ที่มา บางกอกทูเดย์
6 หมื่นล้านอีกแล้ว!! “ภูมิใจไทย”
ข้ออ้างประการหนึ่งในการทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ก็คือ
รัฐบาลในขณะนั้นปล่อยให้มีการคอร์รัปชั่นโกงกิน มีเรื่องทุจริตมากมาย
พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น ก็เลยต้องทำรัฐประหาร
ผ่านมาถึงวันนี้ วันที่ พล.อ.สนธิ ต้องการที่จะเล่นการเมือง
แต่ไม่รู้ว่าได้ย้อนทบทวนดูบ้างหรือไม่ว่า นับตั้งแต่รัฐประหาร 19 กันยา มาจนขณะนี้
ขาดอีกแค่ไม่ถึงเดือน ก็จะครบ 4 ปีแล้วนั้น ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นในเมืองไทยเป็นอย่างไร
นักการเมืองที่กำลังกุมอำนาจในปัจจุบัน มือขาวสะอาด ปากไม่เปรอะ ปากไม่มันจริงๆ หรือ?
กลิ่นทุจริตกลิ่นคอร์รัปชั่นที่โชยคละคลุ้งในเวลานี้
บรรดานายทหารใหญ่ที่กุมอำนาจได้ดิบได้ดีอยู่ในเวลานี้ ไม่ได้กลิ่นเลยจริงๆ หรือ???
ถึงวันนี้ตราบาปที่ คปค. หรือ คมช. ได้สร้างเอาไว้เป็นมรดกที่ชั่วร้ายให้กับสังคม
กำลังทำให้ประเทศไทยเสียหายอย่างมากมายเหลือคณานับ
คมช. ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการ คตส. ขึ้นมาเล่นงานตรวจสอบ
ผลงานรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
โดยเฟ้นเอาเฉพาะตัวบุคคลที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม พ.ต.ท.ทักษิณ เท่านั้น
ที่มาเป็น คตส. ซึ่งก็มีการประกาศว่าจะเอาผิด พ.ต.ท.ทักษิณ ได้อย่างแน่นอน
แต่จนถึงวันนี้ สิ่งที่สามารถเอาผิดได้ โดยอาศัยทริกตีความในแง่กฎหมายก็คือ
คดีที่ดินรัชดา เพียงแค่คดีเดียว โดยสร้างความงุนงง
และสร้างเสียงสะท้อนในเรื่องของ 2 มาตรฐานตามมามากมาย ...
เพราะคุณหญิง พจมาน ดามาพงศ์ เป็นบุคคลสาธารณะ ที่สังคมไทยรู้กันดี
โดยไม่สามารถที่จะปิดบังได้เลยว่า ขณะนั้นเป็นภริยาของ พ.ต.ท.ทักษิณ
ซึ่งขณะนั้นเป็นนายกรัฐมนตรี
แต่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูสถาบันการเงินฯ และแม้แต่ธนาคารแห่งประเทศไทย
ก็ไม่เคยทักท้วงในเรื่องคุณสมบัติของคุณหญิงพจมานเลยแม้แต่น้อย
ทั้งๆ ที่มีการยื่นซองเข้าประกวดราคาโดยเปิดเผย และกองทุนฟื้นฟูฯ
ก็เปิดซองตรวจสอบคุณสมบัติของผู้มีสิทธิที่จะซื้อแล้วด้วย
ลักษณะอย่างนี้แหละที่ก่อให้เกิดคำถามในสังคมไม่หยุด!!!
