ที่มา ไทยรัฐ
ม็อบเสื้อแดงพรึ่บทั้งแผ่นดิน หลังมีกระแสข่าวว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจเตรียมเข้าควบคุมการชุมนุม ที่ทำเนียบรัฐบาล ในตอนเย็นวันที่ 30 มี.ค. ทำให้กลุ่มคนเสื้อแดงรวมตัวกันมากยิ่งขึ้น โดยนอกเหนือจากในกรุงเทพฯแล้ว มวลชนคนหัวใจ “สีแดง” ในต่างจังหวัดกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศ ต่างพากันมารวมตัวแสดงพลังกันอย่างล้นหลาม ที่ศาลากลางจังหวัด ขณะที่ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ได้ออกมาแฉซ้ำสองว่า มีคนต้องการให้ “เก็บ” พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในการกินข้าวที่บ้านสุขุมวิท
เสื้อแดงป่วนเตรียมรับมือ ตร.สลายม็อบ
ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลถึงบรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงในวันที่ 30 มี.ค. ซึ่งเป็นวันที่ 5 ของการชุมนุมว่า บรรยากาศเป็นไปอย่างตึงเครียดตั้งแต่ช่วงเช้า เนื่องจากแกนนำผู้ชุมนุมได้ประกาศบนเวที ระดมพลเป็นการด่วน เนื่องจากมีกระแสข่าวว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ทำให้แกนนำต้องเพิ่มมาตรการเข้มงวดการควบคุมการเข้าออกทำเนียบฯมากเป็นพิเศษ โดยสั่งระดมผู้ชุมนุมไปประจำตามจุดทางเข้าออก และปิดทางเข้าออกทำเนียบรัฐบาลทุกด้าน ให้เข้าออกได้เพียงทางเดียวคือ สะพานอรทัย แต่จะต้องเดินข้ามสะพานไม้ไผ่ชั่วคราวข้ามคลองเปรมประชากร ที่กลุ่มผู้ชุมนุมทำไว้ ขณะเดียวกัน แกนนำได้ประกาศขอระดมน้ำและผ้าขนหนูผืนเล็กให้ผู้ชุมนุม หากเกิดกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้แก๊สน้ำตาสลายการชุมนุม พร้อมกับสอนวิธีป้องกันตัวจากแก๊สน้ำตาแก่ผู้ชุมนุมด้วย นอกจากนี้ แกนนำผู้ชุมนุมยังสั่งปิดถนนราชดำเนิน ตั้งแต่สี่แยกมิสกวัน จนถึงสะพานมัฆวานรังสรรค์ พร้อมกับนำรถแท็กซี่หลายคันไปจอดขวางกลางสะพานไว้ ขณะที่บริเวณทางเข้าทำเนียบฯช่วงสะพานมัฆวานฯ มีการนำรถปราศรัยเคลื่อนที่ไปปิดทางเข้าไว้ด้วย
บช.น.ประกาศเสียงตามสายเตรียมลุย
ในเวลา 08.30 น. กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ได้ประกาศเสียงตามสายในทำเนียบรัฐบาล ไปถึงผู้ชุมนุมรอบทำเนียบรัฐบาลว่า “ให้หยุดการกระทำขัดขวาง การเข้าออกภายในทำเนียบรัฐบาล หากยังไม่ยอมเลิกตำรวจจะเข้าควบคุมฝูงชนตามขั้นตอนจากเบาไปหาหนัก โดยจะเริ่มจากการใช้โล่ แต่ขอยืนยันกับประชาชนว่า ตำรวจไม่ได้พกพาอาวุธปืนแต่อย่างใด และจะทำตามกฎหมายกับผู้จัดการชุมนุม และผู้เข้าร่วมชุมนุมทุกราย หากกระทำการผิดกฎหมาย หวังว่าจะได้รับความร่วมมือจากกลุ่มผู้ชุมนุม เพราะการแก้ปัญหาการเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง แต่ไม่ใช้ความรุนแรง” ทั้งนี้ ในการประกาศเสียงตามสายดังกล่าว มีการเปิดเพลงมาร์ชปลุกใจอยู่เป็นระยะๆ ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมที่ได้ยินเสียงตามสายดังกล่าวไม่พอใจ พากันโห่ร้อง ส่วนข้าราชการ เจ้าหน้าที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อได้ฟังประกาศเสียงตามสายว่า อาจจะมีการสลายการชุมนุม ต่างก็รีบเซ็นชื่อและรีบเดินทางออกจากทำเนียบรัฐบาลทันที เพื่อความปลอดภัย จนกระทั่งเวลา 09.45 น. กลุ่มผู้ชุมนุมจึงไปยืนขวางตามประตูเข้าออก ห้ามข้าราชการเข้ามาทำงานในทำเนียบฯ โดยให้สื่อมวลชน เข้าออกได้อย่างเดียวเท่านั้น ขณะที่แกนนำก็รีบประกาศบนเวทีอีกครั้ง เรียกระดมผู้ชุมนุมให้มารวมตัวกันด้านหน้าเวที และที่บริเวณประตูทางเข้าออกต่างๆภายในทำเนียบรัฐบาล โดยให้รวมตัวกันให้ได้ประตูละ 100-300 คน ส่วนคนเสื้อแดงที่อยู่ต่างจังหวัดขอให้ไปรวมตัวกันที่ศาลากลางจังหวัด
ขรก.ทำเนียบตื่นสลายม็อบเผ่นกระเจิง
นายจตุรงค์ ปัญญาดิลก รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีกลุ่มเสื้อแดงไม่อนุญาตให้ข้าราชการ เข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในทำเนียบรัฐบาลว่า ได้รายงานสถานการณ์ให้นายนที เปรมรัศมี ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทราบแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างรอเจรจาให้ข้าราชการที่เข้าไปปฏิบัติหน้าที่ราชการก่อนเวลา 08.00 น. ที่ยังติดอยู่ในทำเนียบฯร่วม 50 คน จึงเป็นห่วงเจ้าหน้าที่ดังกล่าว และจะรอดูสถานการณ์ต่อไปว่า กลุ่มเสื้อแดงจะอนุญาตให้ข้าราชการกลุ่มดังกล่าวออกมาหรือไม่ อย่างไรก็ตามสำนักปลัดฯมีการเตรียมสถานที่ทำงานไว้เรียบร้อยแล้วคือ ที่กรมประชาสัมพันธ์ ขณะนี้ได้กำชับข้าราชการ หากใครไม่มีงานเร่งด่วนก็อนุญาตให้กลับบ้านได้ ส่วนคนที่มีงานเร่ง ก็จะย้ายไปทำงานที่กรมประชาสัมพันธ์ ทั้งนี้ ประเมินว่าการปิดประตูทางเข้า-ออกทุกด้านของกลุ่มเสื้อแดง ถือว่าเป็นการยกระดับการต่อสู้ที่เข้มข้นขึ้น เป็นการตัดช่องทางการส่งเสบียงอาหารให้ตำรวจและทหารที่อยู่ภายในทำเนียบฯ
ระดมพลเสื้อแดงหวั่นถูกสลาย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดทั้งวันกลุ่มผู้ชุมนุม ที่อยู่บริเวณประตูทางเข้าออกทำเนียบฯ พยายามขัดขวางไม่ให้ส่งเสบียงอาหารและน้ำดื่มจากภายนอกเข้าไปให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทหารที่ประจำการอยู่ในทำเนียบรัฐบาลได้ แม้แต่เสบียงอาหารของสื่อมวลชน ก็ถูกกลุ่มเสื้อแดงขัดขวางไม่ให้นำเข้าไปเช่นกัน เพราะเกรงว่าจะสวมรอยนำไปให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทหาร จนต้องอธิบายว่าเป็นอาหารของสื่อมวลชน กลุ่มผู้ชุมนุมจึงยินยอมให้นำเข้าไปได้ ขณะเดียวกัน ที่บริเวณด้านข้างกระทรวงศึกษาธิการ ฝั˜งคลองผดุงกรุงเกษม ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายร้อยนายตั้งแถวคอยดูแลความเรียบร้อย เนื่องจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เดินทางมาที่สำนักงานองค์การสหประชาชาติ เกรงว่ากลุ่มคนเสื้อแดงจะบุกเข้าปิดกั้นไม่ให้นายกรัฐมนตรีเข้าไปในสำนักงานองค์การสหประชาชาติได้ เมื่อกลุ่มคนเสื้อแดงเห็นเข้าจึงวิ่งกรูกันไปพร้อมกับร้องตะโกนขับไล่ ขณะที่บริเวณเวทีด้านประตู 6 แกนนำ นปช.ได้ขึ้นกล่าวบนเวทีรถบรรทุกขอร้องให้คนเสื้อแดง ที่อยู่บริเวณหน้าทำเนียบให้มารวมตัวกันข้างกระทรวงศึกษาฯ เนื่องจากเกรงว่าจะมีการสลายการชุมนุม ทำให้มีกลุ่มคนเสื้อแดงเดินทางมาร่วมชุมนุมกันหนาตากว่าทุกวัน
ม็อบรุมสกรัมเสื้อเหลืองบุกเสื้อแดง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สั่งระดมพลเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 กองร้อยไปรวมตัวกันที่บริเวณด้านข้างสำนักงานอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อเฝ้าระวังความปลอดภัย เนื่องจากนายกรัฐมนตรีกำลังปฏิบัติภารกิจอยู่ที่สำนักงานสหประชาชาติ ในช่วงเวลาดังกล่าว ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมระดมกำลังจำนวนมาก มาตั้งแถวเผชิญหน้ากับตำรวจ เนื่องจากเกรงว่าจะใช้เส้นทางดังกล่าวเข้ามาสลายการชุมนุม ต่อมาเวลา 09.40 น. ได้มี น.ส.เบญจวรรณ บุตรวงศ์ อายุ 47 ปี ได้ใส่เสื้อเหลือง เดินทางมาที่ทำเนียบรัฐบาล ทางสะพานอรทัย ทำให้ถูกกลุ่มเสื้อแดงกรูเข้าทำร้าย ทั้งตบ ทั้งถีบ จนเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องรีบมาระงับเหตุ แยกตัว น.ส.เบญจวรรณออกไป น.ส.เบญจวรรณกล่าวว่า เป็นชาวอุดรธานี เคยเป็นพนักงานนวดแผนโบราณ แต่ตกงาน ทราบว่ามีเพื่อนชาวอุดรธานี มาร่วมชุมนุมที่ทำเนียบฯ จึงอยากมาทักทาย ไม่คิดว่าจะถูกกลุ่มเสื้อแดงเข้ามาทำร้ายร่างกาย การใส่เสื้อเหลืองไม่เจตนาอะไรพิเศษ แต่เห็นว่าเป็นคนไทยด้วยกัน ต้องใส่เสื้อได้ทุกสี ไม่คิดว่าจะมีอันตรายเกิดขึ้น หลังจากนี้จะไปแจ้งความที่ สน.นางเลิ้ง เอาผิดกับคนที่ทำร้ายตน เพราะถูกรุมตบ ถีบ กระชาก จนมีรอยฟกช้ำที่ต้นแขนซ้าย
เตือน “เนวิน” ใช้วิชามารระวังเจอดี
ส่วนบนเวทีปราศรัยสะพานชมัยมรุเชษฐ นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มเสื้อแดง กล่าวบนเวทีว่า ขณะนี้ นายเนวิน ชิดชอบ ได้ส่งคนเข้ามาปะปนกับผู้ชุมนุม เพื่อต้องการใส่ร้ายผู้ชุมนุมด้วยการนำไข่ไก่มาขว้างปา แล้วโยนความผิดให้คนเสื้อแดง หากนายเนวินยังไม่เลิกพฤติกรรมเช่นนี้ คนเสื้อแดงจะไปจัดการกับนายเนวินที่พรรคภูมิใจไทย เหตุการณ์บ้านเมืองที่เป็นอย่างนี้ขึ้นอยู่กับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ รวมทั้งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ถ้ารัฐบาลตัดสินใจสลายการชุมนุม บ้านเมืองก็จะลุกเป็นไฟ หากไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์อย่างนั้นก็ควรยุบสภาเสีย
