ที่มา บางกอกทูเดย์
ไม่ ว่าอย่างไรก็ตาม ทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งขั้วรัฐบาล และทหาร จะต้องยอมรับความเป็นจริงก่อนว่า ในการสลายการชุมนุมทั้งในเดือนเมษายน 2553 บริเวณสี่แยกคอกวัว
และในเดือนพฤษภาคม 2553 บริเวณแยกราชประสงค์ ที่ด้านหนึ่งกินบริเวณกว้างไปถึงรางน้ำ สามเหลี่ยมดินแดง อีกด้านก็ลากยาวไปถึงสีลม สวนลุมฯ บ่อนไก่ และที่แยกราชประสงค์เอง ก็เลยยาวไปถึงวัดปทุมวนาราม
เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 91 ศพ และบาดเจ็บอีกกว่า 2,000 คน
นั่นคือความจริงที่ทุกฝ่ายจะต้องยอมรับว่ามีการสูญเสียชีวิตเกิดขึ้นจริงๆ
ส่วนว่าจะเสียชีวิตเพราะใคร เพราะฝ่ายไหน ถือเป็นเรื่องของข้อเท็จจริงที่จะต้องรอการพิสูจน์
ฉะนั้น หากรัฐบาลยอมรับความจริงในเบื้องต้นนี้แล้ว ด้วยว่าเป็นเรื่องที่ไม่สามารถปฏิเสธความจริงไปได้เลย สิ่งที่ตามมาก็คือ รัฐบาล ทหาร และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศอฉ. จะต้องยอมรับว่า
มีความข้อง ใจ มีความสงสัยในเหตุแห่งความตายที่เกิดขึ้นนั้น อยู่ตลอดเวลาตราบเท่าที่ยังไม่มีคำตอบว่า คนเหล่านั้นตายเพราะน้ำมือใคร และใครสั่งการ???
เพราะมีข้อสงสัยเช่นนี้แหละที่ทำให้ แม้แต่คณะกรรมาธิการด้านความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป หรือ ซีเอสซีอี ของสหรัฐ ก็ยังให้ความสนใจเป็นอย่างมากในกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย กรณีความวุ่นวายทางการเมืองช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 และเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้
เพียงแต่ว่า แทนที่เนื้อหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยจะเป็น ประเด็นสำคัญ กลับกลายเป็นว่าประเด็นเกี่ยวกับตัวบุคคลที่ถูกเชิญไปให้ข้อมูล คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
ถูกกระแสปั่นให้กลายเป็นประเด็นสำคัญขึ้นมาแทน
ลุกลามบานปลาย สั่นสะเทือนไปหมดทั้งรัฐบาล ทั้งกระทรวงต่างประเทศ และทั้ง ศอฉ.
ซึ่งน่าคิดเป็นอย่างมากว่า หากทาง ซีเอสซีอี ของสหรัฐ ไม่ได้เชิญ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่เชิญบุคคลอื่นไปให้ข้อมูลแทน
ซีเอสซีอี ก็น่าจะได้ข้อมูลที่อึ้ง ทึ่ง สยอง ไปไม่น้อยแน่ๆ
เพราะ แม้ว่าจะยังไม่มีข้อมูลเปิดเผยผ่านทาง ซีเอสซีอี แต่ก็ปรากฏว่านายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำนปช. ได้มีการออกมาให้ข้อมูลว่า การสลายการชุมนุมเมื่อวันที่19พ.ค.จนประชาชนเสียชีวิตนั้น รัฐบาลและศอฉ.ปฏิเสธว่าทหารไม่ได้ทำร้ายประชาชนให้บาดเจ็บล้มตาย โดยสองหน่วยงานนี้ปฏิเสธความรับผิดชอบกับเรื่องที่ผ่านมา รวมทั้งนายทหารบางคนในกองทัพยังปฏิเสธ และท้าให้หาหลักฐานว่าทหารทำร้ายประชาชนจึงจะรับผิดชอบนั้น
