ที่มา thaifreenews
บทความโดย..ลูกชาวนาไทย
หลังจากที่ ท่านนายกฯทักษิณ ออกมาเปิดโปงขบวนการเบื้องหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ซึ่งลากเอาทั้ง พล.อ.เปรม ติณสูลานนน์ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลลานนท์ และนายปีย์ มาลากุล เข้ามาฉายภาพให้เห็นเบื้องหลังการทำรัฐประหารเพื่อโค่นล้มรัฐบาลทักษิณ สงครามการเมืองก็ยกขึ้นสู่อีกระดับหนึ่งทันที ยกขึ้นพ้นจาก กลุ่ม พธม. หรือแม้แต่พรรคประชาธิปัตย์ทันที การทำศึกมุ่งไปที่ คู่สงครามที่แท้จริง มุ่งตรงไปที่หัวขบวนของอำมาตยาธิปไตยทันที
เมื่อเป็นอย่างนี้ กลุ่มเสื้อแดงก็คึกคักขึ้นมาทันที เพราะคนเสื้อแดงนั้นรู้กันนานแล้วว่าใครอยู่เบื้องหลังความวุ่นวายทางการเมืองครั้งนี้ แต่นายกฯทักษิณ ก็ไม่เปิดหน้าสู้เสียที ทำให้คนเสื้อแดงทั้งหลายต่อยวนไปวนมาอยู่ เมื่อนายกฯทักษิณ ดับเครื่องชนเช่นนี้ การต่อสู้ทางการเมืองย่อมเข็มข้นขึ้น มีค่าเท่ากับ การท้ายทาย “พระมหาอุปราช” ให้ใสช้างออกมาทำศึกกันตัวต่อต้วแล้ว และพระมหาอุปราช ก็ใสช้างออกมาเสียด้วย เป็นอันว่า สามารถดึงตัวใหญ่ออกมารบได้ ทำให้สงครามมีความเข็มข้นขึ้นอย่างเต็มที่ ไม่ต้องวนไปวนมา อ้อมค้อมกันอีกแล้ว
หลังจากที่ทั้ง เปรมและสุรยุทธ์ ออกมาปฎิเสธเป็นพัลวัน ว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำรัฐประหาร การพูดต่างๆ เหมือนกับการดูถูกดูแคลนคนไทยทั้งประเทศ ว่า “โง่เหง้าเต่าตุน” จะหลอกอย่างไรก็ได้ ซึ่งที่จริงก็ไม่มีใครเชื่อสิ่งที่คนสองคนนั่นพูด เพราะคนรู้กันนานแล้วว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างไร แต่ครั้งนี้ “เจ้าทุกข์” โดยตรงคือนายกฯ ทักษิณ ออกมาชี้ตัวผู้ร้ายเอง การออกมาปฎิเสธ จึงไม่มีน้ำหนักทางการเมืองแต่อย่างใด
ตอนนี้ในทางการเมืองถือว่าทั้งเปรมและสุรยุทธ์ กลายเป็นคู่สงครามหรือคู่ขัดแย้งเต็มที่ ตำแหน่งองคมนตรี ที่ต้องวางตัวเป็นกลาง ถูกทำให้เห็นภาพทันทีว่าไม่เป็นกลางทางการเมือง แต่เป็นต้นเหตุแห่งความขัดแย้งกับฝ่ายเสื้อแดงเลยทีเดียว สภาพทางการเมืองของทั้งเปรม และสุรยุทธ์ จึงกลายเป็นซากศพทางการเมืองทันที อยู่ต่อไปก็กลายเป็น “ต้นทุน” ที่ผู้โอบอุ้มทั้งหลายต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายอย่างเต็มที่ และผมเชื่อว่าไม่มีทางแบกไหวแน่นอน
