ที่มา Voice TV
จตุพร ชี้ อภิสิทธิ์ หวังแต่ชนะการเลือกตั้ง จึงยัดเยียดข้อกล่าวหาให้กลุ่มคนต่าง ๆ จนไปเปิดปราศรัยที่ราชประสงค์
ผมนายจตุพร พรหมพันธุ์ ผู้ถูกคุมขังจากการกล่าวหาของเจ้าหน้าที่รัฐในความผิดฐานก่อการร้าย ได้มีโอกาสรับทราบบันทึกของนายอภิสิทธิ์เรื่อง “จากใจนายอภิสิทธิ์ถึงคนไทยทั้งประเทศ” รวม 5 ตอน ที่เผยแพร่ในเฟซบุค ตลอดจนคำสัมภาษณ์ คำปราศรัยหาเสียงของนายอภิสิทธิ์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โดยกล่าวถึงเรื่องการสลายการชุมนุมของประชาชน “แนวร่วมประชิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ” ทั้งบริเวณสี่แยกคอกวัวและสี่แยกราชประสงค์ และมีผู้เสียชีวิตจำนวน 91 ศพ บาดเจ็บ 2,000 กว่าคน และในวันที่ 23 มิถุนายน นายอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์จะไปปราศรัยที่ราชประสงค์ พฤติกรรมของนายอภิสิทธิ์ในช่วงระยะเวลานี้
นายอภิสิทธิ์คงลืมฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรีและความเป็นนายกรัฐมนตรีก่อนการ ยุบสภา เพราะความเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ของนายอภิสิทธิ์ในเวลานี้ นายอภิสิทธิ์คงคิดแต่เพียงอย่างเดียวว่าทำอย่างไร “พรรคประชาธิปัตย์จะชนะการเลือกตั้ง” เท่านั้น
แต่หากนายอภิสิทธิ์ ไม่ลืมฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ คงไม่พูดในลักษณะยัดเยียดข้อหาเผาบ้านเผาเมือง หรือข้อหาก่อการร้ายให้กับใคร หรือพรรคการเมืองใด เพราะในฐานะนายกรัฐมนตรีหรือรักษาการนายกรัฐมนตรีในเวลานี้ ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารไม่ควรชี้นำกระบวนการยุติธรรมในชั้นศาล อีกทั้งรัฐธรรมนูญก็คุ้มครองว่า “ก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทำความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้” นายอภิสิทธิ์ คิดเช่นนี้ นายอภิสิทธิ์ในฐานะนายกรัฐมนตรีคงไม่เผยแพร่เฟซบุคกล่าวหาใคร และนายอภิสิทธิ์ต้องบอกกับพรรคประชาธิปัตย์ไม่ให้มาเปิดปราศรัยใหญ่ที่แยก ราชประสงค์
แต่เพราะเหตุที่นายอภิสิทธิ์ มุ่งชนะการเลือกตั้งในฐานะที่เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จึงไม่สนใจ ไม่นำพาต่อตำแหน่งรักษาการนายกรัฐมนตรี และไม่สนใจต่อคำพูดของตนเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2551 ที่กล่าวหานายกรัฐมนตรีในอดีตท่านหนึ่งว่า “ผมไม่นึกไม่ฝันว่า เรามีรัฐ ที่ได้ทำร้ายประชาชนถึงขั้นเสียชีวิต บาดเจ็บสาหัส แล้วยังมีรัฐ ที่พยายามยัดเยียดความผิดกลับไปให้ประชาชนอีก เป็นพฤติกรรมที่รับไม่ได้ครับ บัดนี้ เขาสูญเสียไปแล้ว นายกฯ ไปยัดเยียดข้อหาใส่เขาอีก พฤติกรรมอย่างนี้ไม่มีทางนำพามาซึ่งความสมานฉันท์ ความปรองดอง”
