ที่มา มติชน
โดย บุญเลิศ ช้างใหญ่
คงจะมีแต่นักการเมืองในพรรคประชาธิปัตย์ พรรคร่วมรัฐบาล และพวกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเท่านั้นที่ยังประเมินคนเสื้อแดงว่า ไม่มีน้ำยา มาชุมนุมที่ทำเนียบ 3 วันก็กลับบ้าน แต่ผมมองว่า เวลานี้ใครก็หยุดเสื้อแดงไม่ได้ อีกทั้งไม่สามารถเอาชนะคนเสื้อแดงได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่ว่าจะยิงด้วยกระสุนปืน ถล่มด้วยรถถังหรือจับแกนนำเข้าคุกเข้าตะราง
ถ้ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เก่งจริงก็ต้องเข้าไปทำงานและประชุมคณะรัฐมนตรีในทำเนียบให้ได้ และควรจะพูดจาอย่างเป็นกิจจะลักษณะว่าจะคลี่คลายวิกฤตการณ์สงครามการเมืองอย่างไร และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้คนว่าจะทำได้จริงตามที่พูด แต่สิ่งที่เห็น ยังไม่ปรากฏวี่แววว่าความปั่นป่วนวุ่นวายจะสงบได้อย่างไร จะใช้เวลาอีกกี่เดือน กี่ปี
เช่นเดียวกับรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช และรัฐบาล นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งเคยประสบมาแล้ว เพราะปล่อยให้มวลชนของพันธมิตรบุกเข้าไปในทำเนียบ แถมด้วยการยึดสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมินานนับสัปดาห์โดยตำรวจ-ทหารทำอะไรไม่ได้ แม้นายสมัครจะมีอำนาจตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินสั่งให้ตำรวจ-ทหารเข้าสลายผู้ชุมนุม แต่ก็ถูกปฏิเสธจากตำรวจ-ทหารอย่างไม่มีเยื่อไย แถมยังถูก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก พูดผ่านจอโทรทัศน์บีบคั้นกลายๆ ว่าถ้าเป็นตน จะลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีภายหลังเกิดจลาจล 7 ตุลาคม 2551 เพื่อกดดันนายสมชาย แต่กลับไม่บังเกิดผล เนื่องจากนายสมชายยังเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป
การแสดงออกของคนเสื้อแดง ไม่เพียงแต่ย้อนเกล็ดพันธมิตรที่เคยทำไว้ ซึ่งพันธมิตรพูดไม่ออก หากแต่สิ่งที่คนเสื้อแดงเคลื่อนไหวกำลังเกิดความขัดแย้ง แตกแยกหนักขึ้นและกระเทือนไปถึงโครงสร้างอำนาจและสถาบันสำคัญอย่างมิอาจปฏิเสธได้
การเปิดโปง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ องคมนตรี นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ประธานศาลฎีกา นายจรัญ ภักดีธนากุล เลขาธิการประธานศาลฎีกา นายปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการอิสระที่ไปรับประทานอาหารและปรึกษาหารือกันถึงสถานการณ์การเมืองที่บ้านนายปีย์ มาลากุล ย่านสุขุมวิท โดย พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี หนึ่งในผู้เข้าร่วมได้ออกมายืนยัน
การโจมตี ควบคู่ไปกับการขุดคุ้ยเรื่องอื่นๆ และเรียกร้องโดยแกนนำคนเสื้อแดงให้ พล.อ.เปรม พล.อ.สุรยุทธ์และนายชาญชัยลาออก สร้างผลกระทบต่อสถาบันองคมนตรีและยังเป็นที่ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท
แม้ว่า พล.อ.เปรมและ พล.อ.สุรยุทธ์จะออกมาชี้แจงด้วยตนเองหรือคนใกลชิดอย่างไร แต่การเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองและผูกโยงเป็นตัวละครสำคัญจนนำไปสู่การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ตามข้อเท็จจริง ถึงจะโต้เถียงกันแบบไหน ก็มิอาจรักษาภาพของการเป็นองคมนตรีให้บริสุทธิ์ผุดผ่องได้ ยิ่งปล่อยให้คนเสื้อแดงปราศรัยไปเรื่อยๆ ก็รังแต่จะทำให้ผู้ถูกกล่าวถึงถูกฉีกเนื้อเป็นชิ้นๆ แล้วเอาเกลือทาไปมากขึ้นเท่านั้น
พรรคประชาธิปัตย์ในฐานะพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล มีนายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรองนายกรัฐมนตรี แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลบางส่วนก็โดนคนเสื้อแดงโจมตีไปพร้อมๆ กันด้วยข้อกล่าวหาที่ว่า เป็นรัฐบาลด้วยความไม่ชอบธรรมและอื่นๆ อีกหลายกรณี
องค์กรตรวจสอบหลายองค์กรที่เกิดขึ้นหลังการรัฐประหาร การพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองให้จำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นเวลา 2 ปี ในคดีจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ ฯลฯ ก็ถูกคนเสื้อแดงโจมตีโดยไม่มีอะไรต้องเกรงใจ
