ที่มา ประชาไท
กิจกรรมนี้เกิดขึ้นจากทีมนักแปลอาสาสมัครที่อยากให้สาธารณชนได้บริโภคข่าวสารอย่างรอบด้าน เนื่องเพราะเห็นว่าสื่อสารมวลชนของไทยมีปัญหาเรื่องการทำงานในสถานการณ์วิกฤตินี้ เราจึงเลือกแปลข่าวของสื่อต่างชาติที่ยังสามารถทำงานตามหลักการวิชาชีพได้โดยไม่มีอคติต่อฝ่ายใด และไม่มีอำนาจรัฐมาครอบงำ
ทีมแปลข่าวเฉพาะกิจ แปลจาก: The crushing of the Red Shirtsby Nick Nostitz , New Mandala, April 20th 2009,
http://rspas.anu.edu.au/rmap/newmandala/2009/04/20/the-crushing-of-the-red-shirts/
ผมไม่สามารถนำเสนอภาพการปราบปรามผู้ชุมนุมเสื้อแดงที่สมบูรณ์และสาเหตุที่นำไปสู่เหตุการณ์ทั้งหมดได้ ผมไม่สามารถทำได้ในตอนนี้และไม่แน่ใจว่าจะทำได้ในอนาคต ผมมีแค่ภาพต่าง ๆ ของสถานที่ที่ผมไปถ่ายรูปหลังจากเหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายไปแล้ว ผมห่างเหินจากการติดตามข่าวมาหลายสัปดาห์ จึงไม่สามารถวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นได้ ในช่วงนี้ผมไม่ได้อ่านข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ เพราะต้องการเก็บความทรงจำแบบที่ยังไม่ผ่านการกลั่นกรองไว้ให้มากที่สุด ฉะนั้น ผมขอร้องผู้อ่านว่าอย่ายึดถือสิ่งที่ผมจะเขียนต่อไปนี้ว่าเป็นภาพสมบูรณ์ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด บทความนี้เป็นเพียงการถ่ายทอดในมุมมองส่วนตัวของผมที่มีอยู่อย่างจำกัดเกี่ยวกับวันเวลาอันเลวร้ายที่ผ่านมา ผมเองทำงานตลอดแทบไม่ได้หยุดพักหรือได้นอนน้อยมาก บทความนี้คือประสบการณ์ที่ผมเจอด้วยตัวเองและถ่ายภาพไว้ จริงๆแล้วมีบทความจากนักข่าวหลายคนที่เขียนได้ดีกว่าผมมาก ดังนั้นผมจึงจะขอบรรยายเท่าที่ผมพบเห็นจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนท้องถนน ผมพยายามอยู่ห่างไกลจากข่าวลือให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ถ้าหากทำเช่นนั้นไม่ได้เพราะข่าวลือมักสร้างมุมมองของคนต่อเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง ผมจะเขียนให้ผู้อ่านสามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจน ขณะที่เขียนบทความชิ้นนี้ ผมยังเหนื่อยล้าทั้งกายและใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากหลายวันมานี้เป็นช่วงเวลาที่เครียดมากสำหรับผม ดังนั้น ผมจึงขออภัยสำหรับความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นไว้ ณ ที่นี้
วันที่26 มีนาคมท่ามกลางอากาศที่ร้อนอบอ้าว ผู้ชุมนุมเสื้อแดงจำนวนประมาณ 20,000-30,000 คนรวมตัวกันที่ท้องสนามหลวงก่อนที่จะเดินขบวนไปยังทำเนียบรัฐบาล ไฮไลท์ของการเดินขบวนครั้งนี้คือการนำรถเครนมาย้ายตู้คอนเทนเนอร์บรรจุทรายที่เจ้าหน้าที่รัฐนำมาสกัดกั้นไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ชุมนุมเข้ามาปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล ไม่นานนัก ตู้คอนเทนเนอร์เหล่านั้นก็ถูกเคลื่อนออกไป โดยคอนเทนเนอร์สองตู้ถูกยกทิ้งลงไปในคลองฝั่งตรงข้ามประตูหลักของทำเนียบฯ
คนสลับสับเปลี่ยนกันขึ้นไปปราศรัยบนเวทีที่ถูกสร้างขึ้น ไม่มีความรุนแรงใดๆหรือความพยายามอันใดของผู้ชุมนุมที่จะบุกเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล มีตลาดเกิดขึ้นตามปกติเมื่อมีการชุมนุม ไม่ว่าจะเป็นซุ้มนวดแผนโบราณ ซุ้มขายผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับเสื้อแดงและซุ้มอาหาร ตำรวจเดินปะปนกับผู้ชุมนุม ตำรวจส่วนใหญ่ที่ผมถามล้วนสนับสนุนคนเสื้อแดง โดยมีคำพูดที่ได้ยินบ่อยๆคือ “ผมเป็นกลางนะแต่หัวใจผมสีแดง” ตำรวจเหล่านี้เล่าว่าครอบครัวของพวกเขาต่างเชียร์คนเสื้อแดง บางคนถึงกับเปลี่ยนมาใส่เสื้อแดงหลังจากเลิกเวร (ผมไม่ขอแสดงภาพเจ้าหน้าที่เหล่านี้ในตอนนี้ เพราะไม่อยากให้พวกเขาโดนสอบสวนทางวินัย)
วันที่27มีนาคม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรได้วิดีโอลิงค์มาถึงกลุ่มคนเสื้อแดงเป็นครั้งแรก เนื้อหาที่พูดแตกต่างจากการโฟนอินหลายครั้งก่อนหน้านี้ ครั้งนี้ไม่มีการพูดจาหวานหูแบบเดิมๆเช่น “ผมคิดถึงพี่น้อง พี่น้องคิดถึงผมบ้างไหม” แต่เป็นการโจมตีประธานองคมนตรี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์และองคมนตรีคนอื่นๆ ในฐานะที่สนับสนุนการทำรัฐประหาร พ.ศ.2549 อย่างรุนแรง นอกจากนั้น เขายังเรียกร้องให้นำประชาธิปไตยกลับมาสู่ประเทศไทย จบคำกล่าวปราศรัย ผู้ชุมนุมโห่ร้องสนับสนุน
การปราศรัยบนเวทีเต็มไปด้วยถ้อยคำโจมตีรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ทหาร และองคมนตรี โดยใช้คำว่า “อำมาตยาธิปไตย” – ซึ่งคำนิยามที่น่าจะเหมาะสมที่สุดคงจะเป็น “การปกครองของชนชั้นนำดั้งเดิม”
รัฐบาลคาดการณ์ว่าการชุมนุมจะยุติในวันที่ 29 มีนาคม เพราะวันรุ่งขึ้นจะมีการจัดงานกาชาด แต่ผู้ชุมนุมยังคงปักหลักอยู่ที่เดิม สื่อมวลชนคาดการณ์ว่ามวลชนของกลุ่มเสื้อแดงจะลดน้อยลง แต่ทุกค่ำคืน ผู้คนจำนวนนับหมื่นยังคงมาชุมนุมอยู่บริเวณทำเนียบรัฐบาล ไม่เพียงแต่คนจากชนบทที่มาร่วมชุมนุมเท่านั้น แต่มีชนชั้นกลางจากกรุงเทพฯมาร่วมชุมนุมมากขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน มีคนบอกผมว่า แม้แต่สมาชิกเครือข่ายสิบสี่ตุลาฯที่เคยเป็นแนวร่วมของพันธมิตรฯ ยังแวะเวียนมาเยี่ยมกลุ่มคนเสื้อแดงหลังเวที แสดงให้เห็นสัญญาณการย้ายข้าง
ช่วงเช้าของวันที่ 30 มีนาคม มีข่าวลือว่า ตำรวจจะเข้าสลายการชุมนุม ตำรวจกลุ่มเล็กๆรวมตัวกัน มีคนบอกผมว่านี่เป็นอุบายของรัฐบาลที่ต้องการให้ผู้ชุมนุมอยู่บริเวณทำเนียบรัฐบาล เพื่อที่นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะจะได้เดินทางไปประชุมที่อาคารสหประชาชาติซึ่งอยู่ใกล้ๆโดยไม่ถูกผู้ชุมนุมก่อกวน
ผู้ชุมนุมเสื้อแดงในบางจังหวัดได้ยึดศาลากลางจังหวัดเพื่อใช้เป็นที่ชุมนุมสนับสนุนการประท้วงของกลุ่มเสื้อแดงในกรุงเทพฯ