ขณะนี้ ได้รับข้อมูลจากตำรวจแตงโมที่ทนไม่ได้กับพฤติกรรมของนายตำรวจบางคน ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)ที่รับผิดชอบสำนวนการสืบสวนสอบสวนจากดีเอสไอ ที่ทำตัวเป็นศรีธนญชัยเอาใจรัฐบาลและกองทัพเพื่อหวังก้าวหน้า โดยดึงเรื่องสำนวนการชันสูตรพลิกศพให้ล่าช้า เพราะสตช.ได้รับสำนวนนี้จากดีเอสไอตั้งแต่วันที่16พ.ย.แล้ว และยังไม่เชิญอัยการเข้ามาร่วมงานตามที่กฎหมายกำหนด
รวมทั้งมีข่าว ว่าอาจส่งสำนวนให้ดีเอสไอสอบสวนใหม่ โดยอ้างว่ายังไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่ทหารคนใดทำร้ายประชาชนที่ตาย คดีเหล่านี้ไม่มีความคืบหน้าเลย
ทั้งๆ ที่ทราบมาว่าดีเอสไอส่ง10สำนวนเกี่ยวกับสาเหตุการตายของประชาชนและทหารให้สต ช.โดยมีความสมบูรณ์เพียงพอแล้ว และเรื่องเหล่านี้ตำรวจดึงสำนวนไว้ เพราะข้อมูลของดีเอสไอระบุชัดว่าทหารหน่วยใดและนายทหารคนใดที่ได้รับคำสั่ง มาสลายการชุมนุมของประชาชน ณ สถานที่ใด ใช้อาวุธและ ขนาดกระสุนชนิดใดบ้าง รวมทั้งทหารยังยอมรับว่าเป็นผู้ใช้อาวุธประจำกายในวันนั้นจริง
ซึ่งนาย จตุพร ได้มีการเปิดเผย4ใน10สำนวนที่ได้รับมาคือ1. การตายที่วัดปทุมวนารามฯ 2.การตายของสื่อมวลชนญี่ปุ่น 3.การตายของเจ้าหน้าที่สวนสัตว์ดุสิต และ4.การตายของพลทหารณรงค์วิทย์ สาละ หากสตช.ยังดึงเรื่องไว้อีก ก็จะทยอยเปิดเผยเรื่องต่างๆต่อไป
และขอเรียกร้องรัฐบาลให้บังคับใช้ กฎหมายโดยนึกถึงหลักนิติธรรมตามรัฐ ธรรมนูญ ผู้ชุมนุมเมื่อโดนกล่าวหาก็เข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายแล้ว รัฐบาลและกองทัพหากทำผิดก็ควรเข้าสู่กระบวนการโดยไม่แทรกแซงกระบวนการ ยุติธรรมด้วย โดยขอให้ศาลเป็นผู้พิสูจน์ หากสองหน่วยงานข้างต้นจริงใจที่จะปรองดองและสมานฉันท์กับสังคม รัฐบาลต้องทำให้สังคมรู้ว่ายังมีความยุติธรรมอยู่ หากสังคมยังรู้สึกว่ามีสองมาตรฐานนั้น ความปรองดองจะไม่เกิดขึ้น
สำหรับ ข้อมูลสำนวนที่นายจตุพรระบุว่า ดีเอสไอส่งให้สตช. คือ 1.การตายที่วัดปทุมวนารามฯ วันที่19พ.ค.2553เวลา18.30น.สาเหตุการตาย ถูกยิงด้วยกระสุนปืนความเร็วสูง โดยมีผู้เสียชีวิตหกรายคือ นายรพ สุขสถิตย์ นายอัฐชัย ชุมจันทร์ นส.กมนเกด อัคฮาด นายมงคล เข็มทอง นายสุวัน ศรีรักษา นายอัครเดช ขันแก้ว เจ้าหน้าที่ทหารที่เข้าปฏิบัติการขอคืนพื้นที่ มีสองชุดคือ ร.31พัน2รอ.เป็นหน่วยกำลังที่รับผิดชอบด้านล่างบนถนนพระราม1 และกองพันรบพิเศษที่1 กรมรบพิเศษที่3(ลพบุรี) นำโดย พ.ต.นิมิต วีระพงศ์ เป็นหัวหน้าชุด โดยนำกำลังปฏิบัติการสี่ชุด บนรางรถไฟฟ้าตั้งแต่สถานีสนามกีฬาเพื่อคุ้มกันชุดทหารจากร.31พัน2รอ.
ราย ชื่อทหารที่ใช้อาวุธปืนM16A2 กระสุนขนาด5.56มม.(M855) หัวกระสุนจะเป็นสีเขียวนั้นคือ จ.ส.อ.สมยศ ร่วมจำปา รองหัวหน้าชุดฯ ส.อ.ภัทรนันท์ มีแสง ส.อ.เกรียงศักดิ์ สีบุ ส.อ.ชัยวิชิต สิทธิวงษา และส.อ.วิฑูร อินทำ โดยทหารทั้งห้านายรับว่าได้ใช้อาวุธปืนประจำกายยิงเข้าใปในวัดปทุมวนารามฯ จริงตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาที่มีการเบิกขออาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนจากหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ คือปืนM16A2 กระสุนขนาด5.56มม.