รวมพลเสื้อแดง ตจว.ปิดล้อมศาลากลาง
ต่อมานายจตุพรกล่าวด้านหลังเวทีว่า การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในวันนี้ต้องเข้มข้นขึ้น เพราะมีการปลุกกำลังตำรวจและทหารเข้ามาภายในทำเนียบรัฐบาล เพื่อมาสลายการชุมนุม ดังนั้นถือเป็นสิทธิ์ของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ต้องออกมาปกป้องสิทธิของตนเอง โดยขอให้คนเสื้อแดงในจังหวัดต่างๆ เข้าไปยึดพื้นที่บริเวณศาลากลางจังหวัด ให้รอคำสั่งจากแกนนำที่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งอาจขอความร่วมมือให้เข้ามาสมทบกับผู้ชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล และในเวลา 20.30 น. วันที่ 30 มี.ค. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ จะโฟนอินผ่านระบบวีดิโอลิงค์ ส่วนตัวยืนยันว่ากลุ่มคนเสื้อแดงไม่รู้สึกกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เราพร้อมต่อสู้ด้วยมือเปล่า
อัด ผบช.น.คนใหม่อย่าอวดดี
นายจตุพรกล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่ พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น. ออกมาระบุว่า หากการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงผิดกฎหมายและกระทำการรุนแรง ตำรวจอาจต้องดำเนินการกับผู้ชุมนุมนั้น ที่ผ่านมา รู้สึกเห็นใจ พล.ต.ท. สุชาติ เหมือนแก้ว อดีต ผบช.น. ในเหตุการณ์สลายการชุมนุม 7 ต.ค. 51 แต่ในวันนี้เมื่อ ผบช.น.คนใหม่กำลังอวดดี เพื่อแสดงให้ระบอบอมาตยาธิปไตยให้เห็น กลุ่มคนเสื้อแดงยืนยันจะต่อสู้หากเจ้าหน้าที่ใช้กำลัง พวกเราก็จะได้รับชัยชนะทันที คิดว่าตำรวจทำเช่นนี้เพื่อหวังจะเอาหน้า อย่างกรณีนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ออกมาเคลื่อนไหวปิดทำเนียบฯและล้อมสนามบิน กลับไม่มีการดำเนินการ อีกทั้งนายอภิสิทธิ์ยังแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรี ถือเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง
ให้อภิสิทธิ์จำไว้เป็นบทเรียน
ผู้สื่อข่าวถามว่า การประชุมคณะรัฐมนตรีจะมีขึ้นในวันที่ 31 มี.ค.นี้ จะมีการเปิดเส้นทางให้ ครม.เข้ามาในทำเนียบรัฐบาลหรือไม่ นายจตุพรกล่าวว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงในครั้งนี้ต้องการให้นายอภิสิทธิ์และรัฐบาลได้จดจำที่นายกษิตและกลุ่มพันธมิตรฯ เคยปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล สมัยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี ที่ผ่านมานายอภิสิทธิ์ไม่เคยรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เสธ.แดงโผล่ให้กำลังใจ
ต่อมาเวลา 12.00 น. พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก เดินทางมายังพื้นที่การชุมนุมของคนเสื้อแดง และกล่าวว่า ที่มาเพราะต้องการให้เห็นว่าตนยังอยู่กับคนเสื้อแดง วันนี้ทราบว่ามีการสั่งการจากคนในรัฐบาลว่าจะมีการสลายการชุมนุม ทำให้เกิดความสับสน ที่พูดเช่นนี้อาจจะทำให้เกิดการนองเลือดเหมือนเหตุการณ์ เดือนพฤษภาทมิฬ พ.ต.ท.ทักษิณพูดผ่านวีดิโอลิงค์ว่า ถือเป็นการหงายไพ่เล่น ที่อาจจะให้เกิดความแตกแยกในสังคม ตนขออาสาทำหน้าที่เป็นผู้ประสานระหว่างกลุ่มเสื้อแดงกับตำรวจ เพื่อไม่ให้เกิดความรุนแรง ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่มาร่วมชุมนุมครั้งนี้ไม่กลัวถูกสอบสวนทางวินัยหรือ พล.ต.ขัตติยะกล่าวว่า ไม่กลัว เราสามารถแสดงความคิดเห็นทางประชาธิปไตยได้ อีกทั้งไม่ได้ดำรงตำแหน่งเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 แต่หากเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 คงไม่มา
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า นอกจากแกนนำเสื้อแดงขึ้นเวทีกล่าวปราศรัยแล้ว ยังมี พล.ต.ท.ชัชจ์ กุลดิลก อดีตที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี สมัย พ.ต.ท.ทักษิณและนายสมัคร ได้ขึ้นเวทีกล่าวปราศรัยระบุว่า การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงไม่มีความผิด ดังนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจะนำกำลังมาสลายไม่ได้อย่างเด็ดขาด
มือมืดบริจาคน้ำกรดแช่เย็น
เวลา 12.55 น. การ์ดกลุ่มคนเสื้อแดงได้นำน้ำดื่มที่อ้างว่า มีผู้บริจาคให้กับผู้ชุมนุมกว่า 10 ขวด โดยน้ำดื่มถูกบรรจุอยู่ในขวดพลาสติกใส โดยที่ฝาได้ถูกเปิดออกก่อนหน้านี้การ์ดได้นำมาตรวจสอบปรากฏว่า น้ำในขวดดังกล่าวมีน้ำกรดผสมอยู่ เมื่อเทลงพื้นถนนมีฟองฟูขึ้นมาและมีควันลอยขึ้นมา จากนั้นนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. ได้ขึ้นเวทีประกาศให้ผู้ชุมนุมได้ระมัดระวัง อย่าดื่มน้ำจากขวดที่เปิดแล้ว พร้อมกับกำชับให้ช่วยกันสอดส่อง ดูแล เพราะเกรงว่ามีกลุ่มผู้ไม่หวังดีเข้ามาแทรกแซงการชุมนุมแล้ว พร้อมเผยว่าในช่วงเช้ามีข่าวว่าจะมีการสลายการชุมนุม ทำให้ต้องมีการเตรียมพร้อมรับมือ จึงทำให้การสั่งอาหารและน้ำดื่มเกิดขาดแคลนชั่วขณะ และได้ประกาศรับบริจาค ปรากฏว่ามีผู้นำน้ำดื่มในสภาพที่ฝาขวดถูกเปิดออกไปแล้วมาบริจาคให้ที่บริเวณนางเลิ้ง เดชะบุญที่การ์ดเข้าไปตรวจพบว่าเป็นน้ำผสมน้ำกรดปนอยู่ ก่อนที่จะนำไปแจกให้ผู้ชุมนุมดื่มกิน ใครก็ตามที่เป็นผู้กระทำตนขอประณามจิตใจทำด้วยอะไรถึงได้อำมหิตเช่นนี้ และยังได้กำชับให้การ์ดคอยตรวจสอบสิ่งของบริจาคอย่างละเอียดเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก
บช.น.กลับลำไม่สลายม็อบอ้างเข้าใจผิด
ในเวลา 13.30 น. พล.ต.ต.สุพร พันธุ์เสือ โฆษก บช.น. กล่าวถึงประกาศของ บช.น.เรื่องการสลายการชุมนุมว่า เมื่อช่วงเช้า บช.น.ไปนำประกาศแจ้งให้ผู้ชุมนุม เพียงต้องการแจ้งให้ผู้ชุมนุมทราบถึงขอบเขตของการชุมนุมและขอให้เปิดทางเข้าออกทำเนียบฯ ไม่มีเจตนาเข้าไปสลายการชุมนุมจนทำให้เกิดความเข้าใจผิด โดยในวันที่31 มี.ค. คณะรัฐมนตรีจะเข้ามาประชุมที่ทำเนียบ รัฐบาลจะเป็นผู้พิจารณาว่าจะเข้ามาประชุมหรือไม่ หากสถานการณ์รุนแรงเชื่อว่าจะไม่เข้ามาประชุม ผู้สื่อข่าวถามว่ากลุ่มเสื้อแดงจะชุมนุมนานกี่วันโฆษก บช.น.ตอบว่า ในทางการข่าวแกนนำยังไม่กำหนดระยะเวลา อาจยืดเยื้อต่อไป ถามว่าตำรวจนอกเครื่องแบบที่พกปืนเข้าไปในกลุ่มผู้ชุมนุมจะดำเนินการอย่างไร โฆษก บช.น.ตอบว่ากำชับให้ ผบ.หมู่ที่เข้าเวรตรวจความเรียบร้อยของตำรวจที่ทำงาน ห้ามพกอาวุธหากยังไม่ทำตามก็จะถูกลงโทษทางวินัย
5 แกนนำพันธมิตรออกโรงชนเสื้อแดง
ขณะเดียวกันที่บ้านพระอาทิตย์ เวลา 14.30 น. พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรฯทั้ง 5 ร่วมกันแถลงถึงกลุ่มคนเสื้อแดง โดยมีนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรฯได้อ่านแถลงการณ์ที่กลุ่มพันธมิตรฯออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการจัดการ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เกี่ยวกับโฟนอินพาดพิง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ โดยให้รัฐบาลหยุดยั้งการถ่ายทอดของ พ.ต.ท.ทักษิณโดยทันที เพราะถ้ายังปล่อยให้มีการปลุกระดมต่อไป จะเป็นการทำลายความมั่นคงของชาติ
เตือนอย่าทำวางเฉยทักษิณโฟนอิน
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าการชุมนุมของพันธมิตรฯเป็นต้นแบบการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง พันธมิตรฯมีความคิดเห็นอย่างไร นายสนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวว่า เจตนารมณ์นั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง การชุมนุมของพันธมิตรฯเป็นการขับไล่นายสมัคร สุนทรเวชและนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่บริหารงานไม่โปร่งใส และทำทุกอย่างเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณให้พ้นผิด แต่เจตนารมณ์ของเสื้อแดงได้ต่อเนื่องมาจากกลุ่ม นปก.ที่เคยเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านทหาร และต้องการเอาทรัพย์สมบัติคืนให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ แม้แต่การชุมนุมของเสื้อแดงในวันนี้ก็มีตำรวจทั้งหมดเป็นฝ่ายเสื้อแดง การที่ออกมาครั้งนี้เป็นเพราะสถานการณ์น่าเป็นห่วงบ้านเมือง จึงออกมาเตือนรัฐบาลและทหาร หากไม่ดำเนินการผู้ที่จาบจ้วงสถาบัน จะทำให้เกิดความแตกแยกในประเทศ เป็นหน้าที่โดยตรงของรัฐบาลที่ต้องทำการหยุดยั้งการปราศรัยที่หมิ่นสถาบัน ไม่ควรวางเฉยอีกต่อไป ฝากถามไปถึงรัฐบาลอีกว่า การโฟนอินหรือการวีดิโอลิงค์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำไมจึงปล่อยให้เกิดขึ้นได้ โดยที่ไม่มีการดำเนินการแต่อย่างใด
เย้ยพัลลภเป็นทหารแก่ที่ตายแล้ว
