ที่มา Thai E-News
โดย คุณnirvana
ที่มา บอร์ดนิวสกายไทยแลนด์
ผมได้มีโอกาสไปปฏิบัติธรรมที่จังหวัดเชียงราย และได้มีโอกาสพูดคุยกับชาวไร่ชาวนา มีลุงคนหนึ่งถามผมว่า“รัฐเขาจะยึดเงินทักษิณเป็นหมื่นล้านเพราะทักษิณทุจริต โกงกินเงินของชาติใช่มั๊ย”
ผมก็เลยตั้งคำถามกลับไปว่า“ถ้าเมื่อสิบปีที่แล้วลุงมีทองคำ 1 เส้นหนัก 10 บาท ตอนนั้นราคาทองคำบาทละ 4,000 บาท พอมาถึงปีนี้ทองคำราคาบาทละ 15,000 บาท ลุงก็เลยขายทองคำทั้ง 10 บาทออกไปได้เงิน 150,000 บาท แล้วมีคนกล่าวหาลุงว่า ลุงร่ำรวยผิดปกติ ไปโกงเขามา ไปลักขโมยเขามา ลุงว่ามันถูกต้องไหมล่ะ “
ลุงแกตอบผมว่า“อ้าว ก็เมื่อสิบปีที่แล้วลุงมีทองคำหนัก 10 บาท และตอนขายลุงก็มีทองคำหนัก 10 บาทเหมือนเดิม แล้วจะกล่าวหาว่าลุงไปขโมยของคนอื่นมาได้อย่างไร”
ผมก็เลยบอกลุงไปว่า“ก่อนจะเล่นการเมืองคุณทักษิณเขามีหุ้นอยู่ 1,500 ล้านหุ้น พอมาถึงปี 2549 คุณทักษิณจึงขายหุ้น 1,500 ล้านหุ้นออกไปได้เงิน 73,000 ล้านบาท รัฐเขาจะยึดเงิน 73,000 ล้านบาทนี่แหละ
ผมก็จึงถามว่า "ลุงรู้ไหมว่าหุ้นคืออะไร”
ลุงแกตอบผมว่า “ลุงไม่รู้จักหรอก ไอ้หุ้นเหิ้นเนี่ย “
ผมก็จึงบอกว่า “หุ้นมันก็ไม่ต่างจากทองคำหรอกลุง”
ลุงแกก็พูดต่อ “อ้อ เรื่องมันอย่างนี้ นี่เอง”
ผมก็เลยถามต่อ “แล้วลุงคิดว่าทักษิณโกงกินหรือไม่”
ลุงแกตอบว่า “เมื่อก่อนลุงก็เชื่อตามที่ฟังข่าว ว่าทักษิณโกงกินจริง แต่พอเอ็งยกตัวอย่างเรื่องทองคำ ลุงจึงเข้าใจ”
แล้วแกก็พูดต่อว่า “มันใส่ร้ายกันนี่หว่า น่าสงสารนายกทักษิณจัง”
หลังจากที่นายกฯทักษิณขายหุ้นจำนวน 1,487,740,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 49.25 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 3,271,200,910บาท (เจ็ดหมื่นสามพันสองร้อยเจ็ดสิบเอ็ดล้านสองแสนเก้าร้อยสิบบาทถ้วน)
มีข้อกล่าวหาคุณทักษิณมากมาย บางคนว่า คนขายก๋วยเตี๋ยวยังต้องเสียภาษีทุกปี นายกขายหุ้น 73,000 ล้านต้องเสียภาษีด้วย
เงินได้จากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับการยกเว้นการจัดเก็บภาษี
ซึ่งเป็นไปตามกฎกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ข้อ 2 (23)
ภาษากฏหมายเขียนว่า“…..ได้รับการยกเว้นการจัดเก็บภาษี”
พูดภาษาชาวบ้านก็คือไม่ต้องเสียภาษี
