ที่มา ข่าวสด
เปิด "หน้างาน" เรื่องซาอุฯ ขึ้นมาเอง ลงเอยด้วยความสะบักสะบอม
จะ ด้วยความไม่รู้ มั่นใจในฐานอำนาจของตนเองมากไป ขาดศิลปะในการบริหาร ขาดการปรึกษาหารือให้รอบด้าน เพื่อนไม่รัก ครองใจข้าราชการไม่ได้ หรือเหตุผลอะไรก็แล้วแต่
แต่สรุปได้สั้นๆ ว่า พรรคประชาธิปัตย์สามารถนำพาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ทุลักทุเลได้เรื่อยๆ
เป็นความสามารถพิเศษที่พรรคพวกในวงรัฐบาลไม่ค่อยแฮปปี้ แต่ก็ ทำอะไรไม่ได้
ที่หนักพอๆ กันคือ บทบาทการวางตัว ในฐานะของนายกฯ และพรรคแกนนำ ที่ทำให้เกิด "ช่องว่าง" ที่ใหญ่โตระหว่างพรรคต่างๆ
กลายเป็นรัฐบาลผสมรวมดาวกระจายที่ยิ่งอยู่ยิ่งแตกต่าง ต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างเดิน เดี๋ยวๆ ก็เปิดศึกด่ากัน
การเคลื่อนไหว "ลอยแพ" พรรคใหญ่ในขณะนี้ จึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยาก
การตั้ง พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม จากผบช.ภ.5 นั่งผู้ช่วยผบ.ตร. ในครั้งนี้ บวกลบคูณหารแล้วรัฐบาลขาดทุนย่อยยับมาตั้งแต่วันแรก
ด้วยอารมณ์ครึ้มใจที่ได้ปูนบำ เหน็จตอบแทนพวกพ้องขาลุย ที่อัดกับพรรคพลังประชาชนของเสี่ยแม้วจนโดนยุบ
แถมยังขึ้นไปค้ำยันคนเสื้อแดงให้ถึงภาคเหนือ
ครึ้มจนลืมคดีระดับโลก ที่ทำให้ไทย-ซาอุดีอาระเบีย มองหน้ากันไม่ติดมา 20 ปี
ด้วย 3 คดีใหญ่ 1.เพชรซาอุฯ ที่อมเพชรของกลางกันสนั่นเมือง บลูไดมอนด์มรดกราชวงศ์หายไปจนบัดนี้ 2.คดีสังหารนักการทูตซาอุฯ 3.คดีอุ้มนักธุรกิจซาอุฯ โมฮัมเหม็ด อัลรูไวลี่
ดีเอสไอเพิ่งพบหลักฐานใหม่ในคดีอัลรูไวลี่ และทำสำนวนสั่งฟ้อง ศาลรับฟ้องเมื่อต้นปี มีพล.ต.ท.สมคิดเป็นหนึ่งในห้าจำเลย
ทั้ง นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับรองนายกฯ สุเทพ เทือกสุบรรณ ประสานเสียงเข้มว่า ตั้งถูกหลักเกณฑ์ทุกอย่าง แถมยังอ้างว่าพล.ต.ท.สมคิดได้ล้างมลทินตามพระราชบัญญัติไปแล้ว
ลิ่วล้อออกมาผสมโรงว่า เป็นกิจการภายใน ซาอุฯ อย่ามายุ่ง
ใช้วาทะโวหารลมๆ แล้งๆ ไปสู้กับอีกฝ่ายที่แม้จะเป็นต่างชาติ แต่ทำการบ้านข้อมูลและกฎ หมายมาอย่างดี
สุด ท้ายเถียงไม่ออก ทั้งด้วยเหตุผลที่ว่า นายตำรวจกลายเป็นจำเลยคดีอาญา ทำไมไม่มีการพักราชการหรือให้ออกจากราชการไว้ก่อน กลับแต่งตั้งให้ขึ้นตำแหน่งใหญ่กว่าเดิม
ทั้งด้วยเหตุผลว่า ซาอุฯ ไม่ยอมนิ่งเฉย แต่สโลว์ดาวน์งานออกวีซ่าให้พี่น้องไทยมุสลิม
เลยต้องใช้มุขเสียสละให้พล.ต.ท.สมคิดออกมาแถลงยอมถอย
ทั้งที่โดยหลักการคนตั้งต้องเป็นคนแก้ งานนี้ภาวะ ผู้นำของนายกฯมาร์คและรองเทือกเสียหายกระจุยกระจายไปหลายตัน
