ที่มา โลกวันนี้
โดย หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน
กรณีศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้คุมขังนายวิคเตอร์ อนาโตลเจวิช บูท อายุ 43 ปี สัญชาติรัสเซีย
อดีตทหารหน่วยเคจีบี ซึ่งเป็นพ่อค้าอาวุธสงครามรายใหญ่ระดับโลก
เจ้าของฉายา “พ่อค้าความตาย” เพื่อรอส่งเป็นผู้ร้ายข้ามแดนภายในเวลา 3 เดือน
หากถึงกำหนดยังไม่สามารถดำเนินการได้ก็ให้ปล่อยตัวนั้น เป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก
เพราะความขัดแย้งของ 2 มหาอำนาจคือ
สหรัฐกับรัสเซีย ทำให้ประเทศไทยเหมือนหญ้าแพรกท่ามกลางช้างสาร
เพราะก่อนหน้านี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2552
ให้ยกคำร้องของอัยการโจทก์ เนื่องจากเห็นว่าความผิดที่กล่าวหา
นายบูทข้อหาร่วมมือกับขบวนการ FARC ที่ต่อต้านรัฐบาลโคลอมเบีย
เป็นการกระทำที่มีจุดประสงค์และมุ่งหวังทางการเมือง จึงมีลักษณะเป็นคดีการเมือง
ที่ต้องห้ามตาม พ.ร.บ.ส่งผู้ร้ายข้ามแดน
แต่อัยการโจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์โดยยื่นหลักฐานเพิ่มให้ดำเนินคดีอาญาคือ
1.ข้อหาร่วมสมรู้ร่วมคิดในการฆ่าผู้อื่น
2.ข้อหาร่วมสมรู้ร่วมคิดในการฆ่าเจ้าพนักงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลสหรัฐ
3.ข้อหาร่วมสมรู้ร่วมคิดในการจัดหาและใช้อาวุธสงครามต่อต้านอากาศยาน และ
4.ข้อหาร่วมสมรู้ร่วมคิดในการสนับสนุนอย่างมีสาระสำคัญให้กับองค์การก่อการร้ายต่างประเทศ
ซึ่งละเมิดกฎหมายสหรัฐในฐานะผู้ต้องหาคดีค้าอาวุธสงคราม
คำตัดสินของศาลอุทธรณ์ทำให้สหรัฐแถลงแสดงความพอใจทันที
ขณะที่รัสเซียก็แถลงตำหนิและระบุว่ามีแรงกดดันจากสหรัฐ
ทั้งประกาศจะขัดขวางไม่ให้ส่งตัวนายบูทจนถึงที่สุด นอกจากนี้ยังกล่าวหาว่า
รัฐบาลไทยได้ผลประโยชน์จากสหรัฐด้วยการซื้อเฮลิคอปเตอร์แบล็กฮอว์กในราคาพิเศษ 3 ลำ
จะจริงหรือเท็จก็ตาม
สื่อของสหรัฐก็แสดงความประหลาดใจต่อคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ไทย
แต่นายบูทยังมั่นใจว่าจะชนะคดีในสหรัฐ ขณะที่วงการทูตก็เชื่อว่า
ปัญหาขัดแย้งทางการทูตจากคดีนี้จะจบลงด้วยวิธีแก้ไขทางการทูต
ซึ่ง 2 มหาอำนาจอาจมีการแลกเปลี่ยนตัวนักโทษสำคัญระหว่างกัน
แต่สำหรับประเทศไทยนั้น ไม่ว่ารัฐบาลจะอ้างว่าศาลไทยแทรกแซงไม่ได้
แต่การเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ระดับสูงสหรัฐที่เดินทางมาไทยอย่างถี่ยิบ
ตั้งแต่ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศและกลุ่ม ส.ว.สหรัฐก่อนหน้าการตัดสิน
หรือท่าทีของสหรัฐต่อสถานการณ์การเมืองของไทยช่วง “เมษา-พฤษภาอำมหิต”
ที่สนับสนุนรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ก็ทำให้รัสเซียและประชาคมโลกสามารถมองตรงข้ามกับรัฐบาลไทยได้เช่นกัน
เพราะก่อนหน้านี้ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ประกาศเคียงข้างสหรัฐ
ในการต่อสู้กับกลุ่มอัลกออิดะห์
แม้ไทย-สหรัฐจะเชิดชูว่าเป็นมหามิตรระหว่างกันมายาวนาน
แต่ประชาคมโลกกลับมองว่าประเทศไทยเป็นแค่ลูกไล่ของสหรัฐ
แม้จะสิ้นสุดยุคสงครามเย็นไปแล้วก็ตาม
แต่นโยบายต่างประเทศของไทยก็ยังติดยึดกับสหรัฐอย่างมาก
แทนที่จะดำเนินนโยบายอย่างเป็นอิสระ
และคิดถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติในระยะยาว
ซึ่งมหาอำนาจโลกวันนี้ไม่ได้มีแค่สหรัฐหรือรัสเซีย