ส่วนในกรุงเทพฯ แกนนำเสื้อแดงและการ์ดพยายามควบคุมให้การชุมนุมเป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย มีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบพยายามแฝงตัวเข้าไปปะปนกับกลุ่มผู้ชุมนุม แต่ถูกการ์ดเสื้อแดงจับกุมตัวไว้ได้ (ส่วนใหญ่เป็นเพราะคนเหล่านี้พกปืนซึ่งถูกตรวจพบบริเวณทางเข้า) การ์ดพาพวกเขาไปทางด้านหลังเวทีและส่งตัวให้กับตำรวจ นอกจากนั้นยังมีรายงานว่า ผู้ชุมนุมเสื้อแดงที่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้สองสามคนทำร้ายผู้หญิงและข้าราชการต่างจังหวัดคนหนึ่งซึ่งสวมเสื้อเหลือง แต่การ์ดเสื้อแดงได้เข้าไปห้ามไว้
ช่วงบ่ายของวันที่ 30 มีนาคม ผู้ชุมนุมพันธมิตรราว 500 ถึง1,000 คนรวมทั้งการ์ดอีกจำนวนหนึ่งประท้วงอยู่หน้าสถานีตำรวจแห่งชาติ ตรงข้ามห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ มีข่าวลือว่าหลังจากเลิกการชุมนุม พวกเขาจะไปโจมตีสถานีวิทยุชุมชนของกลุ่มคนขับแท็กซี่ที่วิภาวดี ซอย 3 บริเวณดังกล่าวมีคนขับแท็กซี่จำนวนหลักร้อยขึ้นไปรวมตัวกันอยู่ อย่างไรก็ตามไม่มีเหตุร้ายอะไรเกิดขึ้น
ผมเริ่มวิตกอย่างมากเมื่อแกนนำเสื้อแดงประกาศวันดีเดย์และว่าจะเดินขบวนไปบ้านของพล.อ. เปรม คำถามคือกองทัพจะรับมือด้วยวิธีไหน? ฝ่ายพันธมิตรบางคนเคยบอกผมว่าพวกเขามองว่าการโจมตีพล.อ. เปรมเทียบเท่ากับการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และพวกเขายอมรับไม่ได้ ผมกลัวว่ากลุ่มเสื้อแดงอาจตั้งเป้าสูงเกินไป ประเมินกำลังมวลชนสูงเกินไป และประเมินความไม่พอใจของฝ่ายทหารต่ำเกินไปจะก้าวพลาด ความกลัวของผมเพิ่มมากขึ้นเมื่อจักรภพ เพ็ญแขออกมาประกาศว่า ผู้ชุมนุมเสื้อแดงตัดสินใจที่จะชุมนุมบริเวณทำเนียบรัฐบาลต่อไปอย่างไม่มีกำหนด
วันที่4เมษายน ผมเดินทางไปจังหวัดอุดรธานีเพื่อทำหน้าที่รายงานข่าวให้สำนักข่าวฝรั่งแห่งหนึ่ง ในวันดังกล่าว กลุ่มคนรักอุดรได้จัดกิจกรรมระดมทุนเนื่องในโอกาสที่สถานีวิทยุชุมชนมีอายุครบ 3 ปี บริเวณหน้าสถานีมีการจัดเวทีและงานเลี้ยงโต๊ะจีน จำนวน 430 โต๊ะ โต๊ะหนึ่งมี 10 ที่นั่ง ราคาโต๊ะละ 2,000 บาท ทุกโต๊ะขายหมดก่อนวันงาน
ผมรู้สึกแปลกใจที่เจอหมอเหวงและวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย สองแกนนำหลักของกลุ่มเสื้อแดงที่นี่ ทีมข่าวสัมภาษณ์หมอเหวงในวิทยุ และหลังจากนั้นไม่นาน หมอเหวงจึงขอตัวกลับเพื่อเดินทางไปประชุมต่อยังจังหวัดข้างเคียง
ผู้คนเริ่มทยอยเดินทางมาถึงงานในช่วงพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน ในงานมีแขกเหรื่อราว 5,000 คน นักร้องร้องเพลงบนเวที ตามด้วยการกล่าวปราศรัยบนเวที ทักษิณโฟนอินเข้ามา เขาพูดชักจูงให้คนเสื้อแดงเชื่อว่าพวกเขาจะได้รับชัยชนะ จากนั้นขวัญชัย ไพรพนาประกาศว่า ได้จ้างรถบัสจำนวน 50 คันซึ่งจะสามารถบรรทุกผู้โดยสารจำนวน 2,500 คนไปชุมนุมที่กรุงเทพฯ ก่อนที่แขกเหรื่อจะช่วยกันสมทบทุน
งานเลี้ยงต้องสิ้นสุดลงก่อนกำหนดเนื่องจากพายุฝนพัดมา
ในวันถัดมา เราเดินทางไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งสนับสนุนกลุ่มเสื้อแดง ที่ศาลาหมู่บ้าน ชาวบ้านจำนวนมากมานั่งรอทีมนักข่าวต่างประเทศที่จะมาพูดคุย ทีมนักข่าวเดินทางไปสัมภาษณ์ชาวบ้านที่บ้านหลังหนึ่งเกี่ยวกับชีวิตของเขา และทำไมเขาจึงสนับสนุนการเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงและทักษิณ จากนั้นเราเดินทางไปรับประทานอาหารกลางวันพร้อมกับขวัญชัย ไพรพนา เมื่อเจ้าของร้านเห็นขวัญชัย เขายื่นซองเงินบริจาคที่รวบรวมมาจากพนักงานในร้านมอบให้กลุ่มคนรักอุดรฯ
เมื่อผมกลับมากรุงเทพฯ กลุ่มเสื้อแดงเตรียมพร้อมแล้วสำหรับวันดีเดย์ วันที่ 7 เมษายนมีข่าวว่าผู้ชุมนุมที่สนับสนุน พล.อ. เปรมกลุ่มใหม่ได้รวมตัวกันหน้าบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ ผู้ชุมนุมเหล่านี้สวมผ้าพันคอสีฟ้าและเรียกตัวเองว่า “กลุ่มรักแผ่นดินเกิด” โดยอ้างว่าเป็นประชาชนที่รวมตัวกันขึ้นเอง เมื่อผมซักถาม สมาชิกจำนวนหนึ่งกลับมีปัญหาในการจดจำชื่อกลุ่มและตอบผมแบบอ้ำอึ้ง พวกเขาเดินเข้าออกด่านทหารที่ตั้งอยู่ถัดจากบ้าน พล.อ. เปรมและอยู่รวมคลุกคลีกับทหารที่ด่าน ในกลุ่มคนเหล่านั้น ผมเจอการ์ดพันธมิตรหลายคนที่เคยพบกันเมื่อครั้งพันธมิตรชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาลปีที่แล้วและหลายคนก็จำผมได้ดี
วันที่ 8 เมษา กลุ่มเสื้อแดงเริ่มเดินขบวนไปบ้าน พล.อ. เปรม ตอนแรกมีการประกาศให้ผู้ชุมนุมมาเจอกันเวลาสิบโมงเช้าและจะออกเดินทางตอนบ่าย แต่ขบวนกลับออกเดินทางเร็วกว่ากำหนดมาก ผมเดินทางมาถึงทันเวลาพอดีกับที่ผู้ชุมนุมเริ่มตั้งแถวบนถนนศรีอยุธยาใกล้ๆกับลานพระบรมรูปทรงม้า ตำรวจบอกผมว่าพวกเขาได้ส่งผู้ชุมนุมผ้าพันคอสีฟ้ากลับบ้านเรียบร้อยแล้วตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า ตอนนั้นผู้ชุมนุมผ้าพันคอฟ้าอยู่ประมาณ 300 คน
เมื่อเดินทางไปถึง กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงจำนวนมากล้อมบ้านพล.อ. เปรมไว้ ไม่มีความรุนแรงใดๆเกิดขึ้น ผมอยู่ที่นั่นสักพักจึงตัดสินใจกลับบ้านและกลับมาที่นี่อีกครั้งช่วงหัวค่ำ ผมไม่กล้าคาดเดาตัวเลขของผู้ที่มาร่วมชุมนุม แกนนำเสื้อแดงอ้างว่ามีประมาณสามแสนคน ในขณะที่ตำรวจอ้างว่ามีมากกว่าหนึ่งแสนคนขึ้นไป (ผมค่อนข้างเชื่อตัวเลขของตำรวจมากกว่า เพราะเขาดูจากภาพทางดาวเทียมซึ่งคำนวณจำนวนคนต่อพื้นที่หนึ่งตารางเมตร) อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้ถือเป็นการชุมนุมที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาตั้งแต่วิกฤติการเมืองไทยในรอบสามปีเศษ เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว การชุมนุมแต่ละครั้งของกลุ่มพันธมิตรจึงดูแคระแกรนไปถนัดตา ถนนศรีอยุธยาทั้งสายเนืองแน่นไปด้วยผู้ชุมนุมเสื้อแดง ไม่นับบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้าและถนนอีกหลายสายที่ล้อมรอบทำเนียบรัฐบาล แต่ละจุดมีเวทีเคลื่อนที่และวงดนตรีเล็กๆที่เล่นดนตรีแนวร็อคอีสานคอยสร้างความบันเทิงให้แก่ผู้ชุมนุมที่พากันเต้นตามจังหวะอย่างสนุกสนาน