และ จะยิ่งเสียหายหนัก หากซาอุฯ ถามนายกฯ ผู้ยึดมั่นในนิติรัฐว่า การดันพล.ต.ท.สมคิดไปนั่งจเร ทั้งที่เป็นจำเลยในคดีอาญา ถูกต้องตามพระราชบัญญัติตำรวจแล้วหรือ
แม้ว่าตามปฏิทินรัฐบาลเหลือเวลาปีเศษๆ จะหมดวาระ
แต่เมื่อคดีเงิน 29 ล้านบาทเดินหน้าลิ่วๆ และมีสัญญาณไม่ค่อยดี
เพราะรูปคดีของพรรคประชาธิปัตย์ดำเนินไปอย่างที่ นายจาตุรนต์ ฉายแสง ระบุว่า 4 บาท ยังถูกยุบมาแล้ว
กลายเป็นโอกาสของพรรคร่วมรัฐบาล ที่จะสลัดตัวเองจากพรรคแกนนำปัจจุบันที่มีเรื่องกินใจกันหลายเรื่อง
ล่า สุด ก็คือปัญหาการตั้งปลัดมหาดไทย ที่พรรคแกนนำเปิดไฟเขียวให้ข้ามอาวุโส ก่อนจะย้อนกลับมาไล่บี้ด้วยข้อหาทุจริตซื้อคอมพิวเตอร์ในภายหลัง
ขณะที่พรรคชาติไทยพัฒนา ก็มีพล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคออกมาเดินว่อน หาเสียงสนับสนุนการ "ปรองดอง"
เรียกเสียงแซวว่าพล.ต.สนั่นอยากเป็นนายกฯ
การยุบพรรคจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่เป็นข้อเท็จจริงในอนาคต
แต่การที่พรรคร่วมรัฐบาลออกมาเคลื่อนไหว ก็สามารถอ่านได้ 2-3 ทิศทาง
ประการหนึ่ง เท่ากับสนับสนุนแนวโน้มว่าพรรคประชาธิปัตย์อาจถูกยุบ
ประการหนึ่ง สะท้อนเยื่อใยระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคร่วมรัฐบาลว่าเหลืออยู่น้อยเต็มที
ในยามหน้าสิ่วหน้าขวานของคดียุบพรรค ยังไม่มีพรรคไหนประ กาศร่วมหัวจมท้ายกับพรรคแกนนำ
มูลเหตุที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ยิ่งเป็นรัฐบาลยิ่งเดินไปสู่เส้นทางของการเป็นศิลปินเดี่ยว ส่วนหนึ่งมาจากแนวทางการเมืองที่ผิดพลาด
ทั้งการผูกติดตนเองกับกลุ่มผู้มีบารมี และการยึดมั่นว่าพ.ต.ท. ทักษิณเป็นศัตรูหมายเลข 1 ที่ไม่อาจประนีประนอมได้
แล้วตั้งทฤษฎีใหม่ว่า ใครเป็นพวกทักษิณคือศัตรูรัฐบาล ในทางกลับกันใครไม่เป็นพวกทักษิณก็คือพันธมิตรหรือแนวร่วมรัฐบาล
แล้วใช้ทฤษฎีนี้ไปแทนที่ระบบคุณธรรมความสามารถในการแต่งตั้งข้าราชการ
แล้วใช้ทฤษฎีนี้ไปแทนที่ระบบถูกผิดตามมาตรฐานจริยธรรม ซึ่งเอื้ออำนวยให้เกิดการใช้ 2 มาตรฐาน หรือนำไปสู่การใช้วิธีการ 2 มาตรฐาน
ทำให้เกิดความคับข้องใจในหลายวงการ ทั้งข้าราชการและฝ่ายการเมืองด้วยกันเอง และสะท้อนออกไปสู่ประชาชน
ส่งผลให้เกิดวิกฤตความเชื่อมั่นในรัฐบาล ที่นับวันยิ่งกว้างขวาง
ไม่ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินคดียุบพรรค อย่างไร แต่คำตัดสินจากท่าทีของพรรคร่วม รัฐบาล
เป็นเรื่องที่พรรคประชาธิปัตย์น่าจะรับไปปรับปรุงแก้ไขตนเอง