ที่มา Thai E-News
โดย ชัยนรินทร์ กุหลาบอ่ำ
คนส่วนใหญ่ที่เลือกพรรคเพื่อไทยและนิยมตัวคุณทักษิณ ชินวัตร ยังเป็นคนรากหญ้า ชนชั้นกรรมาชีพ และพอใจในนโยบายพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทย (นโยบายประชานิยม)
คนชั้นกลาง ชนชั้นกลาง ชนชั้นกลางในเมือง พนักงานปกคอขาว ทั้งหลายที่ชื่นชอบความเป็นแดงซึ่งไม่เกี่ยวว่าชอบทักษิณหรือไม่ ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นตลอด
หากเทียบ คนหลากสี คนเสื้อเหลือง กลุ่ม พันธมิตรฯ อาจมีจำนวนพอๆกันด้วยซ้ำ
และการที่พรรคเพื่อไทยได้รับความนิยมในปัจจุบัน จึงแตกต่างในอดีต ที่มีคุณทักษิณเป็นนายกฯ คือ 1 การต่อสู้ในเชิงชูบุคคล 2 การต่อสู้ในเชิงมิติทางอุดมการณ์
การต่อสู้ในเชิงชูตัวบุคคล ยอมรับว่าเมื่อ3-4 ปีก่อน มีความจำเป็นในการต่อสู้เพื่อให้ได้รับชัยชนะและมีความชอบธรรม
แต่การพัฒนาการในทางการต่อสู้ในปัจจุบันซึ่งเป็นรอยต่อการเปลี่ยนผ่าน ในเชิงโครงสร้างและในภาวะอุดมการณ์ต่างชนิดกัน
ลำพังการชูตัวบุคคลมิใช่ความทันต่อสภาวะการณ์แห่งการเปลี่ยนแปลง ซึ่งหากประชาชนฝ่ายนิยมประชาธิปไตยที่แท้จริงต้องการชัยชนะ การเน้นที่ความเป็นอุดมการณ์ ความคิดเชิงระบอบ โครงสร้าง โมเดล จึงเป็นสิ่งที่ควร และสำคัญในวิถีแห่งการต่อสู้ขึ้นใหม่
ระบอบเก่าในเชิงความเป็นบุคคลกำลังอ่อนเเอจวนเจียนแก่เวลาอำลา
แต่การสร้างสิ่งใหม่จะต้องปะทะกับสิ่งเก่าและสิ่งนั้นนานวันฝ่ายเขา(อำมาตย์ เผด็จการ) กำลังทำทุกวิธีการเพื่อตัดกำลังฝ่ายประชาธิปไตย
เขาใช้กฎหมาย ใช้ศาล ใช้ทหาร ใช้วัฒนธรรม สื่อสารมวลชน และงบประมาณมหาศาลเพื่อคงความอุดมการณ์อำนาจนิยม
แต่ความได้เปรียบของฝ่ายเราคือ วิถีแห่งโลก ความเป็นธรรม ความจริง สัจจะธรรม ความกล้าหาญ และความต้องการเห็นประชาธิปไตยที่แท้จริง
ดังนั้น หมายเหตุแห่งการต่อสู้ครั้งนี้ คือ อุดมการณ์ประชาธิปไตยแท้จริง จงเชิดชู เผยแพร่สัจจะธรรม และประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยแท้จริงจะชนะในที่สุด
ผู้เขียนจึงทดลองนำเสนอสูตรต่างๆในการต่อสู้เพื่อให้ได้ประชาธิปไตยที่แท้จริง มีดังนี้
สูตรที่หนึ่ง สูตรใช้อำนาจทางการเมืองเข้าประหัตประหารคู่ต่อสู้ แต่ต้องให้ฝ่ายการเมืองพรรคเพื่อไทยเข้มแข็ง โดยเฉพาะ บุคคลากรที่มีความเป็นนักต่อสู้เสื้อแดง จะต้องชิงไหวชิงพริบในระบบรัฐสภา
แต่หลังการแถลงนโยบายและงานเปิดตัวแกนนำ(งานคอนเสิร์ตคุณจตุพร) สะท้อนว่า แกนนำเสื้อแดงที่นั่งในตำแหน่งทางการเมือง ไม่มีทิศทางการต่อสู้ ไม่มีแนวทาง ทั้งยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีที่จะชนะอำมาตย์ และไม่มีการเตรียมความพร้อมในการต่อสู้แตกหักที่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
ทั้งหมดนี้ไม่อยากจะกล่าวเลยว่า ฝากความหวังกับพวกท่านเหล่านี้คงยาก
สูตรที่สอง นปช คืออาวุธทำลายฝ่ายอำมาตย์ ซึ่ง นปช ต้องมีการปรับเปลี่ยนเนื้อหา สาระ ในการต่อสู้ ต้องเน้นที่งานให้มวลชนนำการต่อสู้ และเน้นที่การชูอุดมการณ์หลากหลายมิติ