วันถัดมา 9 เมษายน กลุ่มเสื้อแดงเริ่มปิดถนน ช่วงแรกผู้ชุมนุมกระจายไปตามจุดต่างๆ ผมตามกลุ่มผู้ชุมนุมที่นำโดยขวัญชัย ไพรพนาและกลุ่มคนรักอุดรฯไปปักหลักหน้าที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์
ผมได้ข่าวมาว่ากลุ่มคนขับแท็กซี่พากันปิดถนนหลายสายโดยดำเนินการกันเอง จุดแรกที่ผมเดินทางไปถึงคือสี่แยกพระรามสี่/ราชวิถี ก่อนจะต่อไปยังอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เท่าที่ผมเห็น ณ ตอนนี้ สถานการณ์ยังอยู่ในขอบเขตที่ผมเรียกว่าเป็นการประท้วงแบบอารยะขัดขืนและการชุมนุมแบบสันติวิธี
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ส่อเค้าความตึงเครียดอย่างมาก เมื่อตำรวจปรากฏตัวออกมาจากทางด่วน อารมณ์ของผู้ชุมนุมกระเพื่อมขึ้นอย่างรุนแรง หากรัฐบาลเดินแต้มผิดพลาดเพียงก้าวเดียว ผมรู้สึกได้ว่าอารมณ์ของผู้ชุมนุมขณะนี้สามารถแกว่งได้ตลอดเวลา ในที่สุดตำรวจล่าถอยไป
เวลาหกโมงเย็น พายุฝนพัดมา ผมจึงปลีกตัวกลับบ้านและกลับมาอีกทีตอนดึก บรรยากาศโดยรอบช่างน่ามหัศจรรย์และเข้มข้นมาก ผมถ่ายภาพผู้ชุมนุมกลุ่มหนึ่งซึ่งส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นพร้อมรถลากและเครื่องเสียงที่เปิดเสียงเบสดังกระหึ่ม พวกเขาเต้นไปรอบๆ สาดน้ำใส่กัน ชวนให้ผมนึกถึงการเต้นรำของชนพื้นเมืองแอฟริกัน ส่วนบนเวทีเคลื่อนที่ การปราศรัยยังคงดำเนินต่อไป ผมจำได้ว่าเห็นจักรภพ เพ็ญแขบนเวทีด้วย
ระหว่างทางกลับบ้าน ผมถ่ายภาพตำรวจ/ทหารที่กำลังปิดกั้นถนนบริเวณสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินใกล้ๆบ้านผม
วันรุ่งขึ้น ผมไปที่ที่มีการปิดถนนสุทธิสาร/วิภาวดีรังสิต สำหรับผม การปิดถนนครั้งนี้นับว่าน่าตรึงตาใจที่สุด ถนนวิภาวดีรังสิตทั้งสายว่างเปล่า ตรงที่ปิดถนน มีชาวบ้านพร้อมครอบครัวออกมายืนปะปนกับผู้ชุมนุมเสื้อแดงที่มาจากที่ต่าง ๆ นอกจากนั้นยังมีเวทีเคลื่อนที่เล็กๆตั้งอยู่ใต้ทางด่วนในละแวกเดียวกัน
คืนนั้นผมตัดสินใจว่าจะติดตามผู้ชุมนุมเสื้อแดงไปพัทยา ก่อนหน้านี้ ในวันที่ 7 เมษายน เกิดเหตุการณ์ผู้ชุมนุมเสื้อแดงที่นั่นรุมทุบรถนายกฯอภิสิทธิ์ เท่าที่ตัวผมซึ่งอยู่กรุงเทพฯพอจะประเมินได้ คิดว่าบรรยากาศการเมืองที่พัทยาค่อนข้างร้อนระอุ เพื่อนของผมที่ปักหลักอยู่ที่นั่นบอกว่ามีการชุมนุมของกลุ่มเสื้อน้ำเงิน และเกิดการปะทะกันเล็กน้อยระหว่างกลุ่มเสื้อแดงและเสื้อน้ำเงิน โดยฝ่ายเสื้อแดงบางคนถูกก้อนหินปาใส่จนบาดเจ็บ ก่อนหน้านี้ผมเคยพยายามค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลุ่มเสื้อน้ำเงิน ซึ่งมีข่าวลือว่าเป็นกลุ่มที่ถูกจัดตั้งโดยเนวิน และช่วงที่เริ่มประท้วงใหม่ๆ ก็มีคนเคยพบคนกลุ่มนี้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ แต่การไปพัทยาครั้งนี้ก็ไม่ได้ช่วยให้การตรวจสอบของผมสัมฤทธิ์ผล
รถยนต์กว่าร้อยคัน รวมทั้งแท็กซี่และรถปิคอัพ บรรทุกคนเสื้อแดงออกเดินทางจากกรุงเทพฯมุ่งหน้าไปพัทยาเพื่อไปร่วมชุมนุม ระหว่างทางมีการปิดกั้นถนนเป็นเหตุให้จราจรชะงักงัน ถนนรอบๆตัวเมืองพัทยาถูกปิดเป็นระยะเวลาสั้นๆก่อนจะเปิดให้รถผ่านไปได้
เวลาหกโมงเช้า ผมเดินทางไปเขตรักษาความปลอดภัยรอบๆโรงแรมรอยัลคลิฟ กองกำลังรักษาความมั่นคงกำลังปิดกั้นถนนอยู่บริเวณด้านล่างของเนินเขา โดยมีตำรวจตระเวนชายแดนตั้งเป็นด่านแรก ทหารเรียงอยู่แถวที่สอง ตอนนั้นผมอยู่ที่สถานีตำรวจท่องเที่ยวซึ่งอยู่ระหว่างทางขึ้นเนินเขา แล้วทันใดนั้นเอง ผมเห็นกลุ่มเสื้อน้ำเงินหลายร้อยคนเดินออกมาจากเขตรักษาความปลอดภัย มีรถปิกอัพสีน้ำเงินบรรทุกคนเสื้อน้ำเงินพร้อมไม้หน้าสามอยู่ท้ายกระบะ ผมถ่ายรูปไว้โดยไม่สนใจที่คนเหล่านั้นห้าม ทหารนายหนึ่งบอกพวกเขาให้ขับรถลงไปตามถนน ผมจึงเดินเท้าตามไป ตรงเชิงเนิน มีกลุ่มคนเสื้อน้ำเงินอีกจำนวนหนึ่งปักหลักอยู่บริเวณที่ปิดกั้นถนน กลุ่มคนเสื้อน้ำเงินหลายคนแบกไม้หน้าสามเดินทะลุผ่านแถวทหารและตำรวจตระเวนชายแดนออกมา และเดินแจกไม้หน้าสามให้สมาชิกที่เรียงรายอยู่หน้าแถวของตำรวจตระเวนชายแดน ผมจำได้ว่า คนเสื้อน้ำเงินบางคนเคยเป็นการ์ดพันธมิตร และพวกเขาก็จำผมได้เหมือนกัน เพราะเคยเจอกันตอนยึดทำเนียบรัฐบาล ส่วนคนเสื้อน้ำเงินที่เหลือดูคล้ายทหารมาก (ตอนหลังมีคนบอกผมว่า พวกเขาเป็นทหารเรือจากสัตหีบ)
ไม่นานนัก ผู้ชุมนุมเสื้อแดงกลุ่มใหญ่ปรากฏตัวพร้อมกับเวทีเคลื่อนที่ ตอนแรกมีการโต้เถียงกันระหว่างกลุ่มเสื้อแดงและเสื้อน้ำเงินผ่านเครื่องเสียง หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งสองกลุ่มเผชิญหน้ากันในระยะ 200 เมตร คุณนิรมาล โฆษะซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของถนนโทรมาบอกผมว่า ตรงจุดที่เขายืนมีการปะทะกันสั้นๆระหว่างเสื้อแดงและเสื้อน้ำเงินเกิดขึ้นแล้ว แต่พอมีระเบิดเล็ก ๆ ลูกหนึ่งถูกเขวี้ยงมา เสื้อน้ำเงินก็ถอยไปหลบหลังทหารที่ยืนเรียงแถวอยู่ ส่วนบริเวณที่ผมยืนอยู่ การปะทะระหว่างทั้งสองฝ่ายกำลังเริ่มขึ้น ผู้ชุมนุมเสื้อแดงกว่า 1,000 คนกำลังยืนประจันหน้ากับกลุ่มเสื้อน้ำเงินซึ่งมีประมาณ 300 คน ห่างกันประมาณ
ผมเดินกลับขึ้นไปสังเกตการณ์บนเนินเขา มีผู้ชุมนุมเสื้อแดงกลุ่มใหญ่รวมตัวอยู่หน้าโรงแรมที่มีการจัดประชุมอาเซียนซัมมิท ดูเหมือนว่ามีผู้ชุมนุมเสื้อแดง 1-2 คนถูกฝ่ายเสื้อน้ำเงินยิงได้รับบาดเจ็บ แต่ผมยังสับสนอยู่ว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงที่มีการปะทะกันสั้นๆหรือในคืนก่อนหน้านั้นกันแน่ อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำเสื้อแดงเรียกร้องให้รัฐบาลนำตัวกลุ่มเสื้อน้ำเงินมาลงโทษ เขาจัดแถลงข่าวบริเวณทางเข้าด้านในอาคารที่จัดประชุม ผู้ชุมนุมเสื้อแดงหลายคนโชว์ถุงใส่เสื้อน้ำเงินที่พวกเขาเจอระหว่างเข้ามาโรงแรม หลังจากนั้นประมาณหนึ่งถึงสองชั่วโมง กลุ่มเสื้อแดงเดินตรงเข้ามายังบริเวณลานด้านหน้าประตูโรงแรม ดูเหมือนทหารและตำรวจที่ยืนอยู่บริเวณนั้นทำอะไรไม่ถูก ทันใดนั้น ผู้ชุมนุมที่ยืนอยู่ตรงประตูหน้าเริ่มผลักดันกันเข้าไปในโรงแรม เป็นเหตุให้กระจกบานใหญ่แตกทันที ก่อนที่จะสามารถเข้าไปในโรงแรมได้ในที่สุด ผมยืนตะลึงและปล่อยให้ตัวเองถูกผลักเข้าไปตามกระแสคลื่นของผู้ประท้วงเสื้อแดงที่ไหลบ่าเหมือนสายน้ำหลาก นักข่าว แขกที่มาร่วมงาน ผู้สังเกตการณ์ รวมทั้งนักท่องเที่ยวซึ่งอยู่ในชุดว่ายน้ำมองดูเหตุการณ์อย่างตะลึงงัน ผู้ชุมนุมเสื้อแดงที่ยืนอยู่ข้างๆนำมือถืออกมาถ่ายรูป และนักท่องเที่ยวก็ถ่ายรูปผู้ชุมนุม ไม่มีความรุนแรงใดๆเกิดขึ้น ช่างเป็นภาพที่แปลกประหลาดและเซอร์เรียลมาก ทหารวิ่งมาป้องกันประตูทางเข้าหลักของโรงแรม แต่ผู้ชุมนุมไม่สนใจ พวกเขาใช้ประตูทางเข้าด้านข้างแทนและพากันเดินขวักไขว่ตามหาตัวนายกฯอภิสิทธิ์ โดยทั่วไปแล้ว แม้ผู้ประท้วงจะส่งเสียงดังโหวกเหวก แต่ยังปฏิบัติตัวเรียบร้อยดี