ต่อข้อถามว่า กรณีที่ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีต รองผู้อำนวยการ กอ.รมน. ที่ออกมาแฉบทบาทขององคมนตรี ซึ่งแต่ก่อนเป็นเพื่อนสนิทของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง จนจะได้เป็นแกนนำรุ่น 2 พล.ต.จำลองกล่าวว่า ตนไม่ขอพูดเรื่องเพื่อนคนนี้ เพราะพูดไปก็เท่ากับหยิกเล็บเจ็บเนื้อแต่นายสนธิขอเป็นผู้ตอบคำถามแทนว่า เพราะ พล.ต.จำลองเป็นสุภาพบุรุษ พล.อ.พัลลภชอบพูดว่าทหารแก่ไม่เคยตาย แต่ตอนนี้ พล.อ.พัลลภเป็นเพียงทหารแก่ที่ตายไปเรียบร้อยแล้ว การที่ พล.อ.พัลลภออกมาแฉการพูดคุยระหว่าง พล.อ.สุรยุทธ์ กับนายปีย์ มาลากุล ไม่มีใครรู้ ว่าจริงหรือไม่จริงอย่างไร แต่การที่ พล.อ.พัลลภเดินทางไปประเทศจีน เพื่อไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ แล้วก็กลับมาจะได้เป็นรองนายกฯนั้น ตนคิดว่าเป็นเรื่องจริง
จำลองขู่รัฐบาลถ้าไม่ป้องสถาบัน
ผู้สื่อข่าวถามต่ออีกว่า การที่เรียกร้องให้ทหารและรัฐบาลออกมาดำเนินตามมาตรา 77 ให้ทำอย่างไร พล.ต.จำลองกล่าวว่า ทั้งทหารและรัฐบาลรู้ดีว่ามีหน้าที่อย่างไร ในการปกป้องสถาบัน และกำจัดผู้ที่จะล้มล้างสถาบันและทำลายความมั่นคงของชาติ ควรที่จะเร่งดำเนินการ พันธมิตรฯจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และมีการประเมินสถานการณ์เป็นระยะๆว่ารัฐบาลได้ดำเนินการตามที่พันธมิตรฯเรียกร้องหรือไม่ โดยเฉพาะพันธมิตรฯจะไม่ปล่อยให้มีการทำลายสถาบันอยู่ต่อไป ตอนนี้ ยังไม่ถึงเวลาที่จะออกมาชุมนุม แต่ถ้ารัฐบาลยังเพิกเฉย ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่จะต้องมาประเมินกันอีกครั้งหนึ่งว่าต้องทำอย่างไรอีกครั้ง
ไม่ได้โวยเพราะผิดหวังตำแหน่ง
ในส่วนกรณีที่ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้ อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ. รมน.) ออกมาเปิดโปงว่า พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตนายกฯ กับบุคคลสำคัญหลายคน ได้ประชุมวางแผนโค่นรัฐบาลทักษิณกันที่บ้านของนายปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา ในซอยสุขุมวิท กระทั่งนายปีย์ออกมาตอบโต้ว่า พล.อ. พัลลภออกมาเปิดเผยข้อเท็จจริง เพราะไม่ได้รับตำแหน่งใดๆนั้น
วันเดียวกัน พล.อ.พัลลภให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ ว่า การที่นายปีย์ระบุว่าตนออกมาโวยวายเพราะไม่ได้ รับตำแหน่ง ขอยืนยันว่าตนเป็นคนที่รักษาสัจจะ เมื่อตกลงกันว่าการทำครั้งนี้ทุกคนต้องไม่หวังตำแหน่งและลาภยศใดๆ ตนก็ถือตามนี้ สำหรับเรื่องนี้ผ่านมาเกือบ 3 ปีแล้ว ถ้าตนต้องการตำแหน่งก็ออกมาโวยวายในช่วงนั้นแล้วจะปล่อยให้เนิ่นนานมาถึง 3 ปี ได้อย่างไร มาพูดตอนนี้จะมีประโยชน์อะไร
“ผมเป็นชายชาติทหาร ผมรักษาสัจจะรักษาคำพูดเสมอ ว่าถ้าใครไม่พูดพาดพิงถึงผม ผมจะหลีกเลี่ยงในการพูดถึงบุคคลอื่น เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าผมจะไม่เคยพูดถึงชื่อนายปีย์ มาลากุล เจ้าของบ้านแม้แต่คำเดียว” พล.อ.พัลลภกล่าว
แฉมีคนต้องการให้ “เก็บ” ทักษิณ
พล.อ.พัลลภกล่าวว่า ครั้งหนึ่งก่อนการประชุมหารือกันที่บ้านสุขุมวิท ซึ่งมีตนกับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลา-นนท์ และนายปีย์ มาลากุล นั่งอยู่ที่โต๊ะรับแขกภายในบ้าน ปรากฏว่านายปีย์ได้ถามว่า ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หายไปได้ไหม ตนเลยตอบไปว่า เป็นการยากทำไม่ได้ เพราะท่านมี รปภ.จำนวนมาก คงจะต้องยิงกันเละจนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก แต่ สามารถทำให้ตายได้ ทุกคนก็เงียบไม่พูดอะไร ขณะนั้น พล.อ.สุรยุทธ์นิ่งเงียบไม่พูดอะไร เพียงแต่นั่งเฉยๆ ไม่ได้ ออกความเห็นอะไร
“ผมคิดว่าเราสามารถโกหกคนได้ทั้งโลก แต่ไม่ สามารถโกหกตัวเองได้ คุณปีย์คงรู้ในใจตัวเองดี ผมยังมีเรื่องที่จะพูดอีกมากถึงคนชื่อปีย์ มาลากุล ที่ยังไม่อยากนำมาเปิดเผยในขณะนี้” พล.อ.พัลลภกล่าว
ยันเรื่องที่พูดเป็นความจริงทั้งหมด
เมื่อถามว่า ขณะนี้ต่างฝ่ายต่างปฏิเสธ แต่มีการหารือในการล้ม พ.ต.ท.ทักษิณจริงใช่หรือไม่ พล.อ.พัลลภกล่าวว่า เป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น ตนจะมาพูดเล่นๆได้อย่างไร เพราะมีการกินข้าวหารือกันถึง 7 คน มีการพูดกันว่า จะต้องเล่น พ.ต.ท.ทักษิณทางกฎหมาย โดยมีนักกฎหมายเข้ามาร่วมประชุมด้วยในเรื่องของ กกต. เมื่อ กกต.ล้มการเลือกตั้งไม่สำเร็จ ก็มีการพูดถึงการรัฐประหาร มิเช่นนั้น พล.อ.สุรยุทธ์จะมาพูดได้อย่างไรว่า การทำครั้งนี้เราทำเพื่อประเทศชาติและสถาบัน คนที่มีตำแหน่งเป็นองคมนตรี จะไปทำอย่างนั้นได้อย่างไร เพราะตัวเองมีตำแหน่งองคมนตรี โดยเฉพาะไปล็อบบี้ให้ กกต.ลาออก
เมื่อถามว่า พล.อ.สุรยุทธ์ออกมาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาที่ พ.ต.ท.ทักษิณออกมาโฟนอินเปิดเผยข้อเท็จจริง พล.อ.พัลลภกล่าวว่า เป็นเรื่องปกติธรรมดา เรื่องแบบนี้ ถ้าเขาออกมารับว่าจริง เขาคงต้องไปโรงพยาบาลประสาท เพราะฉะนั้นเขารับไม่ได้ ต้องปฏิเสธ แต่การปฏิเสธของ พล.อ.สุรยุทธ์ มันขัดกันโดยตลอดจากการประมวลข่าวอะไรต่างๆ ทุกคนรู้ดีว่าเป็นข้อเท็จจริง ดังนั้น คนที่มีความคิดทุกคนสามารถคิดได้ เรื่องแบบนี้ถ้าเขารับเขาต้องเป็นโรคประสาท ต้องไปโรงพยาบาลประสาท
เตรียมแฉซ้ำรอบสองเจ้าของบ้านสุขุมวิท
เมื่อถามว่า พล.อ.สุรยุทธ์อ้างว่าที่ไปคุยหารือกันเพื่อหาข้อมูลไปถวายงานในหลวงในฐานะองคมนตรี พล.อ.พัลลภกล่าวว่า ใช่ เขาก็ต้องออกมาพูดในรูปนั้น การที่นายปีย์บอกว่ามีการประชุมครั้งเดียวก็ไม่จริง จริงๆแล้วประชุมกัน 4 ครั้ง และกินข้าวร่วมกันทุกครั้ง พล.อ.สุรยุทธ์จะมาถึงก่อนเสมอมานั่งรอ จากนั้นก็มานั่งคุยกันที่โต๊ะกินข้าว ในลักษณะกินข้าวไปคุยกันไป ตอนแรกเห็นปฏิเสธว่าไม่ได้ประชุม ก็ใช่ เป็นการพูดกันไปกินกันไป เพราะการประชุมต้องมีวาระประชุม
“วันนี้ผมพยายามไม่พูดถึงใคร แต่ พล.อ.สุรยุทธ์ มาพูดพาดพิงถึงผมก่อน วันนี้คุณปีย์มาพูดถึงผม ทำให้ผมเสียหายจึงต้องพูดบ้างว่า คุณปีย์คิดอย่างไรกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังมีเรื่องอีกเยอะเกี่ยวกับตัวคุณปีย์ ที่ผมจะนำมาเปิดเผย ทุกอย่างที่เขาทำนั้นเป็นลักษณะเจ้ากี้เจ้าการ เชิญคนนั้นคนนี้ไปกินข้าว พล.อ.สุรยุทธ์พูดถูกว่าไม่ได้เชิญตนไปกินข้าว แต่คุณปีย์เป็นคนเชิญในฐานะเจ้าของบ้าน แม้แต่ พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ คุณปีย์ก็เป็นคนเชิญมา” พล.อ.พัลลภกล่าว
“ป๋าเปรม” ปัดอยู่เบื้องหลังยึดอำนาจ
วันเดียวกัน เวลาประมาณ 15.00 น. ที่บ้านพักสี่เสาเทเวศร์ ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ คณะอาจารย์ และคณะศิษย์เก่าวชิราวุธวิทยาลัย และนักเรียนเก่า จ.สงขลา ประมาณ 30 คน เดินทางเข้าพบ พล.อ.เปรม เพื่อให้กำลังใจภายหลังจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ กล่าวพาดพิงโจมตีว่าอยู่เบื้องหลังการทำปฏิวัติรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 โดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที นายทหารคนสนิทของ พล.อ.เปรม กล่าวเปิดเผยว่า พล.อ.เปรม ได้กล่าวยืนยันกับคณะอาจารย์และคณะนักเรียนศิษย์เก่าวชิราวุธ และนักเรียนเก่า จ.สงขลา ว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำปฏิวัติรัฐประหารตามที่ พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวโจมตี รวมถึงข้อกล่าวหาอีก 2-3 ข้อ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวอ้างก็ไม่เป็นความจริงเช่นกัน และไม่ได้เป็นผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ ที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณพยายามโจมตีกล่าวหาว่าเป็นผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ แต่ท่านไม่ได้เป็นอย่างที่ถูกกล่าวหา
คนสนิทแจงยิบไม่ได้เป็นอริ “ทักษิณ”
“ผมไม่คิดฟ้องร้อง พ.ต.ท.ทักษิณ การที่ พ.ต.ท. ทักษิณออกมาพูด ก็เหมือนพูดข้างเดียว การที่จะกล่าวหาใครจะต้องมีเหตุมีผล ไม่ใช่จะมากล่าวหาตามความเชื่อ ที่ผ่านมาผมก็พยายามทำหน้าที่ของผมตามที่กฎหมายรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำปฏิวัติรัฐประหารแต่อย่างไร ผมไม่เคยเป็นศัตรูกับใครและไม่เคยคิดที่จะเป็นศัตรูด้วย แต่มีคนมองว่าผมเป็นศัตรูกับคุณทักษิณ ทั้งที่เราก็ต่างทำหน้าที่ของตัวเอง คุณทักษิณก็ทำหน้าที่ของคุณทักษิณไป ผมก็ทำหน้าที่ของผม แต่คุณทักษิณว่า ผมเป็นศัตรูกับเขา ทั้งๆที่ผมไม่ได้เป็นศัตรูกับคุณทักษิณเลย ตอนนี้สถานการณ์บ้านเมืองน่าเป็นห่วง ไม่อยากให้มีการทะเลาะกัน ถ้ามัวทะเลาะกันบ้านเมืองจะไม่ไปไหน ผมว่าตอนนี้ทุกคนคงคิดเหมือนกันหมดที่เป็นห่วงบ้านเมือง ผมอยากให้บ้านเมืองเกิดความสงบสุข ทั้งนี้ผมเห็นว่าอาจจะมีคนส่วนน้อยเท่านั้นที่มีความคิดไม่เหมือนกับคนส่วนใหญ่ แต่คนส่วนใหญ่ก็อยากให้เกิดความสามัคคีของคนในชาติ ถ้าบ้านเมืองเกิดความสามัคคี รัฐบาลก็จะได้พัฒนาเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤติของประเทศ แม้ศักยภาพของรัฐบาลอาจจะยังไม่สมบูรณ์แบบในการ บริหารประเทศ แต่ต้องให้โอกาส และสื่อมวลชนจะต้องช่วยกันและเห็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ” นายทหารคนสนิทระบุคำพูดของ พล.อ.เปรม
