำตัดสินถือเป็นสิ้นสุดแล้ว

"เพื่อ การปกป้องการลงทุนที่ประเทศไทยและประเทศเยอรมนีร่วมลงนามกันไว้ รัฐบาลเยอรมนีคาดหวังว่า รัฐบาลไทยจะปฏิบัติตามคำตัดสินนี้อย่างเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้" แถลงการณ์ดังกล่าวระบุ

และย้ำว่า

"การตัดสินใจของรัฐบาลไทยในเรื่องนี้โดยเร็ว จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนเยอรมนีและจากประเทศอื่นๆ"

"รัฐบาล เยอรมนีได้เรียกร้องไปยังรัฐบาลไทยหลายครั้ง ให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นมิตรด้วยการชำระค่าชดเชยอย่างสมเหตุสมผลให้ กับบริษัท แต่แล้วก็ไม่สามารถมีข้อตกลงที่พอใจของทั้งสองฝ่ายได้"

กระทรวง การต่างประเทศไทย ตอบโต้ด้วยการออกแถลงการณ์ ระบุว่า รัฐบาลไทยรู้สึกผิดหวังต่อท่าทีและการดำเนินการของรัฐบาลเยอรมนี ซึ่งรวมถึงการพาดพิง เรื่องการอายัดเครื่องบินส่วนพระองค์ "โดยมิบังควร"

สัมพันธภาพระหว่าง 2 ประเทศ ตึงเครียดขึ้นโดยลำดับ

ท่าม กลางกระแสข่าวลือว่าจะมียึดเครื่องบินส่วนพระองค์ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร อีกลำหนึ่งที่สนามบินมิวนิก ประเทศเยอรมนี

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไทยยืนยันว่าไม่เป็นความจริง



วันที่ 31 กรกฎาคม

หน่วย ราชการในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้ออกแถลงการณ์เรื่อง "การอายัดเครื่องบินพระที่นั่งส่วนพระองค์ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร จากกรณีพิพาทระหว่างรัฐบาลไทยกับ บริษัท วอลเตอร์ บาว"

ความว่า

"ตาม ที่ศาลสูงสุดแห่งรัฐเบอร์ลินสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2554 ให้ดำเนินการอายัดเครื่องบินพระที่นั่งของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ซึ่งเป็นเครื่องบินส่วนพระองค์ ไว้เป็นของกลางในคดีพิพาทระหว่าง บริษัท วอลเตอร์ บาว กับรัฐบาลไทย และศาลแขวงแลนส์ฮูท ได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2554 ให้วางเงินประกันจำนวน 20 ล้านยูโร เพื่อถอนการอายัดเครื่องบินพระที่นั่งดังกล่าวนั้น

ตลอดระยะเวลา ตั้งแต่มีคำพิพากษาของศาลสูงสุดแห่งรัฐเบอร์ลิน และคำสั่งของศาลแขวงแลนส์ฮูท สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี จนถึงปัจจุบัน สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร มิได้ทรงตอบโต้แต่ประการใดต่อคำพิพากษาและคำตัดสินดังกล่าว รวมทั้งต่อกระแสข่าวทั้งจากในและต่างประเทศ ทรงเคารพต่อคำพิพากษาของศาล และทรงเชื่อมั่นในความยุติธรรมของกระบวนการยุติธรรมด้วยทรงมีความสัมพันธ์ ที่ดีกับรัฐบาลและประชาชนของสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ในระหว่างที่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจและทรงพำนักอยู่ในสหพันธ์สาธารณรัฐ เยอรมนี ทรงได้รับการต้อนรับ รวมทั้งการอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ เป็นอย่างดี

แม้ว่า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร จะมิได้มีส่วนได้เสียหรือเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทระหว่างรัฐบาลไทยกับ บริษัท วอลเตอร์ บาว และมิได้ทรงเป็นผู้สร้างเรื่องหรือเหตุการณ์ข้อพิพาทขึ้นมา แต่ผลจากข้อพิพาทดังกล่าว ได้นำมาซึ่งความเดือดร้อนพระราชหฤทัย กระทบต่อพระราชกรณียกิจ และเสี่ยงต่อการเสื่อมเสียพระเกียรติยศเป็นอย่างยิ่ง

ในการนี้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงมีพระราชกระแสและพระราชปณิธานที่จะทรงตอบแทนพระคุณแผ่นดินไทย และทรงใช้หนี้บุญคุณให้กับประเทศชาติในพระราชฐานะที่ทรงเป็นประชาชนชาวไทย พระองค์หนึ่ง และทรงเป็นองค์สยามมกุฎราชกุมารของประเทศไทย อีกทั้งมิให้เกิดผลกระทบต่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยและสหพันธ์ สาธารณรัฐเยอรมนี และเพื่อให้ข้อพิพาทดังกล่าวจบลงด้วยดีและรวดเร็ว จึงจะพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เพื่อนำไปใช้ในการระงับข้อพิพาทดังกล่าว

ทั้งนี้ ไม่ทรงปรารถนาที่จะให้มีพระนามาภิไธยไปเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทและมิให้เป็นที่เสื่อมเสียต่อพระเกียรติยศ"



วัน ที่ 1 สิงหาคม นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด (อสส.) นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม พร้อมคณะทำงานหารือกับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาลอย่างเร่งด่วน

นายอำพน กิตติอำพล เลขาธิการคณะรัฐมนตรี (ครม.) แถลงผลประชุมว่ารัฐบาลจะยึดหลักในการแก้ไขเรื่องนี้คือ

1.การยุติคดีหลักโดยเร็ว

2.ไม่ให้กระทบสัมพันธภาพของสองประเทศ

และ 3.ให้มีกลไกในการยุติคดีเพื่อไม่ให้เกิดการอ้างเอาข้อพิพาทที่ยังหาข้อยุติ ไม่ได้ ไปมีผลกระทบกับบุคคลที่สามโดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันของประเทศไทย

ด้าน นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า การพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อแก้ปัญหานั้น ขณะนี้ยังไม่ได้พระราชทาน เพียงแต่พระองค์ท่านแสดงพระราชปณิธานที่จะสละพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ แต่รัฐบาลก็จะดำเนินการที่จะแก้ไขปัญหานี้เอง โดยไม่ให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท เพราะยังคิดว่ามีหนทางที่จะดำเนินการได้

"พระองค์ท่าน ทรงห่วงในเรื่องผลกระทบที่เกิดขึ้น ถ้าหากเหตุการณ์ยืดเยื้อลุกลาม ก็มีผลกระทบต่อความสัมพันธ์และต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วย พระองค์ท่านจึงแสดงพระราชปณิธานที่จะสละพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ซึ่งรัฐบาลก็กราบบังคมทูลว่าจะขอไปดำเนินการตามแนวทางด้วยตัวของรัฐบาลเอง ก่อน"

ณ ขณะนี้

คนไทยกำลังเฝ้ารอว่าการ "ดำเนินการตามแนวทางด้วยตัวของรัฐบาล" เองนั้น จะยุติปัญหาที่ ยืดเยื้อตั้งแต่ปี 2543 อย่างไร!