ที่มา ข่าวสด
คอลัมน์ บทบรรณาธิการ
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่จะอนุมัติให้เพิ่มงบประมาณในการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิเพิ่มเติมกว่า 10,000 ล้านบาทเท่านั้น
ยังมีการอนุมัติงบประมาณตามที่กรมทางหลวงและกระทรวงคมนาคมเสนอมาอีก 11,240 ล้านบาท เพื่อใช้ในโครงการขยายถนน 4 เลน
ประเด็นมิใช่อยู่ที่ว่าโครงการเหล่านี้อยู่ในการควบคุมดูแลของพรรคภูมิใจไทย หรือกลุ่มเพื่อนเนวินเดิม ซึ่งมีบทบาทสำคัญยิ่งในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้เท่านั้น
แต่ยังอยู่ที่วิจารณญาณของรัฐบาลในการจัดลำดับความสำคัญของการใช้งบประมาณอีกด้วย
การลดลงของเงินคงคลังก็ดี หรือการเตรียมขยายเพดานเงินกู้ของรัฐบาลก็ดี แสดงให้เห็นถึงความจำกัดของทรัพยากรโดยเฉพาะเงินงบประมาณที่รัฐบาลประสบอยู่
ยิ่งในภาวะที่สังคมไทยและรัฐบาลต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตเศรษฐกิจระดับโลกที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์
การใช้จ่ายเงินทุกบาททุกสตางค์นอกจากจะต้องระมัดระวังเรื่องความสุจริต เพื่อให้เงินสร้างประโยชน์ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้ว
ยังจะต้องไตร่ตรองการใช้จ่ายในแต่ละโครงการให้รอบคอบและรอบด้าน มีการเปรียบเทียบชัดเจนแล้วว่าเงินแต่ละก้อนถูกใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ตรงเป้าหมายตรงกับความต้องการที่แท้จริง และเป็นประโยชน์ต่อการแก้ปัญหาทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
และจะเป็นอันตรายยิ่งทั้งกับรัฐบาลและการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ หากการอนุมัติงบประมาณเกิดขึ้นด้วยเหตุผลทางการเมืองเป็นหลัก
เพราะการขาดทั้งประสิทธิภาพและความสุจริตนั้นเอง
เช่น มีการเปรียบเทียบหรือไม่ว่าอะไรจะก่อประโยชน์ต่อสังคมและเศรษฐกิจมากกว่ากัน ระหว่างการขยายถนน 4 เลน กับการก่อสร้างรถไฟรางคู่ หรือการขยายการขนส่งทางน้ำ
อะไรเป็นการลงทุนที่เหมาะสมกับปัญหาเฉพาะหน้าที่เผชิญอยู่มากกว่า ขณะเดียวกันก็สร้างความยั่งยืนในการพัฒนา หรือเป็นโครงการที่ก่อปัญหาในอนาคตน้อยกว่า
ยิ่งมีงบประมาณอยู่จำกัด การเลือกเฟ้นยิ่งต้องเป็นไปด้วยความระมัดระวัง เช่นเดียวกับการควบคุมการใช้จ่ายที่จะต้องรู้เท่ารู้ทันและละเอียดรอบคอบ มิให้เกิดรูรั่วไหลหรือช่องทางในการทุจริตเกิดขึ้นได้
เพียงประชาชนเกิดความระแวงสงสัยว่าการใช้จ่ายงบประมาณไม่เป็นไปโดยโปร่งใส
งานของรัฐบาลที่ยากหนักหนาอยู่แล้ว จะยิ่งทวีความสาหัสขึ้นไปอีกหลายเท่า