หลังจากนั้นราวครึ่งชั่วโมง ผู้ชุมนุมเสื้อแดงพากันออกจากโรงแรม ผมถ่ายภาพทหารหนุ่มที่เป็นลมล้มพับเนื่องจากยืนตากแดดและร่างกายขาดน้ำ ทหารแพทย์เข้ามาช่วยเหลือ โดยมีหญิงมีอายุสวมเสื้อแดงคอยช่วยบีบนวดให้ ต่อมานายกฯอภิสิทธิ์ประกาศให้ชลบุรีและพัทยาเป็นเขตภาวะฉุกเฉิน กลุ่มเสื้อแดงจึงพากันเดินทางกลับไปที่ชุมนุมหลังห้างบิ๊กซี พัทยาเหนือ ก่อนตัดสินใจเดินทางกลับกรุงเทพฯในที่สุด
วันที่ 12 เมษายน ผมได้รับข่าวว่าอริสมันต์ถูกจับกุม บริเวณหน้าศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก กลุ่มเสื้อแดงประท้วงเรียกร้องให้ปล่อยตัวเขา ช่วงบ่ายวันเดียวกันที่กระทรวงมหาดไทย นายกฯอภิสิทธิ์ประกาศให้กรุงเทพฯและปริมณฑลเป็นเขตภาวะฉุกเฉิน สถานการณ์ยิ่งสับสนมากขึ้น มีรายงานว่ากลุ่มเสื้อแดงที่โกรธเกรี้ยวได้ทุบรถนายกฯอภิสิทธิ์ คนขับรถยิงปืนขู่ขึ้นฟ้าก่อนที่จะถูกทุบตีโดยผู้ชุมนุมเสื้อแดง ส่วนผู้ชุมนุมร้องเรียนว่า รถนายกฯพุ่งชนพวกเขา เป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายราย ผู้ชุมนุมบางคนกล่าวว่าหน่วยรักษาความปลอดภัยลากตัวผู้บาดเจ็บเข้าไปในอาคาร
เมื่อผมเดินทางมาถึงที่เกิดเหตุ ผู้ชุมนุมเสื้อแดงยังคงอยู่ที่นั่น ทหารบางคนถือปืนเอ็ม16ยืนจังก้าอยู่ บรรยากาศช่างตึงเครียดและส่อเค้าว่าจะเลวร้ายมากขึ้น ผู้ชุมนุมเสื้อแดงพากันค้นหาตัวผู้ได้รับบาดเจ็บตามอาคาร (แต่ไม่พบสักรายเดียว) ทันใดนั้น ดูเหมือนรถคันหนึ่งพยายามจะขับหนี โดยมีกลุ่มเสื้อแดงที่โกรธแค้นไล่ตามไป ผมตามไปและพบว่ารถคันดังกล่าวขับไปชนรั้วและรถแท็กซี่ที่จอดอยู่บริเวณนั้น ตัวรถขึ้นไปเกยติดอยู่กับฟุตบาธ คนขับและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ติดอยู่ในรถ การ์ดของกลุ่มเสื้อแดงได้เข้าล้อมรถเพื่อกันผู้ชุมนุมเสื้อแดงซึ่งอยู่ในอารมณ์โกรธเกรี้ยวออกไป หลังจากที่ผมถ่ายภาพได้จำนวนหนึ่ง ผมผลักผู้ชุมนุมเสื้อแดงสองสามคนที่มีท่าทีก้าวร้าวออกไปและตะโกนใส่พวกเขาว่าไม่ควรทำตัวเหมือนสัตว์เดรัจฉาน การ์ดปรบมือให้ผมเช่นเดียวกับผู้ชุมนุมเสื้อแดงหลายคนที่พยายามควบคุมสถานการณ์ไว้ หลังจากนั้นไม่นาน การ์ดเสื้อแดงสามารถนำตัวผู้ได้รับบาดเจ็บออกมาจากรถและนำไปส่งโรงพยาบาลอย่างปลอดภัย
เหตุการณ์ดูจะบานปลายและยากที่แต่ละฝ่ายจะกลับมาคืนดีกันได้ ช่วงเช้าตรู่วันถัดมาการปราบปรามผู้ชุมนุมได้เริ่มต้นขึ้น
วันจันทร์ที่ 13 เมษายน ภรรยาผมปลุกผมตื่นตอนตีสี่ เป็นเวลาเดียวกันกับที่เพื่อนโทรมาหาผมพอดี เขาบอกว่าการสลายชุมนุมเริ่มขึ้นแล้วที่ดินแดง ผมเดินทางไปถึงสามเหลี่ยมดินแดงก่อนตีห้าเล็กน้อย ขณะนั้นฟ้ายังมืดอยู่ ใกล้ ๆ กันนั้นได้ยินเสียงปืนหลายนัด และมีเสียงปืนกลเป็นระยะสั้น ๆ บริเวณนั้นมีรถพยาบาล ผู้ประท้วงเสื้อแดงที่โกรธเกรี้ยว และนักข่าวช่างภาพไทยสองสามคนยืนอยู่เช่นกัน ขณะที่ผมเดินเข้าไปตรงจุดที่มีการต่อสู้อย่างระมัดระวัง ผู้ชุมนุมเสื้อแดงวิ่งหนีเสียงปืนกลที่ยิงไล่หลังมาทางผม พวกเขาตะโกนว่าทหารกำลังมา ผมจึงวิ่งพร้อมพวกเขา แต่เสื้อกันกระสุมที่ผมใส่ อากาศที่ร้อนอบอ้าวและความกลัวทำให้ผมวิ่งได้ช้า ในที่สุดเหตุการณ์สงบลงอีกครั้ง
ผู้ชุมนุมเสื้อแดงที่อยู่ในอาการตื่นตระหนกบอกผมว่า มีคนถูกฆ่าตายและทหารลากศพไปไว้บนรถบรรทุก ผมไม่มีทางพิสูจน์ข้อเท็จจริงนี้ได้ นี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่ผมจะเดินข้ามแนวทหารไปสอบถามอย่างสุภาพ ผมจึงได้แต่รอเวลา มีควันสีดำโขมงจากการเผายางลอยมา วัยรุ่นเสื้อแดงถือระเบิดเพลิงในมือเตรียมตอบโต้การโจมตีของทหาร หนึ่งในนั้นพยายามจะเผายางด้วยระเบิดเพลิงที่เตรียมมา แต่ถูกน้ำมันราดใส่ขาเสียก่อน เพื่อนเข้ามาช่วยดับไฟที่ไหม้ขาไว้ได้
ตอนพระอาทิตย์ขึ้นยังไม่ทันไร เสียงปืนเริ่มถี่ขึ้นเรื่อยๆ ผู้ชุมนุมเสื้อแดงพากันวิ่งหนี ส่วนผมวิ่งไปหลบอยู่ใต้ต้นไม้และได้ยินเสียงปืนยิงอีกสองสามนัด กระสุนนัดหนึ่งยิงเฉียดเหนือศีรษะผมขึ้นไปสองสามเมตรทะลุผ่านใบไม้เกิดเป็นเสียงที่น่าเกลียดมาก ผมหลบไปยังซอยข้างๆ เพื่อให้ทหารวิ่งผ่านผมไปและออกมาอีกทีเมื่อรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น มีผู้ชุมนุมเสื้อแดงสองคนหลบอยู่ในซอยเดียวกันกับผม เขาถอดเสื้อออกและชาวบ้านที่อาศัยอยู่ละแวกนั้นให้พวกเขาเข้าไปหลบในบ้าน เมื่อทหารปรากฏตัวขึ้นในซอยดังกล่าว ผมชูกล้องขึ้นและบอกว่าผมเป็นนักข่าว ไม่มีคำถามใดๆ ผมจึงรู้สึกโล่งอกและถ่ายภาพทหารที่มีสีหน้าตึงเครียดขณะปฏิบัติงาน พวกเขาดูเหมือนจะไม่ไปต่อแล้ว ขณะเดียวกัน มีนักข่าวทยอยมายังที่เกิดเหตุมากขึ้น บ้างมาจากด้านหลังทหาร บ้างมาจากบ้าน
จู่ๆ กล้องคู่ชีพของผมที่ใช้งานมาสามปีเต็มเกิดไม่ทำงานขึ้นมาซะดื้อๆ ผมรู้สึกเสียขวัญพยายามที่จะซ่อมมันแต่ก็ซ่อมไม่ได้ ประจวบเหมาะเสียนี่กระไรที่มาเสียเอาซะตอนนี้ ซ้ำร้ายยังเป็นช่วงวันหยุดที่ร้านค้าส่วนใหญ่ปิดให้บริการ ผมโทรไปบอกนิรมาล โฆษะและโจนาธาน เฮดถึงเคราะห์กรรมของผม ทั้งสองคนเอ่ยปากให้ผมยืมกล้องเขา (ซึ่งผมจะซาบซึ้งใจไปชั่วชีวิต!) สักพักขณะที่สถานการณ์ดูจะสงบลงแล้ว ผมตัดสินใจกลับบ้านเพื่อไปดูให้แน่ใจว่ารูปที่ผมถ่ายมาทั้งหมดตอนเช้าถูกเซฟไว้และเผื่อผมจะเจอร้านซ่อมกล้องที่เปิดให้บริการอยู่บ้าง