ในขณะที่อีกหลายๆ คดี ที่ไม่ว่าจะเป็นคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา
ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็น 1 ใน คตส. ได้ให้สัมภาษณ์
ปรากฏเป็นข่าวเป็นประจักษ์พยานเอกสารอย่างชัดเจนว่า มีข้อมูลมากมาย
จับเรื่องนี้มาโดยตลอด สามารถเอาผิดได้แน่ภายในระยะเวลาอันสั้น
เช่นเดียวกันกับ นายแก้วสรร อติโพธิ ที่ได้เป็น คตส. ด้วยเหมือนกัน
ก็ประกาศว่าหลักฐานชัด หลักฐานพร้อม ผิดกฎหมายแน่นอนเอาผิดได้แน่
สุดท้ายแทนที่จะใช้หลักกฎหมายในการเอาผิด กลับต้องไปใช้
”ทฤษฎีเปรียบเทียบ” ที่ตั้งขึ้นมาเอง เป็น”ทฤษฎีวัวทฤษฎีควายกินหญ้า”
เล่นเอาบรรดานักกฎหมายที่แท้จริงต่างมึนไปตามๆ กัน
ซึ่งหนึ่งในกรณีที่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ โดนหนักมาก เล่นกันเป็นลูกระนาด
รับส่งลูกกันเป็นจังหวะจะโคน ทั้งกลุ่มนายทหารที่ทำการรัฐประหาร
ทั้ง คตส. และแม้กระทั่งสื่อบางสื่อที่ร่วมถล่มอย่างชัดเจน นั่นก็คือ
กรณีสนามบินสุวรรณภูมิ และการลงทุนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสนามบินสุวรรณภูมิ
หนักสุดคือเครื่องเอ็กซเรย์ตรวจสอบ CTX ที่ทุกฝ่ายปาวๆว่าทุจริตแน่นอน...
แต่วันนี้เงียบจ้อย ไม่มีความผิดใดๆ เลย
แม้แต่แค่ระดับรัฐมนตรีคมนาคมในขณะนั้น คือนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ
ซึ่งเป็นผู้อนุมัติโครงการ ก็กลายเป็นเรื่องเงียบหายไปโดยไม่มีความผิดใดๆ ทั้งสิ้น
มีแต่กระแสข่าวเรื่องเงินสะพัด
และมีใครบางคนที่มุ่งตรวจสอบเรื่องนี้ อ้วนพีปรีเปรมเสมสันต์ไปไม่น้อย
อีกกรณีที่สนามบินสุวรรณภูมิถูกโจมตีคือเรื่อง แท็กซี่ รันเวย์ ร้าว และมีหลุมลึก
ซึ่งขานรับโดยสื่อเลือกข้าง ทั้งถ่ายรูปหลุมซึ่งมีอยู่หลุมเดียว
ถ่ายซ้ำแล้วซ้ำอีก เปลี่ยนมุมไปมา แต่ก็หลุมเดิมนั่นแหละ พร้อมกับชี้นำสังคมว่า
แย่แล้ว สนามบินสุวรรณภูมิจะพังแล้ว เพราะโกงกินกันหนัก
แต่ในความเป็นจริง
สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ เป็นสนามบินอินเตอร์เนชั่นแนลขนาดใหญ่
เพียงสนามบินเดียว ที่เมื่อเปิดใช้แล้ว
ไม่มีการต้องปิดชั่วคราวเพื่อซ่อม หรือปรับปรุงระบบเลย
ในขณะที่สนามบินอินเตอร์เนชั่นแนลอื่นๆ เมื่อเปิดใช้แล้ว มักพบปัญหา
และมีการหยุดเพื่อแก้ไขทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะที่สิงคโปร์ ฮ่องกง หรือในยุโรป ในอเมริกาเองก็ตาม
อะไรไม่สำคัญเท่ากับว่า ตลอดเวลาที่มีการโจมตีว่าสนามบินสุวรรณภูมิมีปัญหา
แท็กซี่รันเวย์ ไม่ได้มาตรฐานนั้น ปรากฏว่าสายการบินนานาชาติ ยังคงบินขึ้นบินลงตามปกติ
ซึ่งสายการบินนานาชาติ จะให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยเป็นอันดับแรก
หากสนามบินไหนไม่ปลอดภัยกัปตันนักบินต่างชาติจะไม่ยอมบินไปลงเด็ดขาด
แต่ตลอดมาจนวันนี้ไม่มีนักบินต่างชาติจากสายการบินใด
ที่บอกว่าสนามบินสุวรรณภูมิมีอันตรายไม่ปลอดภัยเลย
ทุกสายการบิน ทำการบินขึ้นลงอย่างสบายใจมาโดยตลอด
รวมทั้งบริษัทประกันภัย อย่าง บริษัท ลอยด์ อินชัวแรนท์
ซึ่งเป็นบริษัทมาตรฐานสากลระดับโลก ที่รับประกันภัยสนามบินสุวรรณภูมิ
ก็ไม่เคยปฏิเสธหรือถอนการรับประกันแต่อย่างใด
หากสนามบินสุวรรณภูมิมีปัญหาจริง บริษัท ลอยด์ฯ จะยอมรับประกันหรือ?