ถามว่า การที่นายอภิสิทธิ์ไปยืนพูดปราศรัย ที่สี่แยกราชประสงค์ ในวันที่ 23 มิถุนายน นายอภิสิทธิ์ คงมิใช่คนที่เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย เพราะหากนายอภิสิทธิ์ สำนึกว่าตนเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยแล้ว นายอภิสิทธิ์ก็จะต้องสำนึกถึงคำพูดของตนที่เคยกล่าวหา อดีตนายกรัฐมนตรีคนอื่น โดยเฉพาะคำพูดของตนที่ว่า “บัดนี้เขาสูญเสียไปแล้ว นายกฯ ไปยัดเยียดข้อหาใส่เขาอีก” และอยากจะถามว่า การที่นายอภิสิทธิ์ไปยืนปราศรัยยัดเยียดข้อหาให้กับผู้สูญเสีย แล้วนายอภิสิทธิ์โชคดีได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ถามว่านายอภิสิทธิ์จะนำพาความสมานฉันท์ ความปรองดองให้เกิดกับสังคมตามที่ตนเคยพูดไว้อย่างไร
เมื่อนายอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์ ตัดสินใจที่จะเลือกปราศรัยที่สี่แยกราชประสงค์ ผมก็มีคำถามถึงนายอภิสิทธิ์ ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี (ซึ่งนายอภิสิทธิ์คงลืมไปแล้วในเวลานี้) มิใช่ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ดังนี้
1. “ใครฆ่าประชาชน”
(1) ชายชุดดำที่นายอภิสิทธิ์ กล่าวอ้างตลอดระยะเวลา 1 ปีเศษ นับแต่เกิดเหตุ เป็นใคร ทำไมถึงจับกุมไม่ได้ และในเวลาที่อ้างชายชุดดำเป็นผู้ก่อการร้าย มีทหารจำนวนมาก แต่ทำไมสามารถจับกุมชายชุดดำ ผู้ก่อการร้ายไม่ได้แม้แต่คนเดียว
(2) การฆาตกรรมหมู่ที่วัดปทุมวนารามจำนวน 6 ศพ “เขตอภัยทานของวัด” ทำไมทั้งคุณ และนายสุเทพ ได้ตอบอภิปรายในสภาอันทรงเกียรติไม่ยอมรับว่า ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 หลังจากเวลา 18.30 น. แล้วไม่มีเจ้าหน้าที่ทหารอยู่บนรางรถไฟบีทีเอสอย่างแน่นอนและเด็ดขาด ข้างล่างก็ถอน ข้างบนก็ถอน ไปตั้งหลักอยู่ที่สถานีรถไฟฟ้าสยาม และยืนยันว่าการปะทะอยู่ที่มุมซ้าย ไม่ใช่ที่หน้าประตูวัด” รายละเอียดปรากฎตามบันทึกรายงานการประชุมสภาหน้า 251 – 253 และนายสุเทพ ยังอ้างตอบอภิปรายว่า “สงสัยว่ายิงกันเอง”
รายละเอียดปรากฎตามรายงานการประชุมสภา หน้า 257 ส่วนตัวคุณเองยังอ้างอีกว่า เป็นการยิงจากแนวราบไม่ใช่เป็นการยิงจากที่สูง คำพูดของคุณในฐานะนายกรัฐมนตรีและนายสุเทพ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีที่ตอบญัตติการอภิปรายไม่ไว้วางใจในรัฐสภาอันทรง เกียรติแตกต่างกับคำพูดหรือคำให้การของทหารกองพันรบพิเศษที่ 1 กรมรบพิเศษที่ 3 ลพบุรี ได้แก่ 1. จ.ส.อ.สมยศ ร่มจำปา 2. ส.อ.เดชากร มาขุนทศ 3. ส.อ.ภัทรนนท์ มีแสง 4. ส.อ.สุนทร จันทร์งาม 5. ส.อ.ชัยวิชิต สิทธิวงษา 6. ส.อ.เกรียงศักดิ์ สีบุ 7. ส.อ.วิฑูรย์ อินทำ
แม้จะเป็นนายทหารชั้นประทวนก็ยังกล้ารับว่าในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 พวกตนปฏิบัติหน้าที่บริเวณวัดปทุมวนารามขึ้นปฏิบัติการบนรางรถไฟฟ้าตั้งแต่ สถานีสนามกีฬา ไปยังสถานีสยาม โดยมี พ.ต.นิมิตร วีระพงศ์ เป็นหัวหน้าภารกิจป้องกันหน่วยทหาร ร.31 พัน 2 รอ. ที่ปฏิบัติหน้าที่บริเวณวัดปทุมวนาราม จึงถามว่าคำพูดของพวกคุณ กับนายสุเทพที่ปฏิเสธว่า ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ไม่มีเจ้าหน้าที่ทหารบนรางรถไฟฟ้านั้น จะให้เลือกเชื่อพวกคุณ หรือทหารดังกล่าวที่ให้การไว้ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ
(3) หลักฐานสำคัญที่กรมสอบสวนคดีพิเศษได้รวบรวมมาได้แก่
3.1 การที่กองพันรบพิเศษที่ 1 กรมรบพิเศษที่ 3 ลพบุรี มาปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของ ศอฉ. ที่นายอภิสิทธิ์ตั้งขึ้น โดยมีนายสุเทพฯ เป็นผอ. ศอฉ. ร่วมกับพลเอกอนุพงษ์ฯ และพลเอกประยุทธ์ฯ คือ คำสั่งศูนย์ปฏิบัติการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ที่ 44/2553 เรื่องให้กำลังพลปฏิบัติภารกิจตามคำสั่งของ ศอฉ. ตั้งแต่ 8 เมษายน 2553 จนจบภารกิจ “หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ” เป็นหน่วยทหารที่ขึ้นตรงต่อกองทัพบก อย่างนี้แล้ว พลเอกอนุพงษ์ฯ และพลเอกประยุทธ์ฯ คงจะหนีความรับผิดชอบไม่พ้น ส่วนนายอภิสิทธิ์ฯ และนายสุเทพฯ ในฐานะผู้กำกับควบคุม ดูแล
ศอฉ. ไม่ต้องพูดถึง หนีความรับผิดชอบไม่ได้อยู่แล้ว หลักฐานที่ว่า ปรากฎตามคำสั่งศูนย์ปฏิบัติการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษที่44/2553 คุณจะยังปฏิเสธว่าคุณมิได้สั่งการให้ทหาร มาใช้กำลังอีกหรือไม่
3.2 หลักฐานสำคัญอย่างหนึ่ง ที่ฆาตกรได้นำมาฆาตกรรมหมู่ประชาชนจำนวน 6 ศพที่วัดปทุมฯ คือ กระสุนหัวเขียว ในร่างผู้ตายหลายศพมีเศษหัวกระสุนเขียวฝังอยู่ในร่าง ซึ่งพ.ต.นิมิตร ฯได้ให้การไว้ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ ว่า กระสุนปืนของชุดปฏิบัติการที่ใช้เป็นขนาด5.56มม. โดยเป็นชนิดM855 โดยจะแตกต่างจากกกระสุนปืนอย่างอื่นคือ ที่บริเวณหัวกระสุนจะเป็นสีเขียว สามารถมองเห็นได้ชัด และเบิกจ่ายให้กับชุดปฏิบัติการของพ.ต.นิมิตร ฯด้วย โดยเบิกกระสุนปืนดังกล่าวมาจากต้นสังกัดที่ลพบุรีนอกจากนี้ในรายงานการ ชันสูตรพลิกศพผลการตรวจวิถีกระสุนจำนวน3ศพ บ่งชัดว่า เป็นการยิงจากด้านบนลงด้านล่าง ไม่เป็นไปตามที่คุณพูดว่าเป็นการยิงในแนวราบ เช่นนี้คุณจะยังปฏิเสธว่าการตายของประชาชนที่วัดปทุมวนาราม มิใช่การตายจากทหารที่มาปฏิบัติหน้าที่อีกต่อไปหรือไม่
3.3 เหตุใดการตายทั้ง 91 ศพ ไม่ผ่านกระบวนการในการทำสำนวนชันสูตรพลิกศพตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ อาญา มาตรา 150 ว่า “ผู้ตายคือใคร ตายที่ไหน เมื่อใดและถึงเหตุและพฤติการณ์ที่ตาย ถ้าตายโดยคนทำร้าย ให้กล่าวว่าใครเป็นผู้กระทำร้ายเท่าที่จะทราบได้” แม้แต่การตายของพันเอกร่วมเกล้าฯ ก็ไม่มีการชันสูตรพลิกศพ นับแต่มีเหตุตาย เป็นเวลาปีเศษแล้ว กรมสอบสวนคดีพิเศษและสำนักงานตำรวจแห่งชาติภายใต้การกำกับ ควบคุม ดูแล ของคุณและนายสุเทพฯ ก็โยนกันมาไม่สามารถส่งเรื่องให้ศาลทำการไต่สวนตามกฎหมาย ถามว่า ทำไมจึงไม่ให้ศาลไต่สวน พวกคุณกลัวอะไร ถ้าให้ผมตอบคุณคงกลัวว่า หากศาลไต่สวนแล้วเห็นว่าการตายเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐพวกคุณต้อง รับผิดชอบใช่หรือไม่
ทุกวันนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษและสำนักงานตำรวจแห่งชาติคงไม่กล้าทำอะไรกับพวก คุณหรอก ในทางกลับกัน เมื่อพวกคุณไม่ให้มีการชันสูตรพลิกศพและไต่สวนตามกฎหมาย ถามว่าแล้วหากคุณมีสิทธิอะไรมายัดเยียดข้อกล่าวหาว่าใครเป็นคนฆ่าใคร หลักฐานหามีไม่คนที่เสียชีวิตก็ไม่มีอาวุธอยู่ในมือ พวกคุณก็ยังยัดเยียดข้อหาให้เขาอีก มันอยู่ในหลักนิติธรรมหรือไม่
2. กรณีการวางเพลิง
การวางเพลิง โดยเผาเซ็นทรัลเวิร์ลหรือตามจุดต่างๆของประเทศไทย ขณะนนี้เรื่องอยู่ในกระบวนการของศาลยุติธรรมที่จะพิจารณาพิพากษาคดีแต่ทำไม คุณและนายสุเทพฯ จึงมาพูดใส่ร้ายผู้ชุมนุมเป็นผู้เผา ทั้งๆที่คุณและนายสุเทพฯ ทราบบทบัญญัติรัฐธรรมนูญเป็นอย่างดีว่าก่อนมีคำพิพากษาคดีอันถึงที่สุดแสดง ว่าบุคคลใดได้กระทำความผิดจะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำความผิด มิได้ การที่พวกคุณในฐานะเป็นผู้กุมอำนาจฝ่ายกล่าวว่าหาว่าผู้ชุมนุมและพวกผมเป็น ผู้ก่อให้เกิดการวางเพลิงทั้งๆ ที่ยังไม่มีการพิพากษาคดี พวกคุณจึงกล่าวหาเองและสรุปเองทั้งสิ้น จึงมีคำถามดังนี้
2.1 คุณในฐานะนายกรัฐมนตรีหัวหน้าฝ่ายบริหารก้าวล่วงตุลาการ หรือไม่ เพราะคดีเรื่องวางเพลิง คุณในฐานะหัวหน้ารัฐบาลใช้กลไกลกล่าวหาผู้ชุมนุมและพวกผมทำไม คุณไม่ปล่อยให้ศาลพิจารณาหรือพิพากษาคดีให้ถึงที่สุดเสียก่อน หากเป็นเช่นนี้ถามว่าคุณก้าวล่วงและละเมิดต่อการพิจารณาโดยการชี้นำกระบวน การยุติธรรมใช่หรือไม่
2.2 การเผาเซ็นทรัลเวิลด์มีชายฉกรรจ์แต่งกายคล้ายทหาร มีอาวุธครบมือ โดยมีระเบิดข่มขู่ใส่เจ้าหน้าที่ จนได้รับบาดเจ็บหลายคน เพื่อไล่ให้ออกจากศูนย์การค้า คนเหล่านั้นเป็นใครกล้าจับ คุณต้องตอบคำถามนี้
2.3 คุณต้องตอบคำถามของพันตำรวจโทชุมพล บุญประยูร เลขาธิการ สมาคมอาสาบรรเทาสาธารณภัยแห่งประเทศไทยที่กล่าวว่า “ตลอดเวลา 2 เดือนเต็มเราได้ประสานไมตรีกับผู้ชุมนุมมาเป็นอย่างดี โดย เฉพาะพวกการ์ดแทบจะรู้จักกันทุกคน แต่ในวันเกิดเหตุเผาเซ็นทรัลเวิลด์ขอบอกว่าไม่เห็นหน้าคนเหล่านั้นเลย มีแต่พวกที่เรียกตัวเองว่า กองกำลังไม่ทราบฝ่าย กลุ่มนี้แหละที่เขาบอกว่าเป็นผู้ก่อการร้าย เป็นผู้ก่อการร้ายที่แม้แต่ตำรวจและทหารไม่กล้าแตะ ถามว่าทำไมคุณและนายสุเทพฯ ไม่สืบสวนจับกุมคนพวกนี้ คนกลุ่มนี้เข้าออกในที่เกิดเหตุโดยไม่มีใครกล้าทำอะไรพวกเขา เจ้าหน้าที่มีข้อมูลทุกอย่าง แต่ทำไมถึงจับคนร้ายไม่ได้”