ผมแวะไปร้านกล้องตรงข้ามห้างเซ็นทรัลลาดพร้าว บังเอิญเจอร้านหนึ่งเปิดให้บริการและมีขายกล้องรุ่นเดียวกับที่เคยใช้คือแคนนอน รุ่นอีโอเอส 450ดี กล้องความละเอียด 12 ล้านพิกเซลที่ราคาถูกที่สุด ผมไม่ร่ำรวยอะไรและรู้สึกเจ็บปวดที่ต้องจ่ายเงินซื้อกล้องตัวใหม่ แต่อย่างน้อยผมก็จะสามารถทำงานต่อไปได้
ผมกลับไปที่ดินแดงอีกครั้ง เหตุการณ์ที่นั่นยังทรงตัวเหมือนเดิม ทหารยังประจำอยู่ในตำแหน่งเดิม ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในช่วงสามชั่วโมงที่ผมไม่อยู่
ผมนั่งลงข้างๆสิบโทหนุ่มคนหนึ่ง เราคุยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาไม่มีความสุขที่ต้องมาอยู่ที่นี่ เขามาจากอีสานและเป็นธรรมดาที่มีญาติเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มเสื้อแดง แต่อย่างไรก็ตาม หน้าที่ทหารคือต้องเชื่อฟังคำสั่ง
กลุ่มเสื้อแดงชุมนุมอยู่ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิและ เคลื่อนตัวเข้าใกล้ทหารอย่างช้าๆจากถนนราชปรารภและจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ก่อนจะหยุดห่างจากทหารประมาณ
ผู้ชุมนุมเริ่มปั่นป่วนและจุดไฟเผายาง ช่างภาพต่างพากันถ่ายภาพ กองทัพขับรถฉีดน้ำสองคันเข้ามา บนถนนราชปรารภ ผู้ชุมนุมเสื้อแดงจุดไฟเผารถเมล์โดยวางถังแก๊สไว้หน้ารถ ทหารนำรถมาดับเพลิง และเริ่มเคลื่อนกำลัง พร้อมยิงปืนยาวขู่ขึ้นฟ้า เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว คราวนี้การจู่โจมของทหารดูจะเป็นระเบียบมากกว่าในช่วงเช้า ครั้งนี้ผมไม่เห็นทหารยิงปืนแนวระนาบ แต่แน่นอนล่ะ แค่สิ่งที่อยู่รอบตัวผม ผมยังมองเห็นไม่ค่อยชัดเลย ขณะที่ผู้ชุมนุมเสื้อแดงพากันสลายตัว ผมเดินกลับไปที่สี่แยก ทันใดนั้นมีรถเมล์ขับพุ่งจากสะพานมุ่งหน้าไปยังทหาร ผมเห็นทหารยิงปืนใส่รถเมล์ก่อนที่รถจะเสียหลักไปชนขอบสะพาน โชคดีที่ไม่ได้ไถลข้ามราวสะพานไปทับโดนทหารที่ยืนจังก้าอยู่ข้างใต้ ในใจผมกลัวว่าจะได้เห็นผู้เสียชีวิตรายแรกจากเหตุการณ์นี้เสียแล้ว แต่ตอนหลังเมื่อผมเดินไปดูรถเมล์คันดังกล่าว สภาพรถเต็มไปด้วยรอยกระสุนแต่ไม่มีคราบเลือด กระจกหน้าทั้งแผงหลุดออกมาอยู่หน้ารถและมีรอยกระสุนปืน มีคนบอกผมว่าเขาเห็นคนกระโดดหนีออกมาจากรถเมล์ได้อย่างฉิวเฉียดก่อนที่ทหารจะกระหน่ำยิง
การโจมตีของทหารเป็นไปในรูปแบบเดิม คือเดินเข้าไปอย่างเป็นระเบียบพร้อมกับยิงปืนขึ้นฟ้าทีละนัด รวมทั้งเข้ายึดพื้นที่ตามตรอกซอยต่างๆ ผมถ่ายภาพรถเมล์คันหนึ่งที่กระจกมีรอยกระสุนปืน รอยกระสุนเหล่านั้นน่าจะมาจากปืนอัตโนมัติที่ยิงมาจากทิศทางที่ทหารยืนอยู่ พวกเขาขับไล่ผู้ประท้วงเสื้อแดงออกจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ผมถ่ายภาพผู้บาดเจ็บเสื้อแดงสองสามคนขณะถูกทหารนำตัวไป ผมได้ยินหนึ่งในผู้บาดเจ็บพูดขึ้นว่า “ผมเป็นแค่คนแก่ ผมไม่เคยทำอะไรให้ใครเลย” ผมไม่สนใจทหารที่ห้ามไม่ให้ผมถ่ายรูป
เหตุการณ์สงบลง ภาพควันดำโขมงจากการเผายางบริเวณหัวมุมถนนพหลโยธินและมีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเป็นฉากหลังช่างเป็นภาพที่น่าทึ่ง ผมเดาว่าช่างภาพทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นต่างถ่ายภาพนี้เก็บไว้
ผมเดินข้ามไปยังโรงพยาบาลราชวิถี มีรถเมล์อีกคันถูกเผา – เป็นภาพที่น่าทึ่งอีกภาพ บริเวณนั้นมีผู้ชุมนุมเสื้อแดงอยู่สองสามคน พวกเขาโชว์ปลอกกระสุนปืนที่เก็บได้ให้ผมดู
สักพักผมจึงเดินทางกลับบ้านเพื่อพักผ่อนและโหลดรูปถ่ายลงคอมพิวเตอร์ ก่อนจะออกไปดูสถานการณ์อีกครั้งตอนบ่ายอ่อนๆ ผมคิดว่าจะแวะไปแถวทำเนียบรัฐบาล ทันทีที่ผมออกจากบ้าน ธีโล เธียลเค นักข่าวของหนังสือพิมพ์ “แดร์ ชปีเกล” โทรมาหาผมและสั่งงานให้ทำ อย่างน้อยตอนนี้ภาระทางการเงินอันหนักอึ้งจากการซื้อกล้องตัวใหม่มาใช้งานก็ไม่กระทบกับบัญชีธนาคารของผมเท่าไหร่แล้ว และเผลอๆผมคงไม่ต้องทำงานโดยไม่ได้อะไรเลยเหมือนที่ผ่าน ๆ มา
เมื่อเดินทางมาถึงถนนยมราช ผมถามชาวบ้านละแวกนั้นหากผมจะขอจอดมอเตอร์ไซด์ทิ้งไว้หน้าบ้านเขา อย่างน้อยก็น่าจะปลอดภัยกว่า เมื่อผมกลับมาเอามอเตอร์ไซค์ในภายหลัง ชาวบ้านที่แสนดีเหล่านี้ช่วยแม้กระทั่งหาเสื่อมาคลุมกันแดดให้มอเตอร์ไซด์ผม หาน้ำเย็นให้ผมดื่มและถามผมว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาแสดงความผิดหวังที่รัฐบาลใช้ความรุนแรงเข้าสลายผู้ชุมนุมในครั้งนี้
จากนั้นผมเดินไปที่แยกพระรามหกตัดกับสี่แยกเพชรบุรี ผมถ่ายภาพรถเมล์ที่มีไฟลุกท่วมและภาพวัยรุ่นเสื้อแดงที่มีรอยสักบนตัว วัยรุ่นผู้นี้ตะโกนใส่ทหารที่ยืนอยู่บริเวณสี่แยกศรีอยุธยาว่า “ทำไมต้องฆ่าพวกกู กูก็เป็นคนไทย ถึงกูจะยากจนแต่กูก็มีความเชื่อของกูเหมือนกัน”
จากถนนเพชรบุรี เวทีเคลื่อนที่และผู้ชุมนุมเสื้อแดงกลุ่มใหญ่กว่าเดิมเดินทางถึง ทันใดนั้นมีเสียงดังปัง ๆ สองสามครั้ง ผู้คนพากันตื่นตระหนก และในไม่ช้ามีรถพยาบาลขับผ่านผมไปยังกลุ่มเสื้อแดง ผู้ชุมนุมหลายคนที่เดินสวนมาบอกผมว่า กลุ่มพันธมิตรที่อยู่ในเพชรบุรีซอย 5 ยิงใส่พวกเขา ผมเดินไปที่นั่นและสามารถถ่ายภาพผู้บาดเจ็บเสื้อแดงคนหนึ่งไว้ได้ กระสุนยิงเข้าที่ขาของเขา เขาร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด
หลังจากที่รถพยาบาลขับออกไป รถดับเพลิงเข้ามาดับไฟในซอย ผมตัดสินใจออกจากที่นั่น เช่นเดียวกับผู้ชุมนุมเสื้อแดงหลายคนที่พากันทยอยออกไปก่อนหน้านี้แล้ว ผมไม่ต้องการติดอยู่ที่นั่นคนเดียวท่ามกลางชาวบ้าน/กลุ่มพันธมิตรติดอาวุธที่เดินกันขวักไขว่ ผมกลับมาเอามอเตอร์ไซด์และหาที่จอดใกล้ๆกับจุดชุมนุมเผื่อทหารจะบุกมา
ผมแวะไปที่เวทีเสื้อแดง เจอประทีบ อึ้งทรงธรรม ฮาตะ แกนนำเสื้อแดงที่กำลังเอาดอกไม้มาแจกให้ทหาร ผมอยากตามไปแต่คลาดกับกลุ่ม บริเวณทางรถไฟที่จะขึ้นทางด่วนมีควันสีดำพวยพุ่งเต็มท้องฟ้า รถเมล์อีกคันถูกผู้ชุมนุมเสื้อแดงเผา สถานการณ์เริ่มยากที่จะควบคุม พนักงานดับเพลิงพยายามจะดับไฟที่ลุกท่วมรถเมล์คันดังกล่าว แต่ถูกผู้ชุมนุมเสื้อแดงที่โกรธเกรี้ยวขับไล่ออกไป ทันใดนั้น วัยรุ่นจากสลัมที่พักอยู่ริมทางรถไฟเข้ามาทำร้ายผู้ชุมนุมเสื้อแดง พวกเขายิงปืนและขว้างปาก้อนหินใส่กลุ่มเสื้อแดงที่ยืนอยู่บนสะพานลอย ผู้ชุมนุมเสื้อแดงขว้างก้อนหินและระเบิดเชื้อเพลิงกลับ เป็นเหตุให้บ้านในสลัมหลังหนึ่งเกิดไฟไหม้ ต่อมาผู้ชุมนุมเสื้อแดงและเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองบอกผมว่า ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในสลัมละแวกนี้เป็นฝ่ายพันธมิตรและนี่ไม่ใช่การปะทะกันครั้งแรกของพวกเขา ฟ้าเริ่มมืด การปะทะยังไม่เลิกรา ผมกลัวและไม่อยากอยู่ต่อ ผมไม่ใช่ช่างภาพที่เป็นนักรบ ผมเป็นพ่อและสามี ไม่มีอะไรคุ้มค่าให้ผมต้องเอาชีวิตมาเสี่ยงขนาดนั้น