ตอนนี้ม็อบเสื้อแดงก็จุดติดอย่างเต็มที่ เมื่อวันอังคารที่ 31 มีนาคม ที่ผ่านมา ผมก็ถือโอกาสเข้าไปร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงที่หน้าทำเนียบ หลังจากที่ติดธุระเสียนาน และไม่ได้มีโอกาสไปร่วมกับคนเสื้อแดงเสียที แม้วันนั้น จะมีคนบอกผมว่าคนไม่มากเท่ากับวันก่อนหน้านี้ เพราะเป็นวันทำงาน แต่ผมก็เห็นว่าคนเข้าร่วมชุมนุม มีจำนวนมาก เพราะถนนรอบทำเนียบทั้ง 4 ด้าน กลายเป็นที่ชุมนุมไปเสียหมด มีการตั้งจอโปรเจคเตอร์ไปรอบๆ ทำให้การปราศรัยสามารถได้ยินไปทุกที รอบๆ ทำเนียบไม่ว่าด้านใด ทั้งภาพและเสียงชัดเจน ผู้ไปร่วมชุมนุม ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่หน้าเวที ซึ่งแน่นมากแต่อย่างใด สามารถฟังคำปราศรัยได้รอบๆ และก็มีคนจำนวนมากอยู่รอบๆ นั้น ผมประมาณการณได้ว่ามีจำนวนหลายหมื่นคน เพราะพื้นที่ถนนรอบทำเนียบรัฐบาล คำนวณด้วยโปรแกรมกรูเกิลเอิร์ธแล้ว มีพื้นที่กว่า 25 ไร่ หรือ 40,000 ตร.ม. ซึ่งคำนวณตามหลักวิทยาศาสตร์ ก็น่าจะได้คนจำนวนเกิน 2-3 หมื่นคน นี่ขนาดวันนั้นมีฝนตกอย่างหนัก และไม่ใช่วันแรก จำนวนคนก็ไม่ได้ลดน้อยลงแต่อย่างใด
มีคนใช้ เครื่องวัดระยะด้วยแสงเลเซอร์ (ซึ่งหาซื้อไม่ยากในต่างประเทศ เพราะถือเป็นเครื่องมือช่างอันหนึ่ง) วันระยะคำนวณพื้นที่ จุดที่คนหนาแน่น และแบ่งการประมาณการออกเป็นโซนๆ ไป เขาคำนวณได้ไม่ต่ำกว่า 7-8 หมื่นคนรอบๆ ทำเนียบ ซึ่งความแม่นยำ เกิน 85% ขึ้นไป ซึ่งผมก็เชื่อว่าการคำนวณที่ใช้เครื่องวัดระยะ และคำนวนพื้นที่ ย่อมละเอียดกว่าที่ผมใช้กรูเกิ้ลเอิร์ธ เพราะผมใช้ความหนาแน่นเฉลี่ยๆ เอา
แต่ตัวเลขจะเท่าใดก็ตาม แต่บอกได้ว่าจำนวนคนเสื้อแดงที่ไปร่วมชุมนุมเป็นคนจำนวนมาก และส่วนใหญ่ก็เป็นคนกรุงเทพฯ เป็นม็อบแบบเข้าเวรคือ กลางวันก็ไปทำงาน กลางคืนก็ไปร่วมชุมนุมที่หน้าทำเนียบ เป็นม็อบ Walk in เสียส่วนใหญ่ แบบผลัดเวรกัน จึงสามารถอยู่ได้นานและต้นทุนไม่มีอะไรมากนัก
สถานการณ์ตอนนี้ ผมฟันธงได้เลยว่าการใช้กำลังเข้าสลายคนเสื้อแดงหน้าทำเนียบ เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้หรือทำไม่ได้ หากฝ่ายอำมาตย์ ยังคิดจะใช้กำลัง คาดว่าสถานการณ์จะบานปลาย และเกิดเป็นสงครามกลางเมือง ที่มีแต่ความร้าวลึกอย่างแน่นอน ม็อบไม่ได้อยู่แค่หน้าทำเนียบรัฐบาลเท่านั้น แต่ยังมีจำนวนมากที่เป็นเสื้อแดง แต่ยังไม่ได้มา และกระจายอยู่ตามจังหวัดต่างๆ การใช้กำลังขับไล่ออกไปจาก ถนนหน้าทำเนียบรัฐบาล จึงไม่เกิดประโยชน์แต่อย่างใด เพราะตราบใดที่ยัง "สลายเงื่อนไขในใจคนไม่ได้" ม็อบก็ไม่มีวันลดน้อยลงไปแต่อย่างใด การสร้างเงื่อนไขเพิ่ม มีแต่จะทำให้ม็อบเพิ่มมากขึ้น
วันนี้ การทำรัฐประหาร ก็ไม่มีทางเป็นไปได้แล้ว เพราะกระแสต่อต้านได้ยกระดับขึ้นอย่างรุนแรงแล้ว การเอารถถังออกมา ก็จะเจอกับคลื่นมหาชนเสื้อแดงทันที และกลายเป็นรัฐประหารเลือด แม้จะยึดอำนาจได้ แต่ก็ไม่สามารถปกครองได้ สถานการณ์จะยกระดับขึ้นไปสู่ การต่อต้านรัฐประหารของคนทั้งประเทศ ทุกวิธี สุดท้ายกำลังทหารก็ไร้ประโยชน์