ดังนั้นตราบาปที่ใครหลายคนพยายามสร้างให้กับสนามบินสุวรรณภูมินั้น
วันนี้น่าจะพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนแล้วว่า
วันนั้นภาพรอยร้าว ภาพหลุมลึกอะไรต่างๆ นานาคือกระบวนการป้ายสี
หากเป็นข้อทุจริตจริง
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับสนามบินสุวรรณภูมิ ก็ควรจะต้องโดนดำเนินคดีไปแล้ว
ไล่ตั้งแต่นายสุริยะขึ้นไปจนหมด ครม. และแม้แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยเลย...
แต่สุดท้ายก็เหลวไม่มีอะไรในกอไผ่
ขนาด คมช. ส่ง พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร เข้าไปเป็นประธานบอร์ด
การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ขุดคุ้ยรื้อพรมทุกเรื่อง
เพื่อจะเอาผิดให้ได้ รวมทั้งเรื่องพื้นที่สัมปทาน
ร้านดิวตี้ฟรี ของ บริษัท คิงส์ เพาเวอร์ ของนายวิชัย รักศรีอักษร ด้วย
แต่สุดท้าย พล.อ.สพรั่ง ก็ไม่สามารถที่จะเล่นงานเอาผิดใครได้
กลับได้ความสนิทสนมเกื้อหนุนจากนายวิชัยเข้ามาแทน
ในขณะที่คนใกล้ชิด พล.อ.สพรั่ง ที่มีชื่อคุ้นเคย เป็นอักษร ช.ช้าง เสียอีก
ที่กลับเป็นฝ่ายอู้ฟู่ขึ้นมา จากการที่ พล.อ.สพรั่ง เข้าไปคุมสนามบินสุวรรณภูมิ
ทั้งหมดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากผลพวงการทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ใช่หรือไม่
เป็นสิ่งที่ต้องถามใจ พล.อ.สนธิ และกลุ่มนายทหาร คมช. ทั้งหลาย ว่า
เมื่อย้อนคิดกลับไปแล้ว รู้สึกเช่นใดหรือไม่
ที่สำคัญหากสนามบินสุวรรณภูมิเลวร้าย และมีปัญหาจริง
ทำไมวันนี้จึงยังคงเปิดให้บริการได้โดยไม่มีปัญหา
แถมล่าสุด กลับกลายเป็นว่าผลงานที่เกิดขึ้นในช่วงรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ
ที่เคยระบุว่าจำเป็นต้องสร้างสนามบินสุวรรณภูมิเพราะสนามบินดอนเมืองรองรับไม่ไหวแล้วนั้น
วันนี้ก็พิสูจน์ชัดอีกเช่นกันว่า เป็นวิสัยทัศน์ที่ถูกต้องแล้ว
เพราะวันนี้กระทรวงคมนาคม ก็กำลังเอาผลงานของ พ.ต.ท.ทักษิณ มาต่อยอด ว่า
แม้แต่สนามบินสุวรรณภูมิเอง ในอนาคตก็กำลังจะไม่พอเพียง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากประเทศไทยต้องการจะเป็น Hub ของสายการบินในภูมิภาคนี้
ก็จำเป็นต้องขยายสนามบินสุวรรณภูมิ เฟส 2 ตามแนวทางที่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ
เคยวางเอาไว้
ถ้ารัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ผิดพลาดจริงๆ
ทำไมรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพรรคภูมิใจไทยของ นายเนวิน ชิดชอบ
ที่เข้ามายึดกุมบริหารกระทรวงคมนาคมอยู่ในปัจจุบัน จึงเอาแผนงานมาสานต่อ
การต่อยอดครั้งนี้นอกจากเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า
โครงการสนามบินสุวรรณภูมิไม่ได้เลวร้ายแล้ว
ยังถือเป็นการตบหน้า คนใน คตส. ที่เคยกล่าวร้ายเกี่ยวกับสนามบินสุวรรณภูมิเอาไว้ด้วย!!!