และพื้นที่นี้เป็นเขตอภัยทานที่ศูนย์ศึกษาและ พัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล ศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอนุกรรมการส่งเสริมประสานเครือข่าย คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ส่งหนังสือถึงเจ้าอาวาสวัดปทุมวนารามฯขอให้พื้นที่นี้เป็นเขตอภัยทานด้วย
นาย จตุพรระบุว่า พยานบุคคลหลายปากยืนยันว่ามีเสียงปืนดังลงมาจากสถานีรถไฟฟ้าสยามซึ่งเป็นที่ ตั้งของหน่วยทหารพล.1รอ.และมีผู้ถ่ายภาพทหารบนรางรถไฟฟ้าได้ โดยหัวกระสุนในหกศพนั้นระบุว่าเป็นกระสุนขนาด5.56มม.หัวกระสุนสีเขียว และสิ่งสำคัญคือช่วงที่ตำรวจขึ้นอาคารสูงไปถ่ายภาพห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เวิล์ดในขณะถูกเพลิงไหม้ก็มีการถ่ายภาพทหารที่มีอาวุธปืนยาวบนรางรถไฟฟ้าและ เสียงปืนจากทิศทางนั้นดังขึ้น เมื่อทหารจากลพบุรีรับว่าหน่วยนี้เป็นหน่วยคุ้มกันทหารแนวราบคือร.31พัน2 รอ.ที่ใช้อาวุธประจำกายและกระสุนสีเขียวจริง เท่ากับว่าการตายของประชาชนหกศพเป็นฝีมือทหารทั้งสิ้น
2.การตายของ นายฮิโรยูกิ มูราโมโต้ ผู้สื่อข่าวญี่ปุ่น สำนักข่าวรอยเตอร์ เมื่อวันที่10เม.ย. 2553เวลา21.00น.ด้านหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ถนนดินสอ โดยโดนกระสุนความเร็วสูงไม่ทราบขนาดนั้น พยานสำคัญคือดาบตำรวจนอกเครื่องแบบที่อยู่ห่างออกไป1เมตรไปช่วยประคองลำตัว นายฮิโรยูกิ โดยยืนยันวิถี กระสุนว่าไม่ได้โดนยิงจากฝั่งผู้ชุมนุมและพยานอีกคนระบุว่ามีเสียงไฟ จากกระบอกปืนทหาร โดยสอดรับกับหลักฐานของนายฮิโรยูกิคือวีดีโอคลิปจากกล้องของนายฮิโรยูกิ และพื้นที่นี้กองร้อยบิน กองพลทหารราบที่2 รักษาพระองค์(พล.ร.2รอ.)นำโดยพ.อ.ธรรมนูญ วิถี รับคำสั่งจากผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่2 ให้ร่วมปฏิบัติการสลายการชุมนุม และนำทหารจำนวนสี่กองร้อยมาที่ถนนดินสอ
3.การตายของนายมานะ อาจราญ เจ้าหน้าที่สวนสัตว์ดุสิต เมื่อวันที่10เม.ย.ที่ผ่านมาเวลา 23.30น. ณ สวนสัตว์ดุสิตนั้น พยานคือนายบุญมี แก้วไทรท้วม ตะโกนขอความช่วยเหลือให้นายมานะที่โดนยิง และพื้นที่นี้ทหารเข้ามาด้วย ทั้งนี้ตำรวจนายหนึ่งให้ข้อเท็จจริงว่า ทหารที่เข้าปฏิบัติการคือ กองร้อยทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่1 กองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่2 ค่ายสุรนารี จ.นครราชสีมา โดยมี ร.ท.จักรพันธ์ ตัณฑสมบูรณ์ เป็นผู้ปฏิบัติการ หลักฐานที่ยืนยันว่าทหารหน่วยนี้ทำร้ายนายมานะคือ ปลอกกระสุนปืนM16 สองปลอก โล่ปราบจลาจลสองอัน กระบองปราบจลาจลสามอัน เสื้อลายพรางระบุชื่อบารมีชีพ ไธสง หนึ่งตัวและพื้นที่นี้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ระบุว่าไม่มีบุคคลภายนอกเข้าไป เว้นแต่ทหารในหน่วยดังกล่าวข้างต้น
4.การตายของพลฯณรงค์ฤทธิ์ สาละ เมื่อวันที่28เม.ย. 2553เวลา 15.30น. บริเวณทางขึ้นดอนเมืองโทลล์เวย์ อนุสรณ์สถานแห่งชาติ จากรายงานการตรวจศพพบเศษกระสุนปืน.233มม.ซึ่งใช้กับปืนกลเล็กM16 หรือHK33 ในศรีษะผู้ตายโดยทหารเป็นผู้ใช้เท่านั้น แต่พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศอฉ.อ้างว่ามีผู้ก่อการร้ายยิงพลฯณรงค์ฤทธิ์ตรงเกาะกลางถนน โดยตำรวจบางคนยืนยันว่าพลฯณรงค์ฤทธิ์เสียชีวิตในช่วงที่มีเสียงปืนดังขึ้น จากทหารที่อยู่ด้านข้างถนนวิภาวดีรังสิตขาออกด้านคู่ขนาน