การโฟนอินและการปรากฏภาพมายังที่ชุมนุมคนเสื้อแดงผ่านวิดิโอลิงก์ของ พ.ต.ท.ทักษิณสามารถปลุกจิตใจคนเสื้อแดงให้รวมพลังกันต่อสู้โดยชูประเด็น ประชาธิปไตยและความเป็นธรรมที่จะต้องเรียกร้องเอากลับคืนมาเป็นประเด็นสำคัญ ถึงจะทำให้บ้านเมืองเจริญได้ซึ่งได้รับการตอบรับจากคนเสื้อแดง นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณยังประกาศจะเดินทางเข้าประเทศไทยทันทีและพร้อมเดินนำหน้าคนเสื้อแดงเข้ากรุงเทพฯ หากทหารยิงคนเสื้อแดงตายแม้เพียงนัดเดียว
จากระบบการสื่อสารที่ทันสมัย มวลชนคนเสื้อแดงรับข่าวสารผ่านทีวีดาวเทียม ดี สเตชั่น ผ่านเว็บไซต์ ผ่านวิทยุชุมชน ประสานเข้ากับข่าวสารจากสื่อมวลชนกระแสหลักทั้งหนังสือพิมพ์ วิทยุและโทรทัศน์ ทำให้คนเสื้อแดงยกระดับความคิดและพร้อมจะเข้าร่วมขบวนการต่อสู้ที่ทำโดย พ.ต.ท.ทักษิณและแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)
ข้อเสนอของ พ.ต.ท.ทักษิณที่ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 จากนั้นให้นายอภิสิทธิ์ยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่แล้วให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน โดยอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คนลงแข่งขัน ได้ถูกนายอภิสิทธิ์ปฏิเสธทันที ต่อมานายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำ นปช.เสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 จากนั้นให้นายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราชมาเป็นนายกรัฐมนตรีช่วงสั้นๆ เพียงแค่ 45 วัน ซึ่งเป็นช่วงที่รัฐสภาจะพร้อมใจกันแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 แล้วค่อยยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ก็ถูกรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ปฏิเสธอีก
ขณะเดียวกัน คนของพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่นายกรัฐมนตรีลงมาถึงรัฐมนตรี และ ส.ส.ก็คิดจะหาทางตัดสัญญาณมิให้ พ.ต.ท.ทักษิณโฟนอินและการแพร่ภาพและเสียงผ่านวิดีโอลิงก์ การไล่ล่าหวังจะยึดพาสปอร์ตคืน รวมถึงการตามจับกุมตัวมารับโทษจำคุกในประเทศไทย โดยที่คนเหล่านี้คิดว่าจะทำได้ไม่ยากและเรื่องจะจบถ้าหากทำได้ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ตรงกันข้ามกลับจะทำให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟเร็วขึ้น ดังที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ เคยประกาศไว้
อย่าเพิ่งเอาตัว พ.ต.ท.ทักษิณมาติดคุกในประเทศไทยเลย ถ้ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์มั่นใจว่าจะปราบ พ.ต.ท.ทักษิณได้ เอาแค่ถอดยศ พ.ต.ท.ให้เหลือแค่นายนำหน้าชื่อ "ทักษิณ" ซึ่งง่ายที่สุดโดยเรื่องวางอยู่บนโต๊ะ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมานานเป็นเดือนๆ ทำไมจึงไม่กล้าถอดยศ
การแก้วิกฤตสงครามการเมืองจะไม่เกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าหากฝ่ายที่ขัดแย้งกันอยู่ ประกอบด้วย รัฐบาล พรรคฝ่ายค้าน ผู้นำเหล่าทัพ นปช. พันธมิตร ฯลฯ ไม่มีข้อเสนอและไม่ยอมรับการประนีประนอมซึ่งต้องอาศัยความกล้าหาญและการรู้จักอภัยอันจะนำไปสู่การเริ่มต้นใหม่
การเอาชนะอย่างเดียว โดยคิดว่าฝ่ายตนเท่านั้นที่ถูกต้องและถ้ายอมให้อีกฝ่ายหนึ่งจะทำให้ฝ่ายตนเสียเปรียบ ขาดทุน ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณและคนเสื้อแดงจะสู้ไปตามแนวทางของตน ฝ่ายตรงข้ามจะก่นด่า จะประณามเพียงไหน นอกจากจะหยุดคนเสื้อแดงและ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้แล้ว ยังจะสร้างความโกรธแค้นที่อาจกระทำการรุนแรงอะไรก็ได้ตามอุดมการณ์และความเชื่อของตนเมื่อถึงจุดๆ หนึ่งที่คนเหล่านี้หมดความอดทน อดกลั้น
วิกฤตครั้งนี้ เป็นหน้าที่ของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ในการแก้ไข เพื่อนำความสงบสุขและความปรองดองมาสู่ประเทศชาติ