โดยกระทรวงคมนาคม ที่มีนายโสภณ ซารัมย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการ
ได้ชงข้อเสนอขอความเห็นชอบโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
(ปีงบประมาณ พ.ศ. 2554-2559) ของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)
หรือ ทอท. วงเงินลงทุน 62,503.214 ล้านบาท
ซึ่งคณะกรรมการ ทอท. มีมติเห็นชอบโครงการดังกล่าวแล้ว เข้าสู่ที่ประชุม ครม.
ระบุว่าเพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้รองรับผู้โดยสารได้เพิ่มขึ้น 15 ล้านคนต่อปี
(จาก 45 ล้านคนต่อปี เป็น 60 ล้านคนต่อปี แบ่งเป็นผู้โดยสาร
ระหว่างประเทศ 48 ล้านคนต่อปี และผู้โดยสารภายในประเทศ 12 ล้านคนต่อปี)
โดยที่จะเป็นงานก่อสร้างส่วนขยายอาคารผู้โดยสารหลักด้านทิศตะวันออก
งานก่อสร้างอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 งานระบบสาธารณูปโภค
และงานจ้างที่ปรึกษาบริหารจัดการโครงการ ประกอบด้วย
1.กลุ่มงานอาคารผู้โดยสารหลัก วงเงินรวม 7,405.863ล้านบาท
ในงานออกแบบและก่อสร้างส่วนขยายอาคารผู้โดยสารหลักด้านทิศตะวันออก
ปีงบประมาณ 2555-2559 วงเงินลงทุน จำนวน 6,780.190 ล้านบาท
โดยมีพื้นที่เพิ่มขึ้นประมาณ 60,000 ตร.ม.
ทำให้สามารถรองรับผู้โดยสารระหว่างประเทศได้เพิ่มขึ้นอีก 15 ล้านคนต่อปี
2.กลุ่มงานอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 วงเงินรวม 40,745.067 ล้านบาท
3.งานออกแบบและก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคปีงบประมาณ 2554-2559
วงเงินลงทุน 2,693.219 ล้านบาท และ
4.งานจ้างที่ปรึกษาบริหารจัดการโครงการ วงเงิน 763 ล้านบาท
โดยโครงการนี้มีระยะเวลาดำเนินการ 6 ปี (ปีงบประมาณ 2554-2559)
อายุโครงการ 30 ปี มูลค่าการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ประมาณ 14,235 ล้านบาท
คิดเป็นร้อยละ 23.43 ของวงเงินลงทุน
ซึ่ง ทอท.จะใช้จ่ายจากเงินรายได้ของ ทอท. ในการลงทุนจำนวน 45,053.214 ล้านบาท
หรือประมาณร้อยละ 72.08 ในช่วงปีงบประมาณ 2554-2559
และมาจากเงินกู้ต่างประเทศ จำนวน 17,450 ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 27.92
ในช่วงปีงบประมาณ 2558-2559 ทั้งนี้
ทอท.ประมาณการผลตอบแทนทางการเงินหรือ IRR เท่ากับ ร้อยละ 9.02
มีมูลค่าปัจจุบันสุทธิ เท่ากับ 645.484 ล้านบาท
และมีระยะเวลาคืนทุนเท่ากับ 10 ปี 1 เดือน
ตัวเลขของ ทอท. แสดงว่า ในปี 2552 มีผู้โดยสารมาใช้บริการ 40.09 ล้านคน
และ ทอท.คาดว่า ในปี 2554 จะมีผู้โดยสารมาใช้บริการเพิ่มมากขึ้นเป็น 47.3 ล้านคน
และเนื่องจากขีดความสามารถในการรองรับหลุมจอดเครื่องบินประชิดอาคาร
มีเท่ากับ 51 หลุมจอด แต่มีความต้องการใช้งาน 67 หลุมจอด และจะเพิ่มขึ้นทุกปี