แต่สิ่งนี้ อ.ธิดา และคณะนอกจากไม่จับประเด็นทางรูปสภาวะการณ์ที่เปลี่ยนไปแล้ว อ.ธิดายังโจมตีแนวทางอุดมการณ์แดงที่ก้าวหน้ากว่า นปช และกีดกันทุกรูปแบบ
มองเช่นนี้แล้วก็สุดจะบรรยายความปลวกต่อขบวนการ และไร้เดียงสาทางการนำการต่อสู้เมื่อสูตรหนึ่งและสูตรสอง ใช้ไม่ได้ผล
สูตรที่สาม คือ สูตรธรรมชาติ แต่ต้องยอมรับว่าอาจจะไม่มีธรรมชาติในชีวิตจริง และความพ่ายแพ้ ดูเหมือนกับว่าเกิดขึ้นได้มากกว่า ปาฏิหารย์
การกล่าวถึง สถานการณ์สร้างผู้นำ จึงเป็นเรื่อง "นิทานสอนเด็ก" มากกว่าจะเป็นเรื่องจริงจัง
ผู้นำการต่อสู้ในทางระบอบประชาธิปไตย เกิดขึ้นมาจาก ระบบการจัดตั้งทางอุดมการณ์ ทางการศึกษา(ไม่ใช่ระบบการศึกษา ป.ตรี โท เอก ) และประสบการณ์ในการต่อสู้ และความทุ่มเทชีวิตทั้งหมด ซึ่งต้องมีคนเห็นและยอมรับเป็นจำนวนมาก และผู้เสียสละขนาดนี้ อาจมีอยู่จริงในโลก แต่ ตอแหลแลนด์ ตอบยาก
สูตรสี่ ให้กาลเวลาเป็นผู้จัดการ ซึ่งสูตรนี้เป็นการนำเอาหลักการ วงล้อแห่งธรรมชาติ ตามสภาพ สภาวะธรรม หรือกฎธรรมชาติเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิต สิ่งไม่มีชีวิต รวมถึงระบอบ ระบบต่างๆของโลกนี้
โดยที่เราสามารถนึกย้อนไปถึงอาณาจักรแห่งความเสื่อมทั้งหลายที่เคยตั้งอยู่
บนโลกใบนี้ไม่ว่าจะรุ่งโรจน์สักปานใดก็ย่อมถึงวันร่วงโรยเป็นธรรมดา กาลเวลาสามารถวัดความมีประสิทธิภาพและบ่งชี้ความจริงของสิ่งต่างๆได้เยี่ยม ที่สุด
และระบอบการเมืองการปกครองของมนุษย์ ก็เป็นสิ่งที่มีการประดิษฐ์โดยมนุษย์เอง ที่มีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
แต่ระบอบประชาธิปไตยบ้านเราที่ตั้งมั่นความเป็นเผด็จการซ่อนรูป และบางครั้งเปิดเผยถึงธาตุแท้ได้ดำรงอยู่อย่างค่อนข้างมั่นคงมาถึง76 ปี เพราะความเหี้ยมโหด เด็ดขาดและชาญฉลาด(ชาญฉลาดไม่ได้แปลว่าดีงาม) ของชนชั้นปกครองไทย
แต่ใช่ว่านักเคลื่อนไหวเพื่อความเป็นธรรม ความเป็นประชาธิปไตย จะปล่อยให้เป็นไปเอง เพราะมันจะกลายสภาพให้กระแสการเคลื่อนไหว เป็นดั่งน้ำตก ย่อมไหลสู่ที่ต่ำ
ดังนั้นการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องในประเด็นเชิงอุดมการณ์ที่สร้างสรรค์และ การผลักดัน กดดัน ในรูปแบบต่างๆจะช่วยให้ระบอบเผด็จการต่างๆถึงวาระแห่งความเสื่อมตามธรรมชาติ พังพ่ายเร็วขึ้น
แต่ข้อเสียข้อสูตรที่สี่ คือ ความเฉื่อยเนือยของนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริงและความไม่เอาใจใส่ ของผู้นำมวลชน เพราะมักคิดว่า รอเวลาไม่ต้องทำอะไรเดี๋ยวระบอบมันพังเอง
ซึ่งข้อเท็จจริงนี้ คงจะลืมกันไปว่าระบอบเผด็จการมันสามารถอยู่ได้เป็นร้อยปีพันปี หากขาดความกระตือรือร้นและความตื่นตัวของนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยแท้จริง
สูตรที่ห้า ชนชั้นกรรมาชีพแดง คือตัวแทนแห่งชั้นชนผู้สรรค์สร้างประชาธิปไตยแท้จริง ซึ่งการสร้างค่านิยมประชาธิปไตย หรือการสร้างวัฒนธรรมการเมืองสมัยใหม่