ขณะที่ผมกลับมาเอามอเตอร์ไซด์ที่จอดอยู่ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ทหารเริ่มเคลื่อนเข้าสู่ถนนยมราช ผมจึงจอดมอเตอร์ไซด์ไว้ในซอยใกล้ๆสี่แยกนางเลิ้ง ห่างจากเวทีปราศรัยไม่กี่ร้อยเมตร
ผมมาที่ด้านหลังเวทีเสื้อแดง ตั้งใจจะมาสังเกตอารมณ์ของผู้ชุมนุมที่นั่น ผมนั่งลงข้างๆคนที่กำลังเตรียมจัดแถลงข่าวให้จาตุรนต์ ฉายแสงที่จะมีขึ้นที่โรงแรมรอยัล มีคนหลายคนกำลังโต้เถียงกัน ผมสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่สิ้นหวังและอ่อนแรง ทันใดนั้น วีระ มุสิกพงษ์เดินออกมาจากเวทีตรงปรี่ไปที่มุมเล็กๆที่กันไว้สำหรับแกนนำ ในมือของเขาถือธูปและสวมพวงมาลัยบนศีรษะก่อนจะเริ่มต้นสวดมนต์อธิษฐาน ผมเดินเข้าไปถ่ายรูปเขา เขานิ่งเงียบก่อนจะถามผมว่าอยากร่วมทานมื้อเย็นกับเขาไหม
จากนั้นจตุพรเดินเข้ามาสมทบพร้อมกับนักวิชาการอีกคนซึ่งผมจำชื่อไม่ได้ ผมถามว่าจะดำเนินการอะไรต่อจากนี้ เขาตอบว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่สามารถควบคุมได้อีกแล้ว น่าเศร้าและคงต้องปล่อยให้เป็นไปตามชะตากรรม “อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด” จากนั้นผมปลีกตัวออกมาทำงานต่อ
ผมขับมอเตอร์ไซด์ออกจากบริเวณทำเนียบรัฐบาล เพราะไม่อยากเสี่ยงทิ้งมันไว้ที่นั่นหากทหารปิดถนนก่อนที่จะเริ่มโจมตีรอบสุดท้าย เพื่อนของผมซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองแนะนำเส้นทางที่ยังใช้การได้อยู่ ผมต้องขับฝ่ากลุ่มผู้ชุมนุมออกทางสะพานมัฆวานทะลุไปถนนราชดำเนิน เส้นทางนี้ยังใช้ได้สะดวก บนถนนราชดำเนิน มีซากรถเมล์สองสามคันถูกเผา ผมนั่งอยู่แถวนั้นกับเพื่อนสักพัก ก็ได้ยินเสียงปืนดังมาจากถนนนางเลิ้ง
เราจึงเดินไปด้านหลังของสำนักงานตำรวจนครบาล ผู้ชุมนุมเสื้อแดงกลุ่มเล็กๆที่อยู่บริเวณนั้นพากันทำลายยานพาหนะของสื่อมวลชนไทย เนื่องจากโมโหสุดขีดที่พวกเขานำเสนอข่าวไม่เป็นกลาง โชคร้ายที่พวกเขาไม่เข้าใจว่าภายใต้สถานการณ์การเมืองเช่นนี้ นักข่าวไทยก็ถูกแบ่งแยกเช่นเดียวกับคนทั่วไปในสังคม อันที่จริง นักข่าวไทยหลายคนก็ไม่เห็นด้วยกับพันธมิตรหรือนโยบายรัฐบาล การที่กลุ่มเสื้อแดงทำลายยานพาหนะของสื่อมวลชน เป็นเหตุให้นักข่าวไทยส่วนใหญ่ไม่กล้าเข้าใกล้กลุ่มเสื้อแดงอีกต่อไป พวกเขาจึงยืนอยู่กับทหาร ถึงแม้ว่าแกนนำเสื้อแดงจะร้องขอไม่ให้ผู้ประท้วงทำร้ายพวกเขาก็ตาม ส่วนหนึ่งของปัญหามาจากคำปราศรัยบนเวทีที่คอยประณามสื่อมวลชนที่นำเสนอข่าวเข้าข้างพันธมิตร ซึ่งก็ไม่ได้ผิดไปซะทีเดียว แต่โชคร้ายที่ผลลัพธ์ของมันทำให้เกิดการคุกคามสื่อ ตอนนี้จึงมีแต่ผู้สื่อข่าวต่างประเทศที่สามารถเข้าไปทำงานกับฝ่ายเสื้อแดงได้อย่างปลอดภัย นี่เป็นปัญหาใหญ่สำหรับในอนาคต เพราะนักข่าวต่างประเทศที่พูดภาษาไทยได้คล่องแคล่วมีจำนวนไม่มาก และผู้ชุมนุมเสื้อแดงเองที่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีเพียงพอก็มีน้อย นอกจากนั้น ฝ่ายเสื้อแดงยังคาดหวังกับสื่อต่างประเทศมากไป ธุรกิจสื่อยังไงก็คือธุรกิจ ข่าวจะเป็นกระแสก็ต่อเมื่อข่าวนั้นใหญ่เพียงพอ ในเมื่อนักข่าวไทยไม่สามารถทำงานกับผู้ชุมนุมเสื้อแดงได้ โอกาสที่มุมมองของผู้ชุมนุมเสื้อแดงจะถูกนำเสนอในสื่อกระแสหลักย่อมมีน้อย ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องสำคัญมากที่คนเสื้อแดงต้องมีพื้นที่ในสื่อด้วย
เมื่อคิดเช่นนั้น ผมจึงตัดสินใจเข้าร่วมงานแถลงข่าว ผมเดินไปตามถนนราชดำเนินผ่านถนนข้าวสาร วัยรุ่นไทยและนักท่องเที่ยวกำลังปาร์ตี้ฉลองสงกรานต์กัน ผมต้องเดินหลบไม่ให้ถูกสาดน้ำ
เมื่อถึงโรงแรม พนักงานต่างพากันถามผมว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง พวกเขารู้สึกว้าวุ่นใจจากสิ่งที่เห็นทางทีวี ภายในโรงแรม มีนักข่าวสองสามคนกำลังนั่งรอสัมภาษณ์จาตุรนต์ เมื่อเขามาถึงในงานแถลงข่าว ปรากฏว่ามีนักข่าวมาเพียง 7-8 คนเท่านั้น ผมเองทนอยู่ได้ไม่นาน มันน่าเศร้าเกินไป
ผมมาเจอเพื่อนซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองคนเดิม หลังจากนั้นก็ไม่ได้ทำอะไรมาก เราสองคนได้แต่คาดการณ์ว่าจะมีการโจมตีครั้งสุดท้ายของทหาร แต่ไม่มีใครมีข้อมูลที่เท็จจริง นอกจากการคาดเดาและข่าวลือต่างๆนานา ไม่มีเพื่อนตำรวจคนใดมีข้อมูล งานนี้ตำรวจถูกกันออกจากการเข้าถึงข้อมูลเกือบทั้งหมด ตอนแรกผมอยู่หลังสำนักงานตำรวจนครบาลบนถนนพิษณุโลก ซึ่งเป็นถนนหนึ่งในสองสายที่ผู้ชุมนุมเสื้อแดงสามารถใช้เดินทางออกจากบริเวณที่ชุมนุมได้ บริเวณนั้นมีตำรวจซึ่งไม่ได้มีหน้าที่สลายผู้ชุมนุม ยืนทำหน้าที่รักษาความปลอดภัย ถึงเวลานี้คาดว่ามีผู้ชุมนุมราว 4000 คนยังปักหลักอยู่บริเวณชุมนุมเดิม ผู้ชุมนุมกลุ่มเล็กๆเดินสวนมาพลางถามเกี่ยวกับทางออกที่ปลอดภัย เนื่องจากเกรงว่าจะมีพันธมิตรดักรอพวกเขาอยู่
ผมตัดสินใจรออยู่ที่นั่นหากมีการโจมตีครั้งสุดท้ายเกิดขึ้น และทหารอาจจะปิดกั้นพื้นที่โดยรอบทั้งหมด ผมกลัวว่าจะไม่สามารถกลับเข้าไปได้อีกหากผมออกมา ดังนั้นผมจึงปักหลักอยู่หน้าสำนักงานตำรวจนครบาลที่เดิม มีภาพเหตุการณ์ที่ค่อนข้างเซอร์เรียลเกิดขึ้น เมื่อจู่ๆมีสาวใส่กางเกงขาสั้นวาบหวิว สวมรองเท้าส้นสูงเดินผ่านตำรวจและนักข่าวที่นั่งรออยู่บริเวณนั้น สักครู่มีรถเข็นขายของผ่านมา ผมจึงซื้อบุหรี่และผ้าเย็นเพื่อเช็ดเหงื่อและคราบสกปรกบนร่างกาย ผมเจอเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งซึ่งเพิ่งออกมาจากบริเวณที่มีการต่อสู้กันระหว่างกลุ่มพันธมิตรและเสื้อแดง เขาเล่าว่าเขาเห็นคนขี่มอเตอร์ไซด์ที่ถูกหาว่าเป็นผู้ชุมนุมเสื้อแดงถูกทุบตีอาการสาหัส และยังเห็นชาวบ้านที่เป็นพันธมิตรคนหนึ่งเอาปืนจ่อศีรษะชายคนนั้นในระยะเผาขน สำหรับเพื่อนผม การกระทำดังกล่าวส่อเจตนาพยายามฆ่าอย่างชัดเจน โชคดีที่มีคนแย่งปืนออกไป หลังจากได้ฟังสิ่งที่เพื่อนเล่า ผมรู้สึกดีใจมากที่ตัดสินใจไม่ถ่ายรูปที่นั่น หลังจากนั้น ผมงีบหลับไปสองชั่วโมงในเศษโครงสร้างที่ถูกรื้อถอนครึ่ง ๆ กลาง ๆ ที่เหลือจากจากงานกาชาดในบริเวณนั้น