“ป๋าเปรม” ไม่วิตกเรื่องถูกพาดพิง
ขณะที่ พล.อ.พงษ์เทพ เทศประทีป อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ กล่าวพาดพิง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ อยู่เบื้องหลังการทำปฏิวัติรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 ว่า พล.อ.เปรมไม่ได้ เข้าไปเกี่ยวข้อง แต่หากนำไปขยายจะไม่จบ ตอนนี้ต้องให้สังคมเป็นผู้ตัดสิน ไม่อยากออกความเห็นอะไร ไม่เข้าใจว่าทำไมยุคนี้ถึงได้นำสถาบันองคมนตรีมาโจมตี อย่างไร ก็ตาม ต้องให้เวลาและความจริงเป็นเครื่องตัดสิน คงไปห้ามไม่ให้ใครพูดไม่ได้
“ที่ผ่านมาคนไทยไม่เคยเป็นแบบนี้ ไม่เคยมีสภาพเป็นแบบนี้ ไม่เคยดึงองคมนตรีมาโจมตีทางการเมือง ผมเห็นว่าคนที่ไม่พอใจอะไร แล้วมาพูดประกาศหาว่าตัวเอง ถูกไปหมด เรื่องนี้ต้องให้สังคมตัดสินใจ แต่ถ้าหากสถานการณ์บ้านเมืองเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ บ้านเมืองก็จะเกิดความยุ่งยากไม่มีวันจบ” พล.อ.พงษ์เทพกล่าว
เป็นห่วงบ้านเมืองและประชาชนมากกว่า
นายทหารคนสนิทของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ยืนยันว่า พล.อ.เปรมจะไม่มีการฟ้องร้องหรือดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณที่กล่าวหาว่า พล.อ.เปรมอยู่เบื้องหลังในการทำปฏิวัติรัฐประหาร เพราะฟ้องไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะคดีที่ พ.ต.ท. ทักษิณถูกศาลพิจารณายังไม่ได้เดินทางมารับโทษ หากฟ้องร้องคดีก็จะไปคาราคาซังอยู่ที่ศาลอีก อย่างไรก็ตาม พล.อ.เปรมไม่ได้ให้ความสำคัญกับโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณยิ่งพูดเท่าไหร่ก็เข้าตัวมากเท่านั้น
“พล.อ.เปรมโดนมาหนักกว่านี้มาก ตอนนี้ท่านไม่ได้วิตกกับการถูกโจมตี แต่ท่านเป็นห่วงสถานการณ์ บ้านเมืองและประชาชนมากกว่า เพราะหวั่นว่าจะเกิดความขัดแย้งมากขึ้น ดังนั้นอยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณทบทวนการกระทำ เพราะยิ่งโฟนอินโจมตีคนนั้นคนนี้ จะยิ่งเป็นการทำลายชาติบ้านเมือง ส่วนการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท. ทักษิณครั้งนี้ น่าจะมีเงื่อนงำเพื่อต้องการหวังคืนอำนาจของตัวเอง เพราะตั้งแต่ พ.ต.ท.ทักษิณมาดำรงแหน่งนายกรัฐมนตรี 5-6 ปี ได้สะสมบารมีไว้มาก แต่เมื่อวันหนึ่งอำนาจที่มีอยู่ถูกลบก็คงรับไม่ได้ ตอนนี้จึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อต้องการอำนาจคืนเท่านั้น” นายทหารคนสนิท พล.อ.เปรม ระบุ
“จาตุรนต์” แฉข้อมูลจับโกหก “ปีย์”
อีกด้านตอนเย็น วันเดียวกัน ที่โรงแรมรอยัลปริ๊นเซส นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย แถลงถึงการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ทำเนียบรัฐบาลว่า มีแนวโน้มที่จะบานปลายกลายเป็นวิกฤติที่เข้มข้นยิ่งขึ้น เพราะเหตุผล 2 ข้อ คือ 1. การเป็นรัฐบาลที่สืบต่ออำนาจจาก คมช. 2. มีการเปิดเผยข้อมูลอย่างชัดเจนเกี่ยวกับการจัดการ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และการวางแผนทำรัฐประหาร เมื่อ 2 สาเหตุมารวมกันจึงส่งผลให้การชุมนุมใน กทม.และต่างจังหวัดมีพลังมากขึ้น ในขณะที่ฝ่ายถูกกล่าวหาว่าทำการรัฐประหาร ไม่สามารถชี้แจงเหตุผลได้ โดยเฉพาะกรณีที่นายปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา ที่เชิญ พล.อ.พัลลภ ปิ˜นมณี อดีตรอง ผอ.กอ.รมน. และนายปราโมทย์ นาครทรรพ มาหารือที่บ้านสุขุมวิท เมื่อวันที่ 6 พ.ค. 2549 โดยอ้างว่า พล.อ.พัลลภมีข้อมูลเรื่องคาร์บอมบ์และนายปราโมทย์มีข้อมูลเรื่องปฏิญญาฟินแลนด์ แต่ความจริงปรากฏว่าเหตุการณ์ทั้งสองเรื่องล้วนเกิดขึ้นภายหลังจากวันที่ 6 พ.ค.2549 หรือกรณีนายปีย์ถาม พล.อ.พัลลภว่าจะทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณหายไปได้หรือไม่ แต่ พล.อ. สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ที่นั่งอยู่ด้วยกลับเงียบ ไม่ห้ามปราม เข้าข่ายเหมือนไปจ้างวานฆ่าคน เพราะรู้ข้อมูลแต่ไม่ห้าม
บี้ “สุรยุทธ์” ไขก๊อกเก้าอี้องคมนตรี
นายจาตุรนต์กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สร้างความเสื่อมเสียให้คนสองกลุ่มได้แก่ 1. ประธานศาลต่างๆ 2. พล.อ.สุรยุทธ์ ซึ่งสิ่งที่ พล.อ.สุรยุทธ์ควรทำคือ การแจ้งความ หรือฟ้องร้องดำเนินคดี พล.อ.พัลลภและนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ หากเห็นว่าข้อมูลที่ทั้งสองคนพูดไม่เป็นความจริง หาก พล.อ.สุรยุทธ์ไม่แจ้งความ หรือฟ้องร้องแล้วแพ้คดี ควรลาออกจากองคมนตรี เพื่อรักษาสถาบันองคมนตรีเอาไว้ การที่ พล.อ.สุรยุทธ์ไม่แจ้งความอาจเป็นเพราะกลัวจะถูกเปิดเผยข้อมูลที่ลึกกว่านั้นหรือไม่ ส่วนการแก้ปัญหาการชุมนุมนั้นไม่ควรสลายการชุมนุม เพราะไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ถ้าไปสลายการชุมนุมจะยิ่งเป็นการราดน้ำมันเข้ากองไฟ ส่วนการยุบสภาไม่ใช่ทางออกในการแก้ปัญหา ดังนั้นจะต้องแก้รัฐธรรมนูญบางมาตรา เพื่อเปิดทางไปสู่การตั้ง ส.ส.ร.ที่มาจากการเลือกตั้งเป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญ และในระหว่างร่างไม่ควรให้ กกต. และ ป.ป.ช.ทำงาน พร้อมให้พรรคการเมืองไปพูดคุยกันเพื่อหาตัวนายกฯที่เป็นกลาง สังคมให้การยอมรับ แต่ต้องไม่ใช่นายกฯที่มาจากพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทย หรือคนนอก อาจเป็นรูปแบบรัฐบาลที่ไม่มีฝ่ายค้านเป็นรัฐบาลที่ทุกพรรคบริหารงานร่วมกัน แต่ไม่ขอเรียกว่ารัฐบาลแห่งชาติ เมื่อร่างรัฐธรรมนูญเรียบร้อยก็จัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป
พท.ปลุกเสื้อแดง 1 ล้านบีบนายกฯ
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ระบุว่า ส.ส.พรรคเพื่อไทยไม่ต้องอายที่จะลุกขึ้นมา นำคนเสื้อแดงเคลื่อนไหวว่า ในวันที่ 31 มี.ค.นี้ เวลา 14.00 น. ในที่ประชุมพรรคเพื่อไทย จะนำเรื่องนี้ขึ้นมาหารือ เพื่อให้ ส.ส.นำประชาชนที่รักประชาธิปไตย ออกมาปกป้องระบอบประชาธิปไตย ไม่ต้องอายกันอีกต่อไปว่าอยู่เบื้องหลังเสื้อแดง ต่อไปจะอยู่ข้างหน้านำเสื้อแดงล่อกันสักครั้ง เพื่อออกมาเคลื่อนไหวกดดันให้นายกฯประกาศยุบสภา ในเบื้องต้นให้ชุมนุมกันที่ศาลากลางจังหวัด อาจจะรวมกันได้เกิน 1 ล้านคน ถ้าทางการเล่นสลายม็อบเสื้อแดงใน กทม.ที่ชุมนุมอยู่บริเวณรอบทำเนียบ ม็อบที่ชุมนุมอยู่ต่างจังหวัดจะลุกฮือเข้า กทม.ทันที ทหารมีปัญญาฆ่าคนไทยด้วยกันก็ทำไป หรืออยากปฏิวัติก็ขอท้าให้ลงมือได้เลย รับรองจะเจอต่อต้านจากคนเสื้อแดงอย่างถึงที่สุด
ห่วงม็อบแดง-เหลืองชนกันทำบ้านเมืองวุ่น
ที่โรงแรมเดอะโบนันซ่า เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา กล่าวถึงสถานการณ์ม็อบเสื้อแดงที่เริ่มใช้ยุทธวิธีปิดล้อมศาลากลางจังหวัดต่างๆว่า รัฐบาลต้องแก้ไขปัญหาโดยอย่าใช้ความรุนแรงที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ และการชุมนุมก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย เมื่อถามว่า สถานการณ์ที่รุนแรงขึ้นเพราะ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ โฟนอินมาบ่อยขึ้น โดยเฉพาะการพาดพิงสถาบันเบื้องสูง นายประสพสุขตอบว่า เรื่องการพาดพิงสถาบันไม่ทราบว่าจะวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่าอะไรควรไม่ควร ควรใช้เหตุผลและทุกคนต้องมีสติ อย่าทำอะไรที่ทำให้ประเทศเกิดความไม่สงบสุข ส่วนรัฐบาลก็มีกลไกสามารถจัดการปัญหาได้อยู่แล้ว เพราะรู้ดีว่าการกระทำใดควรหรือไม่ควร เมื่อถามถึงทางกลุ่มเสื้อเหลืองก็ออกมาขู่ว่าจะออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านกลุ่มเสื้อแดง นายประสพสุขตอบว่า ภาวนาอย่าให้เกิดเหตุการณ์นั้น ไม่ว่าใครก็ตามอย่าทำให้ประชาชนออกมาเผชิญหน้ากัน เพราะจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา เป็นเครื่องชี้ชัดว่าความรุนแรงไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้
“หมวดเจี๊ยบ” แจงหนังสือ “ทักษิณ ARE YOU OK.”