เห็นได้ชัดว่า พี่น้องเสื้อแดงส่วนใหญ่ มาจากระบบชนชั้นกรรมาชีพอันหมายถึง ลูกจ้าง ข้าราชการ นักวิชาการ (ไม่ว่าระดับไหน) ผู้ใช้แรงงาน พ่อค้า แม่ค้า และนี่เองเป็นสิ่งที่จะสามารถเติบโตไปสู่การต่อสู้ทางการเมืองซึ่งมีลักษณะ พลวัตรแห่งการเปลี่ยนผ่าน
จากที่แต่เดิมมักมองชนชั้นกรรมาชีพเป็นเพียง แนวหลัง กองหลัง หรือสีสัน หางเครื่อง แต่เวลาออกยืนสู้ในภาวะสุ่มเสี่ยงถึงชีวิตพวกเขากลับเป็นกองหน้า แถวหน้า เป็นฝ่ายประจันหน้ากับความตาย แต่พอการเมืองเข้าสู่โหมดปกติพวกเขากลับเป็น กองหลังซะงั้น
ดังนั้นการสร้างสภาวะปลดแอกทางชนชั้น น่าจะมาจากชนชั้นที่ตนสังกัด และเป็นชนชั้นที่เข้าใจกฎแห่งการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด ซึ่งนับรวมถึงผลประโยชน์ทางชนชั้น โครงสร้่างพื้นฐานเศรษฐกิจ สังคม การขยายพลังการเปลี่ยนผ่าน
หากชนชั้นกรรมาชีพสามารถยึดอุดมการณ์หลัก ท่ามกลางกระแสแห่งการต่อสู้อันแหลมคมนี้ได้รับชัยชนะในอนาคตย่อมมีอนาคตแก่ สถานะและบทบาทใหม่ของกรรมาชีพทั้งระบบ มิใช่แค่ค่าจ้าง วันละ300 ที่เป็นประเด็นถกเถียงขณะนี้ แต่จะเป็นการสร้างค่านิยม มุมมอง วัฒนธรรมศิลปะ สุนทรียศาสตร์ และนิยามคำว่า "ชาติ" ก็จะมีลักษณะตรงกับแนวคิดชนชั้นกรรมาชีพสมัยใหม่
อันหมายถึงความไม่มี"ชาติ" หรือ การก้าวข้ามความเป็น"ชาติ"เพราะชาติของพวกเขา คือ การปลดปล่อยพี่น้องผู้ถูกกดขี่ทั่วโลก
สูตรที่หก ชนชั้นนายทุนสมัยใหม่เป็นผู้นำการเปลี่ยนผ่าน แต่การใช้ สูตรนี้ได้ การรวมตัวของนายทุนสมัยใหม่ ต้องเกิดขึ้น ไม่ว่าจะนายทุนชาติ นายทุนข้ามชาติ ซึ่งข้อดีคือ สามารถระดมการช่วยเหลือได้ทุกระบบและทุกวิถีทางในท่ามกลางเปลวเพลิงที่โชติ ช่วง สมรภูมิการรบพุ่งจะกดประสาทของศัตรู ให้ยอมเปลี่ยนข้างได้โดยง่าย เพราะการกระจายเม็ดเงินมหาศาลเป็นเครื่องมือปลดอาวุธศัตรูที่ดีได้
ซึ่งการสร้างอุดมการณ์เฉพาะขึ้นมา(มีลักษณะชั่วคราว) ไม่ว่าจะเป็น ชาติไทยใหม่ รัฐไทยใหม่ เป็นวาทกรรมการเมือง ในการรวมตัวรวมมวลชนให้มองไปที่การก่อกำเนิด อิสรภาพใหม่แห่งชุมชนในจินตกรรม
แต่เนื้อหาด้านหลัก ยังคงเป็นประชาธิปไตยในระดับการเจรจา นอกเสียจากว่า ชนชั้นนายทุนจะปลดแอกตนเองทั้งระบบ อย่างที่ เฟรเดอริค เองเกิลส์ อุทิศตนเพื่อการเปลี่ยนแปลงโลก เพื่อสร้างประชาธิปไตยแท้จริงถาวรให้กับเพื่อนร่วมโลก
กล่าวสรุป
ทั้ง6 สูตรที่ผู้เขียนนำเสนอ มีข้อดีและข้อเสียในตัวมันเองและสูตรนี้จะเกิดขึ้นได้นั้นอยู่ที่ปัจจัยหลาย ภาวะหลายเงื่อนไข และอาจจะมีเป็นสิบๆสูตรแห่งการต่อสู้
แต่ท้ายที่สุด สภาะการณ์ชี้นำได้ดีที่สุด คือ ภาวะอุดมกาณ์หลักในการต่อสู้ในขั้นแตกหัก อุดมการณ์ด้านใดเป็นผู้กุมสภาพ อุดมการณ์นั้นจะชี้นำสังคมให้ก้าวนำพัฒนาของมันขึ้นมา แต่จะก้าวข้าม ผ่าน เปลี่ยน ไปอย่างไร?
นับจากนี้อย่ากระพริบตา เพราะการเปลี่ยนแปลงกำลังจะเริ่มขึ้น อีกครั้งและอีกครั้ง......!