ที่มา ข่าวสด
เหตุการณ์มือปืนตามมาบุกยิงนายก อบจ. ลพบุรี หัวคะแนนพรรคภูมิใจไทย เสียชีวิตกลางกรุง
คือ สัญญาณบ่งชี้ชัดว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเดิมพันประเทศครั้งใหญ่ที่ แต่ละพรรคการเมืองพร้อมต่อสู้เอาชนะกันทุกรูปแบบโดยไม่เลือกวิธีใช้
ตั้งแต่การตั้งเวทีปราศรัยหาเสียง เดินยกมือไหว้ขอคะแนนชาวบ้านแบบตรงไปตรงมา
ไป จนถึงการส่งมือปืนไปเช็กบิลหัวคะแนนฝ่ายคู่แข่ง ถึงจะโบร่ำโบราณและเสี่ยงต่อกฎหมาย แต่ก็เป็นวิธีที่ได้ผล ทำให้บรรดาหัวคะแนนหวาดกลัวไม่กล้าออกเดินหาเสียง ทำให้พรรคพ่ายแพ้ไปในที่สุด
ในขณะที่การเลือกตั้งยิ่งเดินหน้าเข้าใกล้วันที่ 3 ก.ค.มากเท่าไหร่ บรรยากาศก็ยิ่งดุเดือดเลือดพล่านมากขึ้นเท่านั้น
แล้วก็ยังเป็นพรรคเพื่อไทยภายใต้การนำของ "นายหญิงคนใหม่"น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ยังเป็นฝ่ายครองกระแสเหนียวแน่น
ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็เป็นฝ่ายเหนือกว่าพรรคประชาธิปัตย์ของนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ทั้ง ที่มีฐานะเป็นรัฐบาลรักษาการหลังอยู่ในอำนาจเต็มมา 2 ปีครึ่ง แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่สามารถนำเอาข้อได้เปรียบตรงนี้มาใช้ประโยชน์ได้ อย่างมีประสิทธิภาพ
ยิ่งไปกว่านั้นเหตุการณ์ความรุนแรงเดือนเม.ย.-พ .ค.2553 ที่มีผู้เสียชีวิต 91 ศพ และบาดเจ็บเกือบ 2,000 คน ได้กลายเป็น "ตราบาป" ของรัฐบาลอภิสิทธิ์
ซึ่งมาผลิดอกออกผลในช่วงหาเสียงเลือก ตั้ง เมื่อมีคนจำนวนหนึ่งออกมายืนชูป้ายทวง ถามคดี 91 ศพ ไม่ว่านายอภิสิทธิ์จะไปหาเสียงในพื้นที่ไหนๆ ก็ยากจะหลบหลีกพ้น
การชี้แจงผ่านสื่อเฟซบุ๊กเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว 2 ตอนติดต่อกัน ด้วยการพยายามโยนทุกสิ่งทุกอย่างไปให้ "ทักษิณ" และ "คนชุดดำ"
นอกจากไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นแล้ว ยังก่อให้เกิดผลลบต่อพรรคและตัวนายอภิสิทธิ์มากขึ้นด้วย
เพราะยิ่งมีการมองว่าบิดเบือนมากเท่าไหร่ ยิ่งมีคนพร้อมออกมาเปิดเผยเรื่องราวความจริงเพื่อหักล้างมากขึ้นเท่านั้น
ถึง ประชาชนคนไทยทั้งประเทศต่างแสดงอารมณ์ร่วม ต้องการให้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นเข็มทิศนำทางประเทศชาติออกจากวังวนความ ขัดแย้งที่เป็นมาหลายปี
แต่ล่าสุดกลับมีสัญญาณแทรกซ้อน บ่งชี้ถึง "ความไม่ปกติ" ของการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ที่อาจนำพาประเทศกลับไปสู่วงจรความปั่นป่วนวุ่นวายอีกระลอก
โดย ทุกอย่างเกิดขึ้นสอดรับกับกระแส "ยิ่งลักษณ์" ที่พุ่งแรงนับตั้งแต่ออกจากจุดสตาร์ต ผ่านโค้งแรกจนกระทั่งมาถึงช่วงก่อนเข้าโค้งสุดท้าย สวนทางกับกระแส "อภิสิทธิ์" ที่ตกรูดจนมาอยู่ในโซนอันตราย
กระทั่งเกิดเสียงวิพากษ์ วิจารณ์กันว่า ถ้าหากไม่มีขบวนการ "มือ-เท้าที่มองไม่เห็น" ออกมาเตะตัดขาฝ่ายตรงข้ามให้ล้มคว่ำในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเข้าสู่เส้นชัย
ก็ยากที่นายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์จะทำคะแนนไล่กวดได้ทัน
ที่สำคัญต้องไม่ลืมว่าโครงสร้างอำนาจรัฐบาลอภิสิทธิ์เป็นโครงสร้างที่มีความสลับซับซ้อน
ดัง นั้น ความพ่ายแพ้ของพรรคประชาธิปัตย์จึงไม่ได้หมายความถึงความพ่ายแพ้ของนาย อภิสิทธิ์คนเดียวโดดๆ ที่จะรับผิดชอบด้วยการลาออกจากเก้าอี้หัวหน้าพรรค
แต่ ยังหมายถึงบรรดา "มือ" ต่างๆ ที่อยู่เบื้องหลังพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึง "กองกำลังทราบฝ่าย" ที่เคยหนุนหลังรัฐบาลอภิสิทธิ์ จะต้องพ่ายแพ้ไปด้วย
กลุ่มอำนาจเหล่านั้นจะยอมรับได้หรือไม่หากพรรคเพื่อไทยชนะแล้วได้เข้ามาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
เพราะอาจเสี่ยงต่อการถูกเช็กบิลขนานใหญ่ ต่อให้น.ส.ยิ่งลักษณ์จะท่องคาถาปรองดอง "ไม่แก้แค้น แต่จะแก้ไข" ซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ตาม
จึงไม่น่าแปลกใจหากขบวนการ "หักก้ามปู" จะโผล่พรึบขึ้นมาในช่วงนี้
ทั้ง แบบเปิดเผยอย่างกรณี "แก้วสรร-หมอตุลย์" และแบบที่ไม่เปิดเผยอย่างกรณีรูปถ่าย "อริสมันต์-ยิ่งลักษณ์" ที่มีการนำมาเผยแพร่ทางสื่ออินเตอร์เน็ต เป็นต้น
นอกจากขบวนการแบบเปิดเผยและไม่เปิดเผยแล้ว
ยังมีในรูปแบบคลุมเครือที่ต้องตีความกันยกใหญ่ เช่น ท่าทีของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ที่ล่าสุดได้ประกาศผ่านโฆษกกอ.รมน.ว่า
ของดให้สัมภาษณ์ 2 สัปดาห์ก่อนถึงวันเลือกตั้ง เพราะไม่ต้องการให้มีคนนำเอาคำพูดตนเองไปขยายใช้ประโยชน์ในทางการเมือง
อย่าง ไรก็ตามการประกาศรูดซิปปากของพล.อ.ประยุทธ์ เกิดขึ้นภายหลังการออกมาเปิดใจทางรายการโทรทัศน์ ถึงจุดยืนของกองทัพในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางการเมือง
ถึงจะเป็นการเปิดใจแบบเป็นกลางๆ สนับสนุนให้ประชาชนเลือกคนดีมีคุณธรรม เพื่อให้บ้านเมืองและสถาบันอยู่รอดปลอดภัย
แต่เป็นเพราะภาพลักษณ์เดิมๆ ของ กองทัพ ที่ติดตัวมาตั้งแต่เหตุการณ์รัฐประหาร 19 ก.ย.49 มาจนเหตุการณ์เดือนเม.ย.-พ.ค.53
จึง ทำให้มีการนำคำพูดของพล.อ.ประยุทธ์บางช่วงบางตอนมาขยายผลว่าเป็นการส่งซิก ต่อต้านพรรคเพื่อไทย รวมทั้งกรณีการกำหนดยุทธการ 315 ปราบปรามยาเสพติด ก็ถูกตีความเป็นการจงใจสกัดกั้นผู้สมัครพรรคเพื่อไทย
ทั้ง 2 กรณีได้รับการปฏิเสธจากกองทัพ
แต่ บังเอิญมีข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์ พร้อมหลักฐานเอกสารตีตราลับ ด่วนมาก ลงวันที่ 3 มิ.ย.54 ทหารสัสดีจังหวัดสมุทร สาคร ทำถึงผอ.กต.สมุทรสาคร ขอรายชื่อหัวคะแนนผู้สมัครส.ส.แบบแบ่งเขต
เลยทำให้สังคมยังกังขากับจุดยืนกองทัพ ว่าได้วางตัวเป็นกลางอย่างที่ผบ.ทบ.กล่าวไว้จริงหรือไม่
แต่ที่ถูกจับตาเป็นประเด็นมากที่สุดในตอนนี้
คือกรณีจู่ๆ 5 เสือ กกต. ก็บินเงียบไปดูงานต่างประเทศพร้อมกันถึง 4 คน
ตั้งแต่ นายอภิชาต สุขัคคานนท์ นายประพันธ์ นัยโกวิท นายวิสุทธิ์ โพธิแท่น นางสดศรี สัตยธรรม เหลือเพียงนาย สมชัย จึงประเสริฐ นั่งเฝ้าสำนักงานคนเดียว
จนหลายคนเป็นห่วงว่าอาจเป็นเงื่อนไขใหญ่ทำให้การเลือกตั้งสะดุด
เพราะเมื่อลองมาแล้วหลายวิธีก็ยังสกัดกั้นกระแสความแรงของฝ่ายตรงข้ามไม่อยู่ ขณะที่ระฆังบอกเวลาหมดยกใกล้ดังเข้ามาทุกที
เหลือวิธีเดียวคือ "ล้มเวที" มันเสียเลย..อย่างนั้นรึเปล่า!??