เป็นข้อยกเว้นที่ปฏิบัติกันเช่นนี้มาเป็นเวลานานแล้ว ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะมาใช้เมื่อท่านทักษิณมาเป็นนายกฯ บางคนยิ่งหนักไปใหญ่เลย (พวกควายเหลือง) บอกว่าทักษิณรับเงินปันผลก็ไม่เสียภาษี (เรื่องนี้ถ้ามีเวลา ผมจะเขียนความเห็นให้เพื่อนๆได้อ่าน)
ทรัพย์ของท่านนายกทักษิณจำนวน 76,000 ล้านบาทที่จะถูกยึด เป็นเงินจากการขายหุ้น 73,000 ล้านบาท ส่วนอีก 3,000 ล้านบาทนั้น ผมไม่ทราบว่ามาได้อย่างไรเพราะขาดการติดตามข่าวในบางช่วง
ข้อกล่าวหาที่ใช้ในการยึดทรัพย์ทักษิณมี 6 ข้อ ถ้าอยากจะทราบรายละเอียดแต่ละข้อเป็นอย่างไร คลิกลิงค์
ข้อเท็จจริงที่ควรรู้ เรื่อง 6 ข้อกล่าวหาที่ใช้ในการยึดทรัพย์ทักษิณ
ภาพด้านบนเป็นของคุณ Jampoon ที่โพสท์ไว้ในห้องราชดำเนิน (PANTIP) วันที่ 15 ม.ค. 53
วันที่ 1 เมษายน 2544 DTAC ได้รับการแก้ไขสัญญากับ TOT ในการจ่ายส่วนแบ่งรายได้
จากเดิมที่ DTAC ต้องจ่ายให้กับ TOT เลขหมายละ 200 บาทต่อเดือนเปลี่ยนเป็น
จ่ายให้กับ TOT ในอัตราร้อยละ 18 ของรายได้จากบริการโทรศัพท์ประเภทบัตรเติมเงิน
AIS จึงได้ร้องขอความเป็นธรรมจาก TOT ในหลักการเดียวกันกับ DTAC
วันที่ 15 พฤศจิกายน 2544 AIS ได้รับการแก้ไขสัญญากับ TOT ในการจ่ายส่วนแบ่งรายได้
โดย AIS ต้องจ่ายให้กับ TOT ในอัตราร้อยละ 20 ของรายได้จากบริการโทรศัพท์ประเภทบัตรเติมเงิน
DTAC จ่ายให้ TOT ในอัตราร้อยละ 18 ของรายได้
AIS จ่ายให้ TOT ในอัตราร้อยละ 20 ของรายได้
????????????????????
จากข้อความในภาพของคุณ Jampoon
บริษัท เอไอเอส มีผู้ใช้บริการในปี 2549 ไม่น้อยกว่า 17 ล้านราย
จากเดิมที่มีผู้ใช้บริการในปี 2542 เพียง 23,000 ราย
คำถามก็คือ
1. เอายอดปี 2542 ไปเทียบกับยอดปี 2549 ได้อยางไรเพราะท่านทักษิณเป็นนายกเมื่อปี 2544
2. ทำไมไม่เอาผู้บริการรายอื่นมาเปรียบเทียบกับ AIS
มาดูข้อเท็จจริงกัน
ยอดโทรศัพท์เคลื่อนที่ทุกค่ายรวมกัน ปี 2544 มีประมาณ 4.6 ล้านเลขหมาย VS ปี 2549 มีประมาณ 41.0 ล้านเลขหมาย
ยอดโทรศัพท์เคลื่อนที่ของ AIS ปี 2544 มีประมาณ 3.2 ล้านเลขหมาย VS ปี 2549 มีประมาณ 19.96 ล้านเลขหมาย
ยอดโทรศัพท์เคลื่อนที่นำมาจาก http://shincase.googlepages.com
จากข้อมูลข้างต้นแยกออกได้ดังนี้
เพื่อให้การเปรียบเทียบมีความชัดเจนมากขึ้น ต้องคิดยอดเพิ่มขึ้นเป็นเปอร์เซ็นต์
ยอดโทรศัพท์เคลื่อนที่ปี 2