เวลาประมาณตี 4 หรือตี 5 ผมเดินทางไปถนนพิษณุโลก บริเวณสี่แยกนางเลิ้ง ตอนนั้นเสียงปืนสงบแล้วและการต่อสู้ดูราวจะยุติไปแล้ว ผมพูดคุยกับการ์ดเสื้อแดงหลายคนที่เล่าให้ผมฟังเกี่ยวกับเหตุปะทะ การที่พวกเขาเห็นเพื่อนถูกลากและทุบตีจนถึงแก่ชีวิต และการที่พวกเขาไม่สามารถเอาศพเพื่อนมาได้เพราะถูกขนย้ายไปก่อน ผมถ่ายรูปการ์ดบางคนพร้อมกับปลอกกระสุนที่เขาเก็บได้ ทั้งกระสุนอาก้า 47 และเอ็ม-16แอมโม
จนกระทั่งพระอาทิตย์ขึ้น ยังไม่มีการโจมตีจากทหารเกิดขึ้น ผมจึงกลับบ้านไปนอนพักสองชั่วโมงเศษ ก่อนจะกลับไปที่ชุมนุมอีกครั้งตอนสิบโมงเช้า ผมใช้เส้นทางถนนศรีอยุธยาและจอดมอเตอร์ไซด์ไว้ที่สถานีตำรวจนครบาล ก่อนจะเดินจากลานพระบรมรูปทรงม้าไปยังที่ชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง ผู้ชุมนุมประมาณ 2000 คนยังคงปักหลักอยู่ที่นั่น ผมเดินกลับมาที่ถนนพิษณุโลกอีกครั้งและเจอนิรมาล โฆษะและเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆอยู่ที่นั่น เราจึงวางแผนการกันว่าจะคอยสังเกตการณ์อยู่แนวหน้า และเมื่อมีการโจมตีครั้งสุดท้ายเกิดขึ้น เราจะขอหลบไปอยู่กับชาวบ้านในซอยข้างๆ จากนั้นจึงค่อยออกมาและเข้าไปอยู่กับทหาร ณ เวลานั้น การ์ดเสื้อแดงเองก็พากันถอดใจต่อสิ่งที่กำลังจะมาถึง ผมถ่ายภาพเสื้อแดงคนหนึ่งที่ถูกม็อบเสื้อเหลืองกลุ่มเล็กๆจับตัวไว้ในช่วงย่ำรุ่ง แผ่นหลังของเขามีรอยถูกมีดฟันบาดลึก ส่วนมือและศีรษะพันผ้าพันแผล
บริเวณนั้นมีรถเมล์อีกคันหนึ่งถูกเผาและมีเปลวไฟขนาดใหญ่ลุกไหม้ถังแก๊ส ชาวบ้านละแวกนั้นออกมาช่วยกันดับเพลิง ตอนแรกเราวางแผนไว้ว่าหากเกิดการปะทะ เราจะมาขอหลบอยู่กับชาวบ้านที่นี่ ชาวบ้านเองก็เห็นอกเห็นใจผู้ชุมนุมเสื้อแดง แต่ความปลอดภัยของพวกเขาต้องมาก่อน เขาจึงขอร้องให้เสื้อแดงออกไปจากซอย เสื้อแดงทำตามแต่โดยดี จากนั้นมีคนพูดโทรโข่งขอร้องให้การ์ดเสื้อแดงทั้งหมดที่ยังคงประจำการอยู่บริเวณนั้นร่นถอยไปอยู่หลังที่กำบังบริเวณสี่แยกนางเลิ้งให้หมด เขากล่าวต่อว่าเสื้อแดงที่ไม่ถอยจะถือว่าเป็น “มือที่สาม”และจะไม่ยอมรับให้กลับเข้ามาข้างในอีกต่อไป หลังจากนั้นไม่นาน ทหารปรากฏตัวขึ้นในซอยดังกล่าว ชาวบ้านละแวกนั้นขอร้องให้ทหารออกไปเช่นกันเพื่อเห็นแก่ความปลอดภัยของพวกเขา ทหารเหล่านั้นตั้งด่านปิดถนนลึกเข้าไปในซอย ผมยังเห็นทหารกลุ่มเล็กๆเคลื่อนพลเข้าไปในซอยข้าง ๆ อีกด้วย
ไม่ทันไรมีข่าวว่าวีระ มุสิกพงษ์ประกาศยุติการชุมนุมและยอมมอบตัว ผมรู้สึกโล่งใจมากเพราะไม่เช่นนั้นการโจมตีของทหารจะลงเอยแบบอัปลักษณ์มาก มีสถานการณ์คับขันเป็นบางคราว เช่น ตอนที่ทหารกลุ่มเล็กๆปรากฏตัวออกมาจากซอยที่อยู่ติดกับที่กำบังของเสื้อแดง แต่หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายยอมเจรจา ผู้ชุมนุมเสื้อแดงอยู่ในความสงบ ส่วนทหารเข้าควบคุมเพียงถนนพิษณุโลกจนถึงถนนยมราช
ผมเดินรอบๆบริเวณที่ชุมนุม ทหารถอยห่างออกไปแล้ว ส่วนผู้ชุมนุมก็เริ่มพากันออกจากพื้นที่ ผมคุยกับผู้ชุมนุมบางคนที่แทบจะร้องไห้ออกมา หลายคนชูนิ้วสู้ตายให้กับผม ผมเห็นชายแก่คนหนึ่งใช้คัตเตอร์กรีดเปิดขวดน้ำที่วางกองอยู่บนพื้นพลางพึมพำกับตัวเองว่า “นี่มันน้ำของพวกเรา พวกทหารไม่กินน้ำเรา”
บริเวณทางออกฝั่งลานพระบรมรูปทรงม้า หมอเหวงยืนอยู่บนรถเครื่องเสียงประกาศขอร้องให้ทหารถอยออกไป ซึ่งพวกเขาก็กำลังจะออกไปอยู่แล้ว ขณะเดียวกัน ทหารอีกกลุ่มกำลังตรวจบันทึกบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ชุมนุมเสื้อแดงที่กำลังทยอยเดินทางกลับ ผู้ชุมนุมยังคงชูสองนิ้วให้ผม บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า วีระ มุสิกพงษ์และณัฐวุฒิ ไสยเกื้อยืนอยู่บนท้ายรถกระบะ ล้อมรอบไปด้วยตำรวจคอมมานโด ณัฐวุฒิพูดขึ้นว่า “เรายอมมอบตัวเพื่อไม่ให้มีการสูญเสียมากไปกว่านี้และเราจะยังยืดหยัดต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยต่อไป” หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาถูกพาตัวไปยังสถานีตำรวจนครบาล ก่อนที่หมอเหวงจะถูกควบคุมตัวตามมา เขาถูกพาตัวขึ้นไปชั้นบนของโรงพักแต่ยังมีใจหันมาชูสองนิ้วให้กับนักข่าว
ผมเดินทางกลับบ้าน
ผมได้รับโทรศัพท์ตอนบ่ายวันนั้น คนที่โทรมาบอกผมว่า มีการสลายผู้ชุมนุมเสื้อแดงกลุ่มเล็กๆที่รวมตัวอยู่บนถนนประชาธิปไตยใกล้ๆกับอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เขาบอกต่อว่ามีผู้ชุมนุมคนหนึ่งถูกยิงเสียชีวิต (ทราบต่อมาภายหลังว่าผู้ชุมนุมคนนี้เพียงแค่ได้รับบาดเจ็บ) ผู้ชุมนุมหลายร้อยคนถอยกลับไปปักหลักที่ท้องสนามหลวง เป็นภาพที่น่าสะเทือนใจมาก บางคนตะโกนโหวกเหวก บางคนร้องไห้ พวกเขาปริ้นท์ภาพผู้ชุมนุมที่คาดว่าเสียชีวิตมาแจกในที่ชุมนุม ตำรวจยืนทำหน้าที่ของตนอยู่บริเวณนั้น แต่ไม่นานก็ล่าถอยออกไปเพื่อไม่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง
บริเวณเดียวกันมีนักข่าวฝรั่งสองสามคนและประวิตรจากเดอะเนชั่น รวมทั้งช่างภาพไทยอีกคนหนึ่งมาทำข่าว ช่างภาพไทยคนนี้กลัวมากว่าจะถูกผู้ชุมนุมทำร้าย เรื่องที่น่าเศร้าก็คือ เขาเห็นใจต่อเป้าหมายทางการเมืองของกลุ่มเสื้อแดง แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ผู้ประท้วงมักไม่แยกแยะอีกแล้ว – นักข่าวไทยทั้งหมดถูกมองเป็นศัตรู พวกเขาต้อนรับเฉพาะนักข่าวต่างชาติ ไม่นานหมวดเจี๊ยบ ผู้มีชื่อเสียงจากการเขียนหนังสื่อที่ใช้ชื่อว่า “Thaksin, where are you?” ก็มาปรากฏตัว เธอร้องไห้และเข้าไปสวมกอดผู้ชุมนุม หลังจากนั้นไม่นาน ผมจึงกลับบ้าน รู้สึกเหนื่อยล้าไปหมด
ตอนนี้เราอยู่ที่ไหนกัน?
การแบ่งขั้วในสังคมไทยยังเป็นปัญหาที่ไม่ได้รับการแก้ไข โดยเฉพาะหลังการสลายผู้ชุมนุม การแบ่งขั้วยิ่งทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น การเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงถูกรัฐบาลปราบปราม แกนนำบางคนถูกขังคุกหรือไม่ก็ต้องดำเนินกิจกรรมใต้ดินอย่างลับๆ ผู้สนับสนุนเสื้อแดงรู้สึกขมขื่นจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่เกิดขึ้น และยิ่งโกรธเกรี้ยวต่อการนำเสนอข่าวไม่เป็นกลางของสื่อมวลชนไทย ทำให้นักข่าวไทยไม่สามารถเข้าใกล้กลุ่มเสื้อแดงได้อีกต่อไป การเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงถูกทำให้เป็นเหมือนปีศาจร้ายโดยสื่อและรัฐบาล รวมทั้งการสั่งปิดเว็บไซท์ของกลุ่มเสื้อแดงและวิทยุชุมชน
นอกจากนั้น ผู้ชุมนุมเสื้อแดงถูกชักจูงให้เชื่อว่าสมาชิกในกลุ่มของพวกเขาถูกฆ่า (ผมเองก็เคลือบแคลงใจเช่นกันว่า สิ่งที่พวกเขาประเมินไม่น่าจะผิดนัก แต่ยังไงก็ตามไม่มีหลักฐานใดๆมายืนยันได้) ดังนั้น รัฐบาลต้องดำเนินการสืบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการและเป็นกลาง รวมทั้งหยุดหลอกลวงว่าใช้เพียงกระสุนปลอมในการล้อมปราบและเป็นการยิงขึ้นท้องฟ้าเท่านั้น ผมมีภาพถ่ายรอยกระสุนปืนที่ผมเห็นทหารเป็นคนยิงเป็นหลักฐานยืนยัน นอกจากนั้น กระสุนปืนที่ยิงเฉียดเหนือศีรษะผมเพียงไม่กี่เมตรขณะที่ผมยืนหลบอยู่ใต้ต้นไม้ตอนที่ทหารสลายผู้ชุมนุมบริเวณสามเหลี่ยมดินแดงตอนเช้ามืดเป็นกระสุนปืนจริงและผมไม่ได้จินตนาการไปเอง เมื่อดูจากระยะและมุมของผู้ยิงจากแนวทหาร ความแตกต่างขององศาปากกระบอกปืนน่าจะไม่เกินสองสามเซนติเมตร นี่เป็นการยิงใส่กลุ่มผู้ชุมนุมชัด ๆ ไม่ใช่ยิงขึ้นฟ้าแต่อย่างใด ผมยังเห็นทหารเติมกระสุนปืนหัวทองแดง ไม่มีทางเป็นกระสุนปลอมอย่างแน่นอน
การที่ผู้ชุมนุมเสื้อแดงโจมตีประเด็นการใช้สองมาตรฐานของรัฐบาลก็ไม่ได้พูดผิดอีกเช่นกัน อย่างตอนที่พันธมิตรบุกยึดทำเนียบรัฐบาล อภิสิทธิ์ได้เข้าแทรกแซงด้วยตัวเองที่สะพานมัฆวานในการสลายกำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจตามคำสั่งศาล [1] หรือตอนที่นายกสมัครประกาศภาวะฉุกเฉินก็ไม่มีการจัดการใดๆกับผู้ชุมนุมพันธมิตร และเมื่อพันธมิตรยึดสนามบิน ทหารก็ไม่จัดการใดๆ อีกเช่นกัน
ไม่เป็นที่น่าสงสัยเลยว่าสถานการณ์ดูจะผิดเพี้ยนไปหมด และแกนนำเสื้อแดงต้องรับผิดชอบต่อสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นเป็นส่วนใหญ่ ตอนที่พวกเขาประกาศวันดีเดย์และว่าจะชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาลอย่างไม่มีที่สิ้นสุดนั้น พวกเขาประเมินความสามารถของตนในการควบคุมมวลชนที่อยู่ในภาวะโกรธแค้นฝังลึกและรู้สึกถึงความอยุติธรรมสูงเกินไป อย่างไรก็ตาม ผมปฏิเสธที่จะยอมรับลักษณะการนำเสนอข่าวแบบที่เป็นอยู่ของสื่อไทยที่ทำให้กลุ่มเสื้อแดงเป็นปีศาจร้ายไปเสียหมด รัฐบาลต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เป็นไปได้อย่างไรที่การ์ดพันธมิตรและทหารเรือสามารถปลอมตัวเป็น “คนเสื้อน้ำเงิน”และได้รับความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้ปะทะกับกลุ่มเสื้อแดง? เรื่องนี้มีหลักฐานพิสูจน์อย่างไม่มีข้อสงสัย อำนาจการตัดสินใจให้ทำเช่นนั้นได้ย่อมไม่ใช่จากผู้บังคับบัญชาท้องถิ่นแน่นอน แต่ต้องเป็นการตัดสินใจระดับสูงทางการเมือง
เหตุการณ์ปราบปรามผู้ชุมนุมเสื้อแดงชวนให้นึกถึงอุบายและยุทธศาสตร์สกปรกที่ทหารฝ่ายขวาจัด เช่น นวพลและกระทิงแดง เคยใช้ในช่วง พ.ศ. 2519 คนเหล่านี้ทำหน้าที่ปลุกปั่นสถานการณ์โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและนายทหารชั้นสูง คำถามคือตอนนี้เรากลับไปอยู่ในยุคมืดของประวัติศาสตร์ไทยกันอีกแล้วหรือ? เราไม่เคยเรียนรู้อะไรแม้แต่อย่างเดียวเลยหรือ?
ผมไม่แน่ใจเลยว่าการปราบปรามเสื้อแดงที่เกิดขึ้นจะทำให้เสื้อแดงหันมาสนับสนุนนายกฯอภิสิทธิ์และรัฐบาลโดยทันที มีเครื่องบ่งชี้หลายอย่างว่าบางกลุ่มจะเคลื่อนไหวใต้ดินต่อไปและอาจเกิดจลาจลแบบย่อยๆตามมา ผมสงสัยเป็นอย่างมากว่าสังคมไทยจะเริ่มสมานฉันท์ได้จริงหรือ และรัฐบาลจะจริงใจสักแค่ไหนที่จะดำเนินการใดๆมากกว่ากล่าวเพียงคำพูดสวยหรู? ผมได้แต่ข้องใจว่าในที่สุดแล้วคงไม่มีความพยายามใดเกิดขึ้นนอกจากการปั่นหัวของรัฐบาล ควรจะมีการเจรจากันอย่างจริงจังเพื่อให้เกิดการประนีประนอม แต่นั่นหมายความว่า ข้อเรียกร้องบางประการของฝ่ายเสื้อแดงต้องได้รับการตอบสนองด้วย เสียงของเสื้อแดงต้องได้รับการรับฟัง เพราะสิ่งที่พวกเขาพูดส่วนใหญ่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ที่สมเหตุสมผลและจะก่อให้เกิดความก้าวหน้าในประเทศไทย การกล่าวหาพวกเขาง่าย ๆ ว่าเป็นแค่เครื่องมือให้ทักษิณทวงคืนทรัพย์สมบัติ เป็นการพิพากษาอย่างผิด ๆ ที่อันตรายอย่างยิ่ง และเป็นการบิดเบือนที่มาจากอุดมการณ์ ไม่ใช่มาจากข้อเท็จจริง
อันที่จริง มีแกนนำหลายคนที่พร้อมที่จะเจรจา แต่โอกาสที่จะเป็นไปได้มีน้อย ถ้าสถานการณ์บีบบังคับให้มีการเคลื่อนไหวใต้ดิน โอกาสคงเนิ่นช้าออกไปอีก และอาจหลีกไม่พ้นเหตุการณ์นองเลือดอีกครั้งก่อนที่โอกาสครั้งต่อไปจะมาถึง
หากต้องต่อสู้กับกลุ่มเคลื่อนไหวใต้ดิน รัฐบาลจะไม่สามารถใช้ยุทธศาสตร์และยุทธวิธีที่เป็นไปตามครรลองสิทธิมนุษยชนและหลักนิติธรรมได้ เราต้องการให้ประเทศไทยเป็นแบบนั้นหรือ หรือเราต้องการประเทศไทยที่ยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ถึงแม้ว่าในหลาย ๆ ครั้งมันจะก้าวข้ามเส้นแบ่งอุดมการณ์ของรัฐก็ตาม ประเทศไทยจะสามารถยอมรับความต่างนั้นโดยไม่มีใครต้องสูญเสียเลือดเนื้ออีกได้หรือไม่?
หมายเหตุโดยประชาไท
[1] ข้อความส่วนดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2551 ในช่วงที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปปิดหมายศาล ให้พันธมิตรฯ เปิดการจราจรและถอนตัวจากทำเนียบ และเกิดการกระทบกระทั่งกับผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แกนนำฝ่ายค้านในขณะนั้น ได้เดินทางมายังบริเวณดังกล่าว และประกอบภารกิจตามลำดับเวลาดังนี้
เวลา 14.35 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และแกนนำฝ่ายค้านฯ พร้อม ส.ส.ประชาธิปัตย์ 10 คน เดินทางมายังบริเวณสะพานมัฆวานฯ เพื่อเยี่ยมผู้บาดเจ็บ
เวลา 14.40 น. ขณะเดียวกัน กลุ่มพันธมิตรฯภายในทำเนียบรัฐบาลประมาณ 2,000 คน ได้ออกมารวมตัวกัน แถวหน้าคล้องแขนเป็นกำแพงมนุษย์เป็นแถว ๆ ต่อเนื่อง เคลื่อนขบวนจากถนนผดุงกรุงเกษม มุ่งหน้ามายังสะพานมัฆวานฯ โดยฝ่าด่านเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ตั้งขวางไว้ กลุ่มพันธมิตรฯ ได้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นนับหมื่นคน และกลับมายึดถนนราชดำเนินปิดถนนได้อีกครั้งตั้งแต่แยกสะพานมัฆวานฯมาจนถึงแยกลานพระบรมรูปทรงม้า
เวลา 15.31 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เข้าพบ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย และกลุ่มผู้ชุมนุมกดดันตำรวจให้ออกจากทำเนียบรัฐบาลทางประตู 5 ฝั่งถนนราชดำเนิน