แน่นอนว่านั่นคือ ข้อกล่าวหาชนิดเต็มๆ ที่เป็นเหมือนเผือกร้อนลวกมือกันทั่วหน้าไปหมด
ยิ่ง นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ยอมรับว่า ข้อมูลที่นายจตุพรออกมาเปิดเผย เป็นส่วนหนึ่งในสำนวนการสอบสวนของดีเอสไอจริง โดยดีเอสไอได้ส่งข้อมูลทุกอย่างโดยละเอียดไปให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ผ่านมาดีเอสไอไม่เคยนำข้อมูลออกมาเปิดเผย แต่หลังจากนี้คงต้องเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของตำรวจที่ต้องเก็บความลับ ในสำนวนคดีดีเอสไอคงไม่สามารถก้าวก่ายอะไรมาก
“ผมไม่ได้การันตี ข้อมูลที่นายจตุพรระบุว่าเป็นความจริงทุกอย่าง แต่สิ่งที่ออกมาระบุเป็นเพียงบางส่วนในสำนวน ที่ผ่านมาดีเอสไอทำงานตรงไปตรงมา เพียงแต่ไม่ได้ออกมาแถลงรายละเอียดในสำนวนเท่านั้น หากหน่วยงานทางทหารจะโกรธเคือง ผมก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะหลักฐานภาพถ่าย คลิปวิดีโอ และพยานบุคคล ที่ดีเอสไอได้รับก็ปรากฏชัดเจนว่าใครเกี่ยวข้องบ้าง ทุกอย่างว่าไปตามหลักฐาน หากผมไปบิดเบือน ผมจะตอบลูกน้องได้อย่างไร แต่ผมก็สบายใจในระดับหนึ่งเพราะว่าข้อมูลไม่ได้หลุดไปจากขั้นตอนการทำงานของ ดีเอสไอ”นายธาริตกล่าว
นายธาริตอาจจะสบายใจว่าไม่ได้ทำข้อมูลหลุด ออกไป แต่เชื่อว่าบรรดาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับขอมูล ไม่มีทางที่จะสบายใจเช่นนายธาริตอย่างแน่นอน!!!
จึงไม่แปลกที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ออกมาโต้ทันทีว่า ทำงานอยู่ที่ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ตลอดเวลา กว่าทหารจะเข้าไปในพื้นที่ได้ก็ลำบาก โดยทหารเข้าไปดูแลพื้นที่เซ็นทรัลเวิลด์ ยืนยันได้ว่าไม่มีทหารเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์รุนแรง และยืนยันว่าศอฉ.ไม่ได้สั่งให้ใครไปทำร้ายใคร
ในขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็ได้แต่ออกตัวว่าเรื่องเหล่านี้ต้องเป็นไปตามกระบวนการและขั้นตอนในการตรวจ สอบหาความจริง และจะไปจบลงที่ขั้นตอนกระบวนการศาล ดังนั้นก็คงต้องรอดูกันไป
แน่นอนว่า เรื่องนี้คงไม่จบง่ายๆ เพราะฉะเห็นว่า ทุกครั้งที่มีหลักฐานอะไรหลุดออกมา โดยเฉพาะในโลกไซเบอร์ อย่างเช่น กรณีภาพในเวิลด์เทรด ที่ว่อนกระฉ่อนไปทั้งเน็ท ถือเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนที่สุดว่า
ประชาชนยังต้องการที่จะรู้ความจริง ในเรื่องการตาย 91 ศพ กันทั้งนั้น
วันนี้การบ้านของรัฐบาล จึงไม่ใช่การไปวุ่นติดตามตัว หรือหาทางไม่ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ไปพูดตามที่ต่างๆ ตามปรเทศต่างๆ
แต่รัฐบาลควรจะต้องเร่งสร้างความกระจ่างให้ได้ว่า ความจริงที่แท้จริงคืออะไร
เพราะ ยิ่งปล่อยให้เกิดความสงสัยยืดยาว ก็จะกลายเป็นผลลบกับรัฐบาลเอง ว่าอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ จึงไม่ยอมไขคดีปริศนานี้ออกมาให้กระจ่างเสียที
งานนี้ ใครเป็นรัฐบาล ก็มีหวังกลืนไม่เข้า คายไม่ออกด้วยกันทั้งนั้นอย่างแน่นอน