ผมคาดว่ายุทธศาสตร์ต่อไปของคนเสื้อแดงคือ การมุ่งไปที่การขับไล่ พล.อ.เปรม และ พล.อ.สุรยุทธ์ออกจากตำแหน่งองคมนตรี ภายใต้แนวคิดที่ว่าสถาบันนั้นเป็นกลางทางการเมือง เมื่อสองคนนี้ มีหลักฐานอย่างชัดเจนแล้วว่า เข้ายุ่งเกี่ยวทางการเมือง ย่อมกลายเป็นที่มัวหมองของสถาบัน การปฎิเสธ ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น เพราะคนค่อนประเทศเชื่ออย่างนั้นแล้ว และคนเสื้อแดงก็ไม่หยุดแน่นอน และหากยังอุ้มสองคนนี้อยู่ หรือสองคนนี้ไม่ยอมเสียสละออกไป จะทำให้ความขัดแย้งทางการเมืองเพิ่มระดับขึ้น เป้าหมายยกระดับขึ้นอย่างชัดเจน การใช้กำลังมีแต่จะสร้าง “หลักฐานว่าเกี่ยวข้องทางการเมืองมากขึ้น “กลายเป็นคู่กรณีมากขึ้น
วันนี้ ความขัดแย้งจะยุติได้ มีเพียงแต่ต้อง “ตกลงกติกาที่เป็นธรรม” เช่น เอา รธน. ปี 2540 กลับคืนมา ยุบเลิกองค์กรอิสระที่เกิดขึ้นหลังรัฐประหาร และผู้มีบารมีทั้งหลายต้องถอนตัวออกไป และไม่มีการแทรกแซงทั้งในที่ลับและทีแจ้ง
แต่ผมเชื่อว่าพวกเขาทำไม่ได้ สุดท้ายก็จะเหมือนกับประเทศอื่นๆ ทั้งหลาย คือ เกิดการปรับเปลี่ยนโครงสร้างครั้งใหญ่ และอำมาตยาธิปไตย โดนทำลายล้างไปด้วยอำนาจของประชาชน
เมื่อประชาชนตื่นขึ้นแล้ว อำนาจของอำมาตยาธิปไตย ย่อมสิ้นสุดลง คงไม่มีประชาชนประเทศใด ยอมให้คนส่วนน้อยเข้ามาบงการชีวิตและความเป็นอยู่พวกเขาได้ คงไม่มีไพร่ที่ปลดแอกทางความคิดของตนเองแล้ว ยอมให้ “ขุนนาง” มีอิทธิพลและบารมีทางการเมืองอยู่ต่อไปแน่
สงครามครั้งนี้ยกระดับขึ้นแล้ว และวันที่ 8 เมษายน 2552 ก็ถือเป็นวัน D_Day ของฝ่ายประชาชนแล้ว เปิดศึกกันเต็มที่ ประเทศไทยไม่มีทางกลับไปเหมือนเดิมได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าผลสรุปจะออกมาอย่างไร ประชาชนก็ไม่มีทางแพ้
มีแต่ตัดอวัยวะเพื่อรักษาชีวิตเท่านั้น สิ่งที่เก่าแก่ของบ้านเมืองจึงจะดำรงอยู่ได้ ไม่อย่างนั้นก็ถือว่าโหดร้ายต่อบรรพบุรุษที่ได้สร้างเอาไว้ให้
ปล. 1 บรรทัดสุดท้ายของผมจะมีคนเข้าใจไหมหนอ ! ผมหวังดีอย่างจริงใจนะครับ มันเป็นไปไม่ได้แล้วที่จะปราบปรามคนเสื้อแดงได้ เพราะมันจะยิ่งขยายตัวไปอย่างรวดเร็ว
ปล. 2 บอกตรงๆ ว่าขณะนี้ผมไม่ไว้ใจทหาร และผมไม่ได้คิดว่า กองทัพไทยเป็นกองทัพของชาติ และประชาชน แต่เป็นกองทัพส่วนตัวของอำมาตยาธิปไตยมากกว่า เป็นกองทัพที่สร้างขึ้นมาเพื่อควบคุมประชาชน แต่ภารกิจป้องกันชาติ ไม่เคยทำได้สำเร็จ เช่นการรักษาความไม่สงบที่ภาคใต้ก็ทำไม่ได้ผล เสียงบประมาณเลี้ยงทหารพวกนี้เอาไว้ไล่ยิงประชาชนเปล่า ๆ
เก่งนักกับการไล่ยิงประชาชนที่ไม่มีอาวุธ มีกองทัพอย่างนี้ สู้ไม่มีเสียดีกว่า