2.4 เวลา 16.30 น. มีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ถืออาวุธครบมือได้เข้าไปในเซ็นทรัลเวิลด์แต่ต้องถอย ร่นเนื่องจากมีผู้บุกรุกที่แต่งกายคล้ายทหารมีทั้งอาวุธและลูกระเบิด เจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมความปลอดภัยของเซ็นทรัลเวิลด์รายงานให้ผู้บริการทราบ แต่ทำไมกองกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งเข้ามารักษาความสงบในศูนย์การค้าต้อง ถอนตัวออกไปจากศูนย์การค้า และถามว่าทำไมทหารที่สี่แยกราชประสงค์ที่มีอยู่จำนวนมากในเวลานั้นไม่เข้ามา รักษาความปลอดภัยในศูนย์การค้า
2.5 ทำไมเจ้าหน้าที่รัฐ หรือ คุณ หรือ นายสุเทพฯ ที่มีหน้าที่ต้องสืบสวนสอบสวนหาความจริงจึงไม่ตรวจสอบหรือเรียกดูกล้องซีซี ทีวี (CCTV) จากห้างเกสรพลาซ่า,จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และโรงพยาบาลตำรวจ มาตรวจสอบบริเวณที่เกิดเหตุเพราะกล้องทุกตัวสามารถมองเห็นเซ็นทรัลเวิลด์ และถนนโดยรอบเซ็นทรัลเวิลด์ได้ ทำไมไม่ตรวจสอบหรือกลัวว่าตรวจสอบแล้วจะกล่าวหาผู้ชุมนุมไม่ได้ การตรวจสอบสอบนี้รวมถึงคำถามไปยังห้างเซ็นทรัลเวิลด์ด้วยว่ากล้อง ซีซีทีวี (CCTV) ที่บันทึกเหตุการณ์ในอาคารของ เซ็นทรัลเวิลด์ เอาไปเก็บไว้ทำไม และเหตุใดจึงไม่รักษาสิทธิของตนกลัวอะไรจะเกิดขึ้น เพราะกล้องซีซีทีวี (CCTV) จากฝั่งเกสรพลาซ่า สามารถจับภาพตอนอาคารทางเชื่อมของ เซ็นทรัลเวิลด์ ยุบถล่มอย่างต่อเนื่องและมีภาพนาทีอาคารถล่มเท่านั้นที่ปรากฎสู่สาธารณะ ถามว่าภาพก่อนหน้านั้นตั้งแต่เช้า สาย บ่าย และเย็นของวันนั้นเกิดอะไรขึ้น จึงไม่อาจปรากฏสู่สาธารณะชน ทำไมความจริงในบางขณะเวลาจึงหายไปหรือมีอะไรอยู่ในภาพเคลื่อนไหวเหล่านั้น ที่สามารถบ่งบอกชี้วัดได้ว่า ใครเป็นผู้เผาเซ็นทรัลเวิลด์ พวกคุณ และ นายสุเทพฯจึงไม่ให้เจ้าหน้าที่รัฐสอบสวน
2.6 จริงหรือที่คนเสื้อแดงถูกฆ่าตายเพราะไปเผาบ้านเผาเมือง คำถามที่คุณต้องตอบคือ ทำไมคุณไม่สอบสวนว่าใครไล่เจ้าหน้าที่ตำรวจออกมา ใครไม่ให้นักดับเพลิงเข้าไปดับไฟเพราะถ้าเป็นคนเสื้อแดงเผาจริงคงต้องถูก ปราบปราม และหากจับไม่ได้ก็คงเป็นศพเกลื่อนในศูนย์การค้าแล้ว แต่นี่ไม่สามารถจับผู้วางเพลิงที่แท้จริงได้ส่วนที่ถูกดำเนินคดีอยู่ที่ศาล หาความจริงแล้วน่าจะเป็นแพะ ผมจึงถามคุณและนายสุเทพฯว่าจริงหรือไม่ที่มีการกล่าวว่า “ประเทศไทยของเราอย่าให้ใครมาเผา(แล้วห้ามเข้าไปดับ) อีก”
ผมหวังว่าแม้ในช่วงเวลานี้เป็นความยากลำบากในชีวิตของผมที่ถูกเจ้าหน้าที่ รัฐภายใต้การกำกับดูแลของพวกคุณมากล่าวหาผม แต่ผมก็พร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแม้ผมจะต้องถูกจองจำ ชีวิตผม ครอบครัวของผม ญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงของผมต้องมีความลำบากในชีวิตไปพร้อมกับผม แต่ผมหวังว่าในที่สุดแล้วความจริงและความยุติธรรมในสังคม ก็หวังว่าจะเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ซึ่งผมจะรอวันนั้นด้วยความอดทน แต่ระหว่างที่รอพวก คุณควรจะได้ตอบคำถามที่ผมถามคุณด้วย
นายจตุพร พรหมพันธุ์
23 มิถุนายน 2554