ตอนสายวันเดียวกัน ที่สำนักงานเลขานุการกองทัพบก “หมวดเจี๊ยบ” หรือ ร.ท.หญิงสุนิสา เลิศภควัต นายทหาร ประจำสำนักงานเลขานุการกองทัพบก เข้าชี้แจงกับ พล.ต.วีรัณ ฉันทศาตร์โกศล เลขานุการกองทัพบก ในฐานะผู้บังคับบัญชาต้นสังกัด กรณีการออกหนังสือ “ทักษิณ ARE YOU OK.” ซึ่งเป็นภาคต่อของหนังสือ “ทักษิณ WHERE ARE YOU?” โดยใช้เวลาชี้แจงกว่า 3 ชั่วโมง ก่อนเดินทางกลับออกไปโดยไม่ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนแต่อย่างใด
รายงานข่าวจากกองทัพบกระบุว่า การออกหนังสือครั้งนี้ของ ร.ท.หญิงสุนิสา อาจเข้าข่ายกระทำผิดข้อบังคับกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยข้าราชการกลาโหมกับการเมือง พ.ศ. 2499 ข้อ 8(8) ที่ระบุว่า ไม่เขียนจดหมาย หรือบทความใดลงหนังสือพิมพ์ หรือพิมพ์หนังสือ หรือใบปลิวซึ่งจะจำหน่ายแจกจ่ายไปยังประชาชน อันมีข้อความที่เป็นลักษณะของการเมือง และไม่โฆษณาหาเสียงเพื่อประโยชน์แก่พรรคการเมือง หรือแสดงการสนับสนุนพรรคการเมืองใดๆในที่ปรากฏแก่ประชาชน ซึ่งกองทัพบกจึงให้ ร.ท.หญิงสุนิสาทำหนังสือชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษร ส่วนกรณีที่ ร.ท.หญิงสุนิสา ถูกกองทัพตั้งคณะกรรมการสอบทางวินัยจากการออกหนังสือเล่มแรก “WHERE ARE YOU” เมื่อปี 2550 เรื่องได้เข้าสู่กระบวนการในชั้นศาลทหารแล้วและยังไม่มีคำตัดสิน
เสื้อแดง ตจว.บุกศาลากลาง
ขณะเดียวกันจากการที่กลุ่มคนเสื้อแดง ปักหลักต่อสู้ขับไล่รัฐบาลอย่างเหนียวแน่น และหนาตากว่าทุกครั้ง ที่ผ่านมา ทำให้มวลชนคนเสื้อแดงในต่างจังหวัด เริ่มมีความตื่นตัวและเคลื่อนไหวกันมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่ 30 มี.ค. ซึ่งเป็นวันที่มีกระแสข่าวว่าจะมีการสลายม็อบเสื้อแดงที่ทำเนียบฯ ตั้งแต่เช้า กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงพร้อมใจกันเคลื่อนพลไปปิดล้อมศาลากลางจังหวัด เพื่อกดดันรัฐบาลไม่ให้สลายการชุมนุมบริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล ท่ามกลางกำลังตำรวจที่คอยรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ขณะที่บางส่วนก็ทยอยเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ไปสมทบกับกลุ่มผู้ชุมนุมบริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล
พัทยา-เมืองชลม็อบแดงพรึบ
ที่ศาลาว่าการเมืองพัทยา จ.ชลบุรี กลุ่มม็อบเสื้อแดงเกือบ 1,000 คน พากันมารวมตัวขับไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยนายไพบูลย์ เจียมสถิตย์ รองประธานชมรมรักประชาธิปไตยพัทยา เผยว่า การชุมนุมครั้งนี้ ประชาชนทั้งประเทศไม่ต้องการรัฐบาลอมาตยาธิปไตย และเรียกร้องไม่ให้รัฐบาลใช้กำลังทหารเข้าสลายกลุ่มผู้ชุมนุมในกรุงเทพฯ ต่อมาในช่วงบ่าย นายอิทธิพล คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา ออกมาเจรจากับแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมที่ปิดทางเข้าออกศาลาว่าการเมืองพัทยา เนื่องจากส่งผลกระทบให้ประชาชนที่มาติดต่อราชการ จึงขอให้เปิดทางเข้าออกตามปกติ ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น เช่นเดียวกับที่ศาลากลางจังหวัดชลบุรี กลุ่มคนเสื้อแดงเขต อ.เมืองชลบุรี อ.พานทอง และเมืองพัทยา ประมาณ 200 คน มารวมตัวชุมนุมกดดันรัฐบาล พร้อมทั้งปราศรัยโจมตี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ด้วย โดยนายวิรัช เป็นไท แกนนำคนเสื้อแดงกลุ่ม อ.เมืองชลบุรี เผยว่า จะปักหลักชุมนุมกันแบบยืดเยื้อจนกว่านายกรัฐมนตรีจะยุบสภาหรือคืนประชาธิปไตยแก่ประชาชน
ติดตั้งดาวเทียมรอฟังทักษิณ
ส่วน จ.กาญจนบุรี กลุ่มคนเสื้อแดงราว 150 คนมารวมตัวที่หน้าศาลากลางจังหวัด ในจำนวนนี้มีทั้งนักธุรกิจใหญ่ระดับจังหวัด อาทิ นายบุญชู วิวัฒนาทร อดีตประธานหอการค้ากาญจนบุรี รวมทั้งอดีตข้าราชการระดับสูง พ่อค้าแม่ค้าและประชาชน ตัวแทนผู้ชุมนุมกล่าวว่า กลุ่มเสื้อแดงกาญจนบุรีมาด้วยใจ ไม่มีใครจ้าง โดยประกาศจุดยืนต่อสู้ไม่ถอย พร้อมเตรียมนำจานดาวเทียมมาติดตั้งเพื่อฟัง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โฟนอินด้วย เช่นเดียวกับที่ จ.สมุทรสาคร นายพงษ์ศักดิ์ ชินนาบุญ อายุ 37 ปี เลขานุการกลุ่มเสื้อแดงสมุทรสาคร นำผู้ชุมนุมกว่า 30 คน ไปรวมตัวหน้าศาลากลางจังหวัด โดยกล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลอภิสิทธิ์ ที่ใช้วิธีปล้นเข้ามาและเป็นตัวแทนระบอบอมาตยาธิปไตย โดยตนจะรวบรวมกลุ่มคนเสื้อแดงเดินทางไปสมทบกับพวกที่ทำเนียบรัฐบาลต่อไป
เสื้อแดงราชบุรีแฉทหารทุจริต
ที่ จ.ราชบุรี นพ.พงษ์ศักดิ์ ภูสิทธิ์สกุล แกนนำ กลุ่มเสื้อแดงราชบุรี นำกลุ่มคนเสื้อแดงประมาณ 100 คน มารวมตัวแสดงพลังบริเวณหน้าศาลากลางจังหวัด ติดตั้งเครื่องขยายเสียงบนรถประกาศเชิญชวนชาวราชบุรีให้มาร่วมชุมนุมให้มากขึ้น พร้อมกล่าวปราศรัยโจมตีรัฐบาล ตะโกนขับไล่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ให้ลาออกจากตำแหน่งองคมนตรี นอกจากนี้ยังมีแกนนำหลายคนผลัดกันปราศรัยโจมตีและขุดคุ้ยการทำงานของทหาร ช่วงรัฐบาลของ พล.อ.สุรยุทธ์ ว่ามีการลักลอบนำกระสุนปืนของทหารออกมาขายกันโดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย มีเรื่องเบี้ยเสี่ยงภัยของข้าราชการทหารชั้นผู้น้อยที่ไปปฏิบัติหน้าที่ที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้หลายเดือนแล้วแต่ยังไม่ได้รับ ใช้เวลาในการแสดงพลังหน้าศาลากลางกว่า 3 ชม. จึงพากันเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ไปสมทบกับกลุ่มเสื้อแดงที่ปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลต่อไป
ปิดประตูศาลากลางหวั่นม็อบบุก
ที่หน้าศาลากลาง จ.สุพรรณบุรี กลุ่มคนเสื้อแดง มารวมตัวกันกว่า 100 คน พร้อมเปิดดูโทรทัศน์ช่องสถานีประชาธิปไตยที่ถ่ายทอดสดมาจากทำเนียบรัฐบาล และติดตั้งเครื่องขยายเสียงโจมตีรัฐบาลรวมทั้งผู้อยู่เบื้องหลังการทำรัฐประหารที่ผ่านมา ขณะเดียวกันได้ชูนโยบาย พ.ต.ท.ทักษิณ เรียกร้องให้กลับมาบริหารประเทศอีกครั้ง โดยมีกำลังตำรวจและอาสาสมัครกว่า 200 นาย มาควบคุมสถานการณ์ พร้อมทั้งปิดล็อกประตูทางเข้าศาลากลางจังหวัด เปิดให้เข้าออกเพียงทางเดียวเพื่อป้องกันเหตุรุนแรง ทั้งนี้ นายสหรัฐ กุลศรี อดีต ส.ส.กาญจนบุรี พรรคไทยรักไทย หนึ่งในแกนนำ เผยว่า กำลังรอดูท่าทีของรัฐบาล แต่ได้บอกกับผู้ชุมนุมว่าให้อยู่ในหลักเกณฑ์คือจะต้องไม่ทำลายทรัพย์สินทางราชการเด็ดขาด ส่วน จ.อ่างทอง กลุ่มคนเสื้อแดงจาก อ.โพธิ์ทอง และ อ.ไชโย ราว 20 กว่าคนมารวมตัวบริเวณหน้าศาลากลางจังหวัด มีการปราศรัยโจมตีรัฐบาล รวมทั้งนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล อดีต ส.ส.อ่างทอง และอดีตรอง หน.พรรคชาติไทย ที่นำสมาชิกพรรคเข้าจัดตั้ง รัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์ด้วย
ยอดม็อบ เสื้อแดงชุมนุม 42 จว.
ขณะที่ศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงมหาดไทย (ศปก.มท.) รายงานความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ชุมนุมอยู่บริเวณศาลากลางจังหวัดรวม 42 จังหวัด ว่า มียอดผู้มาชุมนุมรวม 8,495 คน ประกอบด้วย ภาคเหนือมีการชุมนุมที่ 12 จังหวัด มีผู้ชุมนุมประมาณ 1,830 คน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีการชุมนุม 17 จังหวัด ประมาณ 5,220 คน ภาคตะวันออกมีผู้ชุมนุม 4 จังหวัด ประมาณ 770 คน ภาคกลาง ผู้ชุมนุม 9 จังหวัด ประมาณ 675คน จ.กาญจนบุรี 200 คน จ.ลพบุรี 200 คน จ.สมุทรสงคราม 20 คน จ.สระบุรี 40 คน จ.สิงห์บุรี 10 คน จ.สุพรรณบุรี 50 คน จ.อ่างทอง 20 คน จ.นครปฐม 30 คน ส่วนในภาคใต้ไม่มีความเคลื่อนไหว
มท.1 ห่วงม็อบปิดล้อมศาลากลาง
นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ตำรวจได้ประกาศเสียงตามสายให้กลุ่มเสื้อแดงยุติการชุมนุม หากไม่ยุติจะใช้วิธีการจากขั้นเบาไปถึงหนักว่า เชื่อว่าการประกาศดังกล่าวมีจุดประสงค์ต้องการเคลียร์สถานที่ เพื่อให้คณะรัฐมนตรีเข้าประชุมที่ทำเนียบรัฐบาลวันที่ 31 มี.ค. ตามปกติ และขอปฏิเสธว่ารัฐบาลยังไม่ได้เตรียมย้ายสถานที่ประชุมไปที่กองทัพไทย ทั้งนี้การที่กลุ่มเสื้อแดงจะใช้ยุทธวิธีดาวกระจาย กดดันรัฐบาลตามศาลากลางจังหวัดทั่วประเทศนั้น ยอมรับว่ามีความเป็นห่วงสถานการณ์ โดยได้กำชับสั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดดูแลสถานที่อย่างใกล้ชิด และเร่งสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับผู้ชุมนุมด้วย แต่ทั้งนี้ไม่มีการสกัดกั้นผู้ชุมนุมที่จะเดินทางเข้ามายังกรุงเทพมหานคร เชื่อว่าเหตุการณ์จะไม่บานปลาย แต่หากผู้ชุมนุมทำเกินขอบเขตของกฎหมาย ก็จะต้องถูกดำเนินการไม่มีการยกเว้น
“ประวิตร” ตรวจเยี่ยมกำลังพล
ช่วงเช้าวันเดียวกัน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. พล.อ.ธีระวัฒน์ บุณยะประดับ ผช.ผบ.ทบ. พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาค 1 และคณะ เดินทางไปที่กรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ค่ายพรหมยี อ.เมืองปราจีนบุรี ติดตามโครงการพัฒนาสวัสดิการด้านที่อยู่อาศัยของข้าราชการในสังกัด พร้อมตรวจเยี่ยมกำลังพลและครอบครัวเพื่อเป็นขวัญกำลังใจ จากนั้นในช่วงบ่ายเดินทางไปตรวจเยี่ยมการปฏิบัติหน้าที่บริเวณชายแดน จ.สระแก้ว มอบสิ่งของให้กำลังพลในกองกำลังบูรพา ต.ห้วยโจด อ.วัฒนานคร แล้วเดินทางไปตรวจโครงการหมู่บ้านชายแดนเข้มแข็งคู่ขนานไทย-กัมพูชา ที่บ้านป่าไร่ใหม่ หมู่ 8 ต.ป่าไร่ อ.อรัญประเทศ ซึ่งเป็นต้นแบบหมู่บ้านสีขาวปลอดยาเสพติดและชาวบ้านมีรายได้พอเพียงตามโครงการเศรษฐกิจพอเพียง โดย พล.อ.ประวิตรเผยถึงสถานการณ์ม็อบเสื้อแดงปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลรวมทั้งปิดล้อมศาลากลางจังหวัดต่างๆว่า จากการประเมินสถานการณ์ไม่มีอะไรรุนแรงแน่นอน ส่วนที่มีคนเรียกร้องให้ทหารมาคลี่คลายสถานการณ์นั้นไม่มีอะไร ทหารจะไปคลี่คลายอะไรได้ เพราะเป็นเรื่องการเมือง เป็นเรื่องของความคิดที่ไม่ตรงกันเท่านั้น
ตร.ถอดเครื่องแบบใส่เสื้อแดง
สำหรับบรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ช่วงเย็น เริ่มมีสีสันคึกคัก โดยเฉพาะที่หลังเวทีปราศรัย เมื่อมีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เฝ้ารักษาความปลอดภัยรอบพื้นที่การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง โดยเฉพาะบริเวณแยกวัดเบญจมพิตร และถนนลูกหลวง หลายสิบนาย ได้ถอดเครื่องแบบมาขอรับเสื้อแดงที่พิมพ์ข้อความ “ความจริงวันนี้” จากกลุ่มผู้ชุมนุมที่บริเวณด้านหลังเวทีปราศรัยสวมใส่แทน หลังจากออกเวรปฏิบัติหน้าที่แล้ว ทำให้ ผู้ชุมนุมจำนวนมากต่างโห่ร้องแสดงความดีใจ ที่เห็นตำรวจ ได้เปลี่ยนข้างมาอยู่กับฝ่ายคนเสื้อแดงแล้ว
ครื้นเครงแห่เที่ยวงานกาชาด
ส่วนช่วงค่ำ ผู้ชุมนุมเริ่มทยอยเดินทางมาขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมีทั้งแนวร่วมเสื้อแดงจากทั่วประเทศ การ์ดที่รักษาการณ์ตามจุดต่างๆ ก็ไม่ได้มีการเตรียมอาวุธ หรือเครื่องกีดขวางป้องกันใดๆ ตามทางเข้าออก เพียงตรวจสอบกระเป๋าผู้ที่จะผ่านทางเข้าออกพื้นที่ชุมนุมเท่านั้น ขณะเดียวกันที่บริเวณกำแพงรอบทำเนียบทั้งฝั˜งถนนลูกหลวง ถนนพิษณุโลก เริ่มถูกคนเสื้อแดงนำสีมาเขียน เป็นถ้อยคำด่าทอรัฐบาลและ พล.อ.เปรม อย่างหยาบคาย ส่วนงานกาชาดที่อยู่ติดกับพื้นที่ชุมนุมนั้น บรรยากาศค่อนข้างเงียบเหงา เจ้าหน้าที่รักษาการณ์ประตูเข้างานกาชาดรายหนึ่งยอมรับว่า ปีนี้คนเที่ยวงานกาชาดเบาบางลงกว่าที่ผ่านมา คาดว่าน่าเป็นเพราะติดการชุมนุมของคนเสื้อแดง แต่วันแรกของการเปิดงานก็มีคนเสื้อแดงมาเดินเที่ยวเยอะ ส่วนใหญ่ก็ซื้อบัตรเข้าไปไม่ได้มีปัญหากับการจัดงานกาชาดแต่อย่างใด
ทักษิณปราศรัยก่อนเวลา
นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช.แถลงข่าวด้านหลังเวทีปราศรัยว่า ได้โทรศัพท์พูดคุยกับ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ พ.ต.ท.ทักษิณได้ขอปราศรัย ผ่านระบบวีดิโอลิงค์เร็วกว่ากำหนด 30 นาที โดยเริ่มตั้งแต่เวลา 20.00 น. เพื่อพูดคุยกับคนเสื้อแดงพร้อมกันทั่วประเทศ ทั้งที่ปักหลักชุมนุมหน้าทำเนียบฯ และที่ปักหลักปิดล้อมศาลากลางจังหวัดต่างๆ โดยเนื้อหาจะเป็นการพูดถึงสถานการณ์ทางการเมืองล่าสุดและวิพากษ์ รัฐบาล ที่จะใช้กำลังสลายการชุมนุม เพื่อเปิดทางให้คณะรัฐมนตรีเข้าประชุมในทำเนียบฯ รวมจะเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนคนเสื้อแดง มาร่วมแสดงพลังชุมนุมที่หน้าทำเนียบฯ ให้เต็มท้องถนนพิษณุโลกตั้งแต่สะพานชมัยมรุเชษฐ์ต่อเนื่องไปจนถึงบ้านสี่เสาเทเวศร์
สลายม็อบเมื่อไหร่รัฐบาลมาร์คจบเมื่อนั้น
“การที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี แสดงความโอหัง สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง เพื่อจะเข้ามาประชุมในทำเนียบรัฐบาลให้ได้นั้น ชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะใกล้จะถึงจุดจบแล้ว เพราะคนเสื้อแดงพร้อมจะเผชิญหน้าทุกรูปแบบด้วยมือเปล่า และจะมีการตอบโต้อย่างสาสม โดยประชาชนคนเสื้อแดงในแต่ละจังหวัดจะเดินหน้าเข้ายึดศาลากลางจังหวัดทุกจังหวัดทั่วประเทศเพื่อให้ระบบการบริหารเป็นอัมพาตทันที และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะได้รับกรรมตามสนอง ไม่มีโอกาสได้กลับประเทศไทยอีกหลังจากเดินทางไปประชุม จี 20 ที่ประเทศอังกฤษ เหมือนเช่นที่ พ.ต.ท.ทักษิณได้รับ เพราะวันนี้ตำรวจ และทหารส่วนใหญ่ได้ถอดเครื่องแบบหันมาสวมเสื้อแดงอยู่ข้างประชาชนแล้ว” นายจตุพรกล่าวอย่างแข็งกร้าว
พัลลภเตรียมขึ้นเวทีแฉขบวนการโค่นทักษิณ
ส่วนกรณีกลุ่มพันธมิตรฯออกแถลงการณ์ประณาม พ.ต.ท.ทักษิณ และเรียกร้องรัฐบาลยุติโฟนอินจาบจ้วง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีนั้น นายจตุพรกล่าวว่า ไม่สนใจ เพราะเป็นเรื่องเดิมๆ ที่แกนนำพันธมิตรฯ ดิ้นรนสร้างภาพเพื่อให้ตัวเองพ้นจากคดี วันนี้ประชาชนทั่วประเทศรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร มีคนเสื้อเหลืองจำนวนมากเปลี่ยนมาสวมเสื้อแดงในเร็วๆนี้ พล.อ.พัลลภ ปิjนมณี อดีตรอง ผอ.กอ.รมน. รวมผู้ที่เกี่ยวข้องรู้เห็นแผนการโค่นล้มรัฐบาลทักษิณ จะมาขึ้นเวทีคนเสื้อแดงแฉเบื้องหลังให้ฟังกันชัดๆอีกครั้ง
ยื่นศาลคุ้มครองฉุกเฉินเข้าทำเนียบฯ
ขณะเดียวกันนายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ได้สั่งให้รัฐมนตรีทุกคนเตรียมพร้อมเข้าประชุม ครม.ในวันที่ 31 มี.ค.นี้ เพราะปลัดสำนักนายกฯได้ไปยื่นศาลปกครองเพื่อไต่สวนฉุกเฉินคุ้มครองการเปิดประตูเข้าออกทำเนียบรัฐบาล ถ้าหากว่าศาลมีคำสั่งคุ้มครองตามที่ยื่นฟ้องก็สามารถที่จะเข้าไปทำงานได้ ถ้าหากกลุ่มผู้ชุมนุมยังฝ่าฝืนคำสั่งศาล โดยปิดประตูเข้าทำเนียบอยู่อีก คงจะให้เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบนำคำสั่งศาลไปเจรจา เพื่อให้กลุ่มผู้ชุมนุมปฏิบัติตามกฎหมาย และหวังว่าเจตนาแกนนำของกลุ่มผู้ชุมนุมคงเคารพในคำวินิจฉัยของศาล
แกนนำไม่สนไปร้องศาลปกครอง
เวลา 19.00 น.นายจตุพรขึ้นเวทีกล่าวกับผู้ชุมนุมว่า ทราบมาว่าวันที่ 31 มี.ค. ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เตรียมจะยื่นคำร้องต่อศาลปกครองให้คุ้มครองให้คณะรัฐมนตรีสามารถเข้าประชุมในทำเนียบรัฐบาลได้ แต่อยากจะยื่นก็ยื่นไป เพราะตอนนี้นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลครองสูงสุด จะต้องตอบคำถามให้ได้ก่อนว่าร่วมในขบวนการรัฐประหาร 19 กันยา 49 หรือไม่ ถ้าไม่สามารถตอบคำถามได้ นี่ก็จะเป็นตัวอย่างหนึ่งของอมาตยาธิปไตย ถ้านายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะรักษาการนายกฯ อยากจะมาประชุมในทำเนียบก็ให้มา สมัยเสื้อเหลืองยึดทำเนียบพรรคประชาธิปัตย์กลับสนับสนุน ไม่แสดงความรู้สึกใดๆเลย วันนี้เจอกับตัวเองก็ไม่ควรมีสิทธิ์เรียกร้อง
สองทุ่มทักษิณพบคนเสื้อแดงตามนัด
ต่อมาเวลา 20.10 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ได้โฟนอินผ่านระบบวีดิโอลิงค์ ถึงมวลชนคนเสื้อแดง โดยกล่าวว่าพี่น้องชาวเสื้อแดง ที่รักประชาธิปไตยทุกท่าน ไม่มีประวัติศาสตร์ครั้งใดในประเทศไทยแล้ว ที่พี่น้องจะพร้อมใจกันมากขนาดนี้ วันนี้เรามากันด้วยหัวใจจริงๆ ผมชื่นใจที่สุด เมื่อเช้านี้พอเหตุการณ์บอกว่าทหารและตำรวจจะสลายพวกเรา พอใครรู้ข่าวก็มากันหมด ไม่ใช่มาเฉพาะในกรุงเทพฯ มาทั่วไปหมด ทุกจังหวัดในภาคเหนือ อีสาน และภาคกลาง ผมขอขอบคุณอีกครั้ง พี่น้องที่อีสาน จังหวัดกาฬสินธุ์ ขอนแก่น ยโสธร อุบลราชธานี ร้อยเอ็ด มุกดาหาร มหาสารคาม ชัยภูมิ บุรีรัมย์ โคราช อุดรธานี ตอนนี้หมื่นกว่าคนอยู่ที่นั่นพร้อมกัน พี่น้องที่หนองคายอีกหมื่นกว่าคน ภาคเหนือที่เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน แม่ฮ่องสอน ลำปาง พิจิตร พิษณุโลก กำแพงเพชร อุตรดิตถ์ นครสวรรค์ ภาคกลาง พัทยา ลพบุรี อยุธยา นครปฐม อุทัยธานี สุพรรณบุรี อ่างทอง และปทุมธานี ขาดไม่ได้และสำคัญที่สุด คือพี่น้องที่อยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล ที่มารวมกันอยู่ ณ ที่นี้ ขอได้รับความขอบคุณ และกราบงามๆจากผม
ชี้ต้องเปลี่ยนแปลงประเทศไทย
อดีตนายกฯกล่าวต่อว่า ที่พี่น้องออกมากันครั้งนี้ เพราะต้องการทวงคืนประชาธิปไตยของเรา บอกทหาร บอกท่านประธานองคมนตรี บอกรัฐบาล พวกเรารักสันติ พวกเราไม่ต้องการอะไร นอกจากประชาธิปไตยที่แท้จริง ประชาธิปไตยที่แท้จริงเราลิ้มรสมาแล้ว แต่ตลอดเกือบจะชีวิตของพวกเรา เรานึกว่าประเทศเราเป็นประชาธิปไตย ที่แท้เป็นอมาตยาธิปไตย ในช่วงที่ผมได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องให้ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีถึงเกือบ 6 ปี ช่วงนั้นผมมาด้วยรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ซึ่งมีเนื้อหาของความเป็นประชาธิปไตยสูงสุด ของรัฐธรรมนูญทั้งหมดที่เรามีมา แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีบางส่วนที่เป็นอมาตยาธิปไตยอยู่บ้าง แต่การที่พี่น้องมอบอำนาจให้ผม โดยการเลือก ส.ส.จำนวนมาก ทำให้ผมมีความเข้าใจอย่างบริสุทธิ์ ว่าประเทศเราคือประชาธิปไตยที่แท้จริง เพราะสิ่งที่ผมไปเรียนมาจากตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นนักปราชญ์อย่างมองเต็งอีเเอร์ ลูสเซอร์ โลมัสฮอฟ จอนลอฟ ทุกคนพูดถึงว่าประชาธิปไตย เป็นของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน แต่พอมาทำงานเข้าจริงๆ ผมถึงรู้ว่าประชาธิปไตยที่แท้จริงยังไม่เกิด วันผมเดินทางไปที่ไหนทั่วโลก ไม่ว่าเจอผู้นำทาง การเมือง หรือผู้นำทางธุรกิจเขาบอกว่าไทยแลนด์ นีด เชงก์ เพราะฉะนั้นเราต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงใช่ไหมครับ
ให้ช่วยกันทวงคืนประชาธิปไตย
พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวด้วยว่า ขนาดว่าประชาธิปไตยเกือบแท้จริง แล้วเราผลักดันให้เป็นประชาธิปไตยให้แท้จริงโดยประชาชนเป็นผู้สนับสนุน พี่น้องยังรู้เลยว่า เป็นช่วงที่ประเทศไทยมีความสุขที่สุด คนไทยมีความสุขที่สุด ประเทศอยู่บนศักดิ์ศรีแห่งเวทีโลก เพราะฉะนั้นไม่มีเวลาไหนเหมาะกว่าเวลานี้อีกแล้ว ที่เราจะทวงคืนประชาธิปไตยที่แท้จริงของประเทศไทย ประชาธิปไตยที่เป็นการเมืองเป็นของประชาชน ไม่ใช่องคมนตรี ไม่ใช่ทหารเข้ามายุ่ง ผมขอขอบคุณพี่น้องทุกๆท่าน จากทุกอาชีพ ทุกวัย ได้ เข้ามารวมตัวกันในวันนี้ เพื่อจะช่วยกันทวงคืนประชาธิปไตย ให้กับประเทศไทย ขอขอบคุณ ครอบครัวและเพื่อนข้าราชการตำรวจ ที่มาถอดเครื่องแบบใส่เสื้อแดง บอกให้รู้ว่าวันนี้ต้องการประชาธิปไตย อยู่ๆยกกรมตำรวจให้นักเลงคุม ตำรวจรับไม่ได้
ขู่เสียงปืนแตกนำม็อบเข้ากรุง
พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวอีกว่า พี่น้องเพื่อนทหาร เพื่อนตำรวจ เพื่อนข้าราชการ พวกท่านและพ่อแม่ของท่านและญาติพี่น้องของท่านยังอยู่ในความยากจนอยู่จำนวนมาก พี่น้องที่อยู่ในต่างจังหวัด เวลาพี่น้องนอนหันดูลูกและหลานนอนตาดำๆอยู่ข้างๆเรานี่แหละ ถามไหมว่าโตขึ้นมาเขาจะเป็นคนจนเหมือนเราไหม ถ้าตราบใดประเทศยังเป็นอย่างนี้ เขาก็โตขึ้นมาเป็นคนจนเหมือนเรา เราจะต้องเอาประชาธิปไตยที่กินได้กลับคืนสู่ประเทศไทย
วันนี้ได้ข่าวว่าผู้ก่อการร้ายสากลที่เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศบอกว่าจะมาเอาพาสปอร์ตคืน มาเลยพาสปอร์ต ราคาพันกว่าบาทเอาไปเลย แต่เอาหัวใจความเป็นคนไทยจากตนไปไม่ได้ จะเอาความเป็นคนไทยจากประชาชนไปไม่ได้เช่นกัน ไม่ต้องเป็นห่วงตน ตนเอาตัวรอด แต่ตนห่วงพี่น้อง บอกได้เลยว่าถ้าเมื่อไรเสียงปืนแตก ทหารยิงประชาชน ตนจะเข้าไปเดินนำพี่น้องเข้ากรุงเทพฯทันที จะไม่ยอมอีกแล้วกับเผด็จการแบบนี้
ด่ารัฐบาลมาร์คแทรกแซงสื่อเต็มๆ
อดีตนายกฯกล่าวอีกว่า พี่น้องทหาร ตำรวจ คนเหล่านี้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขที่รักพระเจ้าอยู่หัวเช่นเดียว กัน อย่ามีใครมาผูกขาดว่าจงรักภักดีพระเจ้าอยู่หัวโดยไม่ได้นับพวกเรา คนไทยทุกคนจงรักภักดีพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จฯ แต่มีบางคนพยายามผูกขาดทำให้ท่านเสียหาย ตนจะเล่าให้ฟังว่า ตอนเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ตอนนั้นตนเป็นนักธุรกิจ มีธุรกิจเคเบิลทีวีคือ IBC ปรากฏว่าตอนนั้นสถานีโทรทัศน์ไทยถูกปิดไม่ให้ออกข่าว ปชช. ชุมนุมที่ราชดำเนิน แต่ CNN ได้ถ่ายทอดและออกข่าว บังเอิญว่า IBC มี CNN อยู่ คนไทยก็ได้ดูข่าวจาก CNN เสร็จแล้วผมได้รับโทรศัพท์จากรัฐมนตรีในชุดนั้นสองคน ที่รู้จักกันเป็นการส่วนตัว คนหนึ่งชื่อนายประภัตร โพธสุธน ก็เล่าเรื่องการปิดข่าว ได้บอกกับนายประภัตรว่า ยิ่งปิดคนไทยยิ่งอยากรู้ ถ้าปิดข่าวประชาชนจะมาดูด้วยตัวเอง และวันนี้รัฐบาลนี้ที่เที่ยวด่าว่าคนอื่นแทรกแซงสื่อวันนี้แทรกแซงเข้าไปเต็มๆ เรียก บก.เข้าไปคุยขอร้องไม่ให้ออกข่าว
แฉยุบ พปช.เพราะอยากยกให้ ปชป.
พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวอีกว่า เราไม่ได้มาชุมนุมกันเล่น แต่เป็นเรื่องอนาคตของประเทศ เป็นอนาคตของลูกหลาน เราเสียเวลา เราต้องเหนื่อย บางคนเสียทุนทรัพย์ส่วนตัว บางคนบริจาค อย่างเช่น ป้าสายทิพย์ขนเฉาก๊วยเป็น 100 กิโล เลี้ยงพวกเรา เพราะเขาอยากเห็นอนาคต ประเทศ ปี 40 ล่มสลายไป ยังไม่ทันไรก็เป็นอีกแล้ว เพราะมันไม่ได้เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง อำนาจประชาชน ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง ประชาชนอุตส่าห์เลือกพรรคพลังประชาชนมา เสร็จแล้วก็หาเรื่องจนยุบพรรคพลังประชาชน ก่อนยุบพรรคพลังประชาชน นายกรัฐมนตรีสมัยนั้นคือคุณสมัคร ทำกับข้าวออกทีวีก็ถูกปลด อยากปลดคุณสมชายก็ยุบพรรค เห็นเป็นตัวตลก เพราะอยากยกรัฐบาลให้คุณอภิสิทธิ์ แต่ประชาชนเขาไม่ได้ยกให้ แล้วอย่างนี้ความน่าเชื่อถือมันอยู่ไหน ออกไปเชิดหน้าชูตาต่างประเทศ เขาก็รู้ว่ามันไม่ได้เป็นประชาธิปไตย มันใช้ศาลรัฐธรรมนูญ ใช้ทหาร ใช้ประธานองคมนตรี ช่วยตั้งรัฐบาลให้แบบปฏิวัติเงียบ เขาไม่ได้เรียกว่าเป็นประชาธิปไตย พอมาเป็นรัฐบาลแล้วหาเงินไม่เป็นไม่ว่า ยังแจกเงินไม่เป็นอีก วุ่นวายไปหมด
ให้หยุดระบอบอมาตยาธิปไตย
พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวต่อว่า ขอฝากบอกว่าครั้งนี้สำคัญที่สุดที่เปลี่ยนประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงขอให้อำมาตยาธิปไตยหยุดไปได้แล้ว ประชาชนตัดสินใจเป็น วันนี้หลายคนกลัวเพราะโดนขู่ โดนจะสั่งย้าย วันนี้ท่านมีรัฐบาลที่ไม่ชอบ จึงต้องรักษาสิทธิ วางตัวเป็นกลางจนกว่าจะได้รัฐบาลที่เห็นชอบ วันนี้เราไม่ได้ขอให้ท่านทำผิด แต่ขอให้รักศักดิ์ศรีประเทศ และประชาธิปไตยที่แท้จริง มาร่วมกับกระบวนการเสื้อแดงดีกว่า ขอให้แดงทั้งแผ่นดินเรียกร้องประชาธิปไตยกลับคืนมา อย่าไปหลอกว่าเราเป็นประชาธิปไตย อย่าไปบอกว่าเรามาจากการเลือกตั้ง ไม่บอกเขาหรือว่าเราหลอกเขามา เราใช้ข่มขู่ ซื้อ ส.ส. เขียวไข่กามาแล้วร้ายกว่าซื้อเสียง องค์กรอิสระอย่าง กกต. ที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง นำกรณีการรับบริจาคเงิน 258 ล้านบาท ของพรรคประชาธิปัตย์ นักวิชาการต่างก็บอกว่ากรณีนี้เลี่ยงยาก ต้องยุบพรรคอย่างเดียว เรื่องนี้จริงเป็นข้อพิสูจน์ว่า กกต.ท่านมีความเป็นธรรมหรือไม่และว่าจะทำในสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ ถ้าพรรคมั่นใจก็ลงไปเลือกตั้ง อย่ากลัวแพ้ แพ้เป็นแพ้ชนะเป็นชนะ ประชาชนเขาตัดสินใจเป็น ประชาชนต่างจังหวัดสนใจการเมืองแม้กระทั่งการบิดเบือนข่าวก็ยังรู้ อย่าคิดว่าจะส่งทหารลงพื้นที่ไปล้างสมองให้เขาลืมพรรคไทยรักไทย ซึ่งชาติหน้าเขาก็ไม่ลืม
โดนใส่ร้ายไม่เว้นแม้แต่งานฉลองสิริราชฯ
พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวต่อว่า ที่มีการจัดงานถวายพระเจ้าอยู่หัวครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ในปี 2549 รัฐบาลเป็นเจ้าภาพ เพราะอยากถวายพระเกียรติ พระกำลังใจ เพราะช่วงนั้นทรงประชวรบ่อย และเมื่อเห็นว่าในปีที่จัดครองสิริราชสมบัติ 60 ปี ตนได้เป็นคนขอพระบรมราชานุญาตให้จัด มีหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่นไปลงว่าจะเปลี่ยนประธานจัดงานจากนายกรัฐมนตรี เป็นองคมนตรี มีคนบอกตนว่ามีคู่หูองคมนตรีมาบอกว่าจะเปลี่ยนเป็น พล.อ.เปรม และการกราบบังคมทูลราชวงศ์ ซึ่งก็เสด็จเกือบทุกพระองค์ ยกเว้นเพียง 2 ประเทศเท่านั้น เพราะทุกพระองค์อยากถวายพระกำลังใจให้พระองค์ เมื่อรัฐบาลไปจัดงานนิทรรศการที่เมืองทองธานีมีคนไปชมถึง 6 ล้านคน แต่มีคนไปปล่อยข่าวว่า มีแต่รูปตนไปจัดแสดงทั้งที่จริงไม่มี ตนยืนรอรับเสด็จอยู่ด้านล่างก็ถูกกล่าวหาอีก ตนโดนเช่นนี้เกือบตลอดเวลา ทั้งที่ทำด้วยความจงรักภักดี ถ้าวันนี้ประเทศเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ไม่มีระบบอำมาตยาธิปไตย ระบบนิติธรรมก็จะเป็นไปอย่างแท้จริง ทำงานก็ง่าย เชื่อหรือไม่ว่ามีผู้ใหญ่ ที่ทำงานประสานตนกับสำนักพระราชวัง ก็มีการประสานกันหลายครั้งโดยเฉพาะเรื่องการแต่งตั้งทหาร ตนจึงบอกว่าขอโทษเถอะ ขอให้มีนายกฯแค่คนเดียว บทบาทของท่านคือที่ปรึกษารัฐบาลจะประสานกับราชเลขาฯ เอง
แฉให้เงินกษิตใช้ตั้งแต่ยังเป็นทูต
“ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ วันนี้เราหันหน้ามาทางเดียวกันเถอะ ขอให้เกิดประชาธิปไตยที่แท้จริง มาแก้รัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ถ้าประชาชนอยากใช้ใครก็ขอให้เข้าไปทำงานให้ ถ้าไม่ใช้ กระทรวงต่างประเทศไม่ต้องมาเดินไล่ล่าผม ท่านทูตทั้งหลายทำงานกับตนมาก็รู้ว่าผมทำงานอย่างไร นายกษิตมาทำงาน ตอนนั้นเป็นทูตที่อินโดนีเซีย เป็นทูตที่จาการ์ตา ผมไม่อยากเบียดเบียน จะให้ตังค์ทูตใช้ตลอด หลังจากนั้น ตอนตนเป็นรองนายกฯ ในสมัยนายกฯบรรหาร กษิตมาพูดกับผมว่า เคยทำงานกับนายกฯ ชวน ตอนเป็น รมว.พาณิชย์ แต่ไม่เก่ง ไม่เห็นตัดสินใจอะไร ตนน่าจะเอะใจว่าคนอย่างนี้ไม่น่านำมาใช้ ตอนหลังก็ไม่ได้เอามาใช้ ก่อนผมเป็นนายกฯ กษิตก็เป็นทูตที่เยอรมัน ผมก็ให้ตังค์ใช้อีก และขอมาอยู่หน้าห้อง มาอยู่กับผม ขอมาอยู่ ขอเป็นทูตประจำกระทรวง มาช่วยราชการหน้าห้อง ซึ่งผมไม่เคยใช้ แต่ผมไม่เคยอ่าน เพราะผมรู้ว่าแกบ้าๆ บอๆ แล้วตอนหลังมา ผมเป็นคนขี้สงสาร ผมเอาไปเป็นทูตญี่ปุ่น ก็ให้ตังค์ใช้อีก เหลืออีกปีเดียวก่อนเกษียณ ผมก็ส่งเสริมให้เป็นทูตที่อเมริกาและก่อนเกษียณ ตนกับนายสุรเกียรติ์เดินทางไปอเมริกา พอตนกลับก็ให้ สัมภาษณ์ด่าทั้งตนและสุรเกียรติ์ เขาบอกว่าอยากมาเป็นที่ปรึกษารองฯสมคิด แต่เข้าใจว่าผมไม่รับ เลยโกรธใหญ่เลย คนนี้คือกษิต ผู้ที่บุกยึดสนามบิน ถ้าจะมาเอาพาสปอร์ตก็มาเอาเลย อย่าเอาหัวใจคนไทยออกไปจากผม ไม่มีปัญญาหรอก”
เหน็บ “เปรม-สุรยุทธ์” อย่าอยู่เป็นภาระ
อดีตนายกฯกล่าวอีกว่า ช่วงเช้าที่วิทยุออกข่าวว่าจะสลายชุมนุม ก็มากันใหญ่ กรุณาอย่าทำอะไรที่ทำร้ายประชาชนเลย พวกเขาบริสุทธิ์ใจ เพราะอยากได้คนมาแก้ปัญหาให้เขา “ตัวละครที่ไปพบบ้านคุณปีย์ หยุดซะ พระเจ้าอยู่หัวทรงไม่ยุ่งกับการเมือง พวกนี้แอบอ้างทั้งนั้น ไล่ผมออกมา ประเทศดีขึ้นหรือไม่ พี่น้องสบายขึ้นหรือไม่ เราต้องหมุนเทปกลับ เอาความสุขคืนมา เอาความมั่งคั่งของประชาชนและประเทศคืนมา เอายาเสพติดออกจากประเทศไป เอาศักดิ์ศรีคืนประเทศไทยให้ได้ ถ้ามากันมากอย่างนี้ ตนก็จะขอพูดกับพี่น้องทุกวัน ผมอยากกลับไปทำงานรับใช้ประชาชน แม้ว่าตัวเองจะแก่แต่คิดว่ามีสติ มีปัญญา และร่างกายที่แข็งแรง สามารถรับใช้ชาติ เพราะคิดว่าหน้าที่หลักคือรับใช้ชาติและประชาชน ขอยืนยันว่าขอให้ทุกคนต่อต้านการปฏิวัติ และเผด็จการทุกรูปแบบ ถ้ามีการปฏิวัติโดยใช้กำลังจะมีการรวมกันของประชาชนทุกจังหวัด เข้ามาที่ทำเนียบ ขอให้ทหารตำรวจอย่าบล็อก เพราะทุกคนรักพระเจ้าอยู่หัวและแค่ต้องการประชาธิปไตยกลับมา การปฏิวัติที่ผ่านมามีแต่นายพลที่รวย นายสิบทหาร ไม่มีใครได้อะไร ยังถูกอมเบี้ยเลี้ยง รัฐบาลที่ได้มาโดยไม่เป็นธรรม ก็อย่าอยู่ และถ้าประธานองคมนตรีและ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ไม่เป็นภาระของพระเจ้าอยู่หัวจะเป็นสิ่งที่ดีมาก