ทอท.จึงจำเป็นต้องเตรียมการปรับปรุงพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
เพื่อรองรับปริมาณผู้โดยสาร และเที่ยวบินที่จะเพิ่มขึ้น
เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาความแออัด
และรักษาระดับการให้บริการผู้โดยสารให้ได้ตามมาตรฐานสากล
นี่คือสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า
ที่ผ่านมาสนามบินสุวรรณภูมิไม่ใช่ความผิดพพลาด
จึงทำให้ ทอท.เองก็ยอมรับว่า จะต้องมีการพัฒนาเฟส 2 ต่อไป
ตราบาปสุวรรณภูมิที่เกิดขึ้น เป็นเพียงหนึ่ง
ในวิธีการที่ใช้ในการทำลายรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ เท่านั้นเอง
อย่างไรก็ตาม การต่อยอดสนามบินสุวรรณภูมิ
ที่พรรคภูมิใจไทย เสนอชงขอใช้งบประมาณกว่า 60,000 ล้านบาทในช่วงนี้ต่างหาก
ที่สังคมควรจะต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด
และโดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะนายกรัฐมนตรี
ซึ่งหากต้องการรักษาหรือสร้างภาพลักษณ์ให้ได้ จะต้องตรวจเข้มเป็นพิเศษ
เพราะเป็นเรื่องที่น่าสังเกตอย่างยิ่งหรือไม่ว่า
ทำไมกระทรวงคมนาคม ใต้เงาของพรรคภูมิใจไทย
จึงเน้นโครงการใหญ่ๆ หลายหมื่นล้านบาทมากเป็นพิเศษ
ไม่ว่าจะเป็นโครงการรถเมล์เช่า
ซึ่งจากเดิมตั้งธงเอาไว้ที่ 6,000 คัน มูลค่าตอนแรกปาเข้าไปถึง 110,160 ล้านบาท
เมื่อสะดุดก็ลดลงมาเป็น 98,000 ล้านบาท ซึ่งก็ยังแพงระยับอยู่เช่นเดิม
จนเมื่อถูกตีมากๆ ก็ลดจาก 6,000 คันลงมาเป็น 4,000 คัน
วงเงินแม้จะลงมาอยู่ที่ 65,000 ล้านบาท แต่ก็ยังแพงวินาศอยู่เช่นเดิม
ทำให้จนวันนี้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์
ก็ยังคงต้องเตะถ่วงโครงการรถเมล์ 6 หมื่นล้านบาทนี้เอาไว้ก่อน
ซึ่งก็ให้บังเอิญเหลือเชื่อ ที่กระทรวงคมนาคมก็หันมาชงโครงการระดับ 6 หมื่นล้านบาท
ขึ้นมาทดแทนได้พอดิบพอดี ในช่วงโค้งสุดท้ายของการเป็นรัฐบาล
แค่เปลี่ยนเป้าจากรถเมล์มาเป็นสนามบินเท่านั้น
ปัญหาคือ เป็นเรื่องที่เหมาะสมหรือไม่ กับระยะวลาที่เหลืออยู่
เพราะจะมีการเลือกตั้งใหญ่เกิดขึ้นในต้นปีหน้าอยู่แล้ว
ทำไมกระทรวงคมนาคมของพรรคภูมิใจไทยจึงต้องเร่งรีบเช่นนี้???
ข้อสงสัยเกี่ยวกับกระสุนดินดำเพื่อการเลือกตั้ง จึงเกิดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
เพราะนายอภิสิทธิ์ เองก็ควรจะต้องยอมรับว่ากระแสเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่น
และการกอบโกยผลประโยชน์ต่างๆ เวลานี้เกิดขึ้นหนาหูเหลือเกิน
หรือตัวเลข 6 หมื่นล้านบาท จะเป็นตัวเลขโชคลางของพรรคภูมิใจไทย
ที่ไม่ว่าจะเป็นโครงการอะไรก็ได้ แต่อย่างน้อยก็ขอให้ได้สักโครงการเถอะ!!!