ที่มา ข่าวสด
เหล็กใน
แต่ก็พอมีชั้นเชิงแทรกมาว่าหากรัฐบาลไม่มีมาตรการอะไรเลย อาจจะติดลบ 8-10% ด้วยซ้ำ!!
เช่นเดียวกับหน่วยงานด้านการพยากรณ์เศรษฐกิจก็ประสานเสียงเหมือนกันว่าน่าจะติดลบ 2-4%
ทำให้ต้องย้อนกลับไปทบทวนเหตุการณ์เมื่อราวๆ เดือนกุมภาพันธ์ ที่นายโอฬาร ไชยประวัติ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ปาฐกถาพิเศษที่สถาบันแห่งหนึ่ง ออกมาเตือนว่าในปี 2552 ประเทศไทยน่าจะติดลบระดับ 4-5%
ห้วงนั้นนายกรณ์และคนในรัฐบาลดาหน้าออกมาตอบโต้ กล่าวหาในทำนองว่ามองในแง่ลบเกินไป และมีเจตนาแอบแฝงเพราะใกล้ชิดกับขั้วอำนาจเก่า
ทั้งยังย้ำข้อมูลและความเชื่อของตัวเองว่าเศรษฐกิจไทยมีโอกาสเติบโตราวๆ 2%
แต่ถัดมาก็เริ่มเสียงอ่อยทำนองว่าอาจจะเติบโตได้ 0-2%
แต่มาตอนนี้เริ่มยอมรับความจริงกันแล้วว่าติดลบแน่ๆ
กรณีนี้มองได้ 2 ด้าน หนึ่งที่พูดเอาไว้ในอดีตเพราะต้องการปกปิดข้อมูลข้อเท็จจริง เพื่อมิให้เกิดความตื่นตระหนก
กับอีกด้านที่น่ากลัวกว่าก็คือ อ่อนด้อยในการวิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจที่เกิดขึ้น
ถ้าเป็นกรณีแรกพอเข้าใจได้
แต่ถ้าเป็นกรณีหลังคงย่ำแย่ หากผู้บริหารประเทศมองภาพรวมของประเทศไม่ออก หรือไม่รู้ถึงปัญหาที่แท้จริง
ซึ่งดูจากการทำงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้ มีแนวโน้มอย่างสูงว่าสาเหตุน่าจะมาจากประการหลัง!?
เรื่องแจกเงิน 2,000 บาท ดูเหมือนจะชัดเจนที่สุด เพราะมีการวิพากษ์วิจารณ์กันว่าเงินหลายหมื่นล้านที่เทลงไป น่าจะได้ไม่คุ้มเสีย
รวมไปถึงการเพิ่มเพดานเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน และเพิ่มภาษีสรรพสามิต จนทำให้ตอนนี้ราคาน้ำมันเริ่มขยับสูงขึ้นเรื่อยๆ
ทำให้ธุรกิจจำนวนมากในเมืองไทย ที่ล้วนเกี่ยวโยงกับราคาน้ำมัน ได้รับผลกระทบซ้ำเข้าไปอีกเพราะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
มีข่าวลือว่าตอนนี้เงินกองทุนน้ำมันที่มีอยู่จำนวนมากพอสมควร กำลังถูกจ้องมองในทำนองว่าจะสามารถใช้วิธีใดนำออกมาใช้จ่ายโดยไม่ผิดกฎหมาย!?
การเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันและภาษีสรรพสามิตที่ใช้กันเต็มอัตรา น่าจะเป็นอีกหนึ่งมาตรการที่รัฐควรทบทวน
อาจไม่ต้องถึงกับยกเลิกแต่อยู่ในรูปลดเพดานการเก็บลงมา อย่างน้อยก็ในระยะเวลานี้ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน
หลายๆ ธุรกิจ ก็จะได้อานิสงส์ลดต้นทุนไปโดยปริยาย
ทั้งยังเท่ากับเพิ่มเงินในกระเป๋าคนไทย โดยที่รัฐไม่ต้องไปไล่แจกให้มันวุ่นวาย
และยังส่งผลบวกทางจิตวิทยาอีกด้วย!?