ที่มา Thai E-New
"No, definitely not (no regrets). They needed an English speaker to talk to the international media,"
โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
ที่มา สำนักข่าวAAP
ชาว ออสเตรเลียที่ถูกเนรเทศออกจากประเทศไทย เพราะเข้าร่วมประท้วงต่อต้านรัฐบาล กล่าวขณะเดินทางกลับถึงออสเตรเลียว่าเขาไม่เสียใจที่ถูกจับกุมคุมขังนาน 89 วัน โดยถูกกล่าวหาละเมิดกฎหมายประกาศฉุกเฉินห้ามชุมนุมกันทางการเมือง และภูมิใจที่ได้เข้าร่วมกับเสื้อแดง เพราะเขาได้ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารกับสื่อมวลชนต่างประเทศให้รู้ถึงเจตจำ นงค์ของผู้ประท้วง ทั้งนี้จากรายงานของสำนักข่าวAAP-Australian Associated Press
นายConor David Purcell จากเมืองเพิร์ธ ถูกส่งตัวมาที่ศูนย์ตรวจคนเข้าเมือง หลังจากที่สัปดาห์ก่อนศาลไทยตัดสินว่าเขากระทำผิด ละเมิดพระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉิน หลังจากเขาเข้าร่วมประท้วงต่อต้านรัฐบาลในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคมปีนี้
นายPurcell เป็นชาวไอริชโดยกำเนิด อายุ30 ปี ถูกทางการไทยจับกุมเมื่อวนที่ 23 พฤษภาคม ภายหลังรัฐบาลใช้กำลังสลายการชุมนุมในวันที่ 19 พฤษภาคม และถูกปฏิเสธให้ประกันตัว และถูกคุมขังเป็นนักโทษเป็นเวลา 89 วัน
แต่ นาย Purcell ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวAAPว่า เขาไม่เสียใจต่อบทบาทในการเข้าร่วมประท้วงรัฐบาลไทย แม้จะต้องลงเอยด้วยการถูกจับกุมคุมขังก็ตามที
"ไม่แน่นอนไม่ (ไม่เสียใจ) คนเสื้อแดงมีความจำเป็นต้องมีคนที่พูดภาษาอังกฤษกับสื่อต่างประเทศ"เขากล่าว และนั่นเป็นบทบาทที่เขาภูมิใจ
เมื่อ วันศุกร์ก่อน ศาลไทยตัดสินให้เขามีการกระทำผิดละเมิดพระราชกำหนดห้ามชุมนุมเกินห้าคน โดยตอนแรกเขายืนหยัดจะต่อสู้คดีอย่างถึงที่สุด แต่ญาติมิตรของเขาได้ขอร้องให้สารภาพว่าทำผิดกฎหมายฝ่าฝืนประกาศฉุกเฉินร่วม ชุมนุมและขึ้นเวทีนปช. ศาลจึงสั่งลงโทษจำคุก 45 วัน แต่เนื่องจากติดคุกมาแล้ว 89 วันจึงสั่งปล่อยตัว
นาย Purcell กล่าวว่าเขาเคยเป็นทหารเก่าในหน่วยกำลังสำรองกองทัพออสเตรเลีย มีสุนทรพจน์ของเขากล่าวต่อฝูงชนผู้ประท้วงเสื้อแดง และถูกแปลเป็นภาษาไทยโดยผู้นำการประท้วงต่อต้านรัฐบาล และมีรายงานการเข้าร่วมประท้วง และขึ้นเวทีกล่าวปราศรัยของเพอร์เซลในสื่อไทยด้วย
ผู้พิพากษาได้ตัดสินปล่อยตัว และนาย Purcellจึงถูกเนรเทศออกนอกประเทศไทย
นาย Purcell กล่าวว่าเขาโกรธเคืองที่กองทัพไทยเข้าปราบปรามผู้ชุมนุมประท้วงรัฐบาลอย่าง สันติในวันที่ 19 พฤษภาคม แต่การกล่าวหาว่าเขาไปยั่วยุให้คนเสื้อแดงก่อความรุนแรงนั้นไม่จริง "คนเสื้อแดงอาจจะรู้จักผมดี แต่ผมไม่รู้จักพวกเขา และไม่รู้จักแกนนำวงในของฝ่ายประท้วงเสื้อแดง"
รัฐบาลไทยกล่าวหาว่า มีกลุ่มที่นิยมความรุนแรงภายกลุ่มเสื้อแดงขอเรียกร้องอย่างเกินขอบเขตการ ประท้วงอย่างสันติ เพื่องบีบบังคับให้รัฐบาลต้องลาออก
นาย Purcell กล่าวว่าเขาได้รับการเล่าจากคนแปลกหน้าว่าได้มีการเตรียมการ"เผาอาคาร(เหล่านี้)ลง"ด้วย
ทั้ง นี้มีความพยายามกล่าวหากันไปมา โดยฝ่ายรัฐบาลกล่าวหาว่าฝ่ายผู้ประท้วงเตรียมการเผาอาคารหากการชุมนุมยุติลง ด้วยการปราบปราม ส่วนฝ่ายผู้ชุมนุมก็อ้างว่า เหตุการณ์เผาทำลายอาคารเกิดขึ้นภายหลังยุติการชุมนุมและฝ่ายรัฐบาลเข้าควบ คุมพื้นที่ไว้แล้ว และก่อนหน้านั้นมีข่าวว่าฝ่ายรัฐบาลหรือนักรบศรีวิชัยจะเผาห้างเพื่อโยนความ ผิดให้เสื้อแดง
สามเดือนของการประท้วงรุนแรงขึ้น นำไปสู่การตายจำนวน 91 ศพทั้งพลเรือนและทหาร อีกกว่า 1,900 คนได้รับบาดเจ็บในความรุนแรงทางการเมืองที่เลวร้ายที่สุดในเกือบ 20 ปี และมีกว่า 40 อาคารถูกไฟไหม้จากน้ำมือพวกลอบวางเพลิง
นาย Purcell กล่าวว่ายังคงยากที่จะอธิบายภาพที่ชัดเจนของกิจกรรมการประท้วงในช่วงที่ผ่านมานี้
"ยังช็อกอยู่ มันยากที่จะเข้าใจข้อเท็จจริง"เขากล่าว
นาย Purcell ทำงานในกัมพูชาและไทย เป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษ กล่าวว่าเขายังมีฝันร้าย และจะแสวงหาการรักษาพยาบาลในประเทศออสเตรเลีย
เขากล่าวว่าเขายังหวังที่จะกลับไปยังภูมิภาคนั้น และมีแผนการจะก่อตั้งมูลนิธิการกุศล
แต่อันดับแรกก็คือเขาต้องกลับบ้านที่เพิร์ธ ออสเตรเลียก่อน
"ผมจะกลับไปหาครอบครัวและเพื่อน ๆ และพักผ่อน"เขากล่าว
"ผมยังรู้สึกสุขภาพดีมาก"เขาตอบคำถามผู้สื่อข่าว
แม้ เขาจะมีประสบการณ์อันไม่พึงประสงค์หลายอย่างในเมืองไทย แต่Purcellกล่าวว่า สิ่งที่ได้เห็นภายใต้ระบบการเมืองของไทยคือ ความอบอุ่น ความกล้าหาญ และความจริงใจของประชาชนไทย
นาย Purcellจะได้กลับบ้านสัปดาห์หน้า และได้รับการจัดเที่ยวบินกลับไปเพิร์ธ หลังจากที่เขาต้องถูกขังคุกนานกว่า 3 เดือนในประเทศไทย
ก่อน หน้านี้ฝรั่งเสื้อแดงชาวอังกฤษอีกราย คือนายเจฟฟ์ ซาเวจ ซึ่งทางการไทยจ้องเล่นงานหนักหาว่าเขาชวนผู้ชุมนุมไปเผาห้างฯในช่วงชุมนุม แต่เพราะอังกฤษยังเป็นที่เกรงใจของชนชั้นนำไทย ได้มีการจัดแจงให้เขาสารภาพผิดเพียงข้อหาร่วมชุมนุมฝ่าฝืนพรก.ฉุกเฉิน และปล่อยตัวเนรเทศ
ซึ่งเขากล่าวทิ้งท้ายก่อยนอำลาแดนเถื่อนว่า"ผม หวังว่าจะเกิดความยุติธรรมขึ้นในเมืองไทย ไม่เฉพาะกับเสื้อแดง แม้แต่กับเสื้อเหลืองด้วย และทุกๆสีเสื้อ ผมหวังไว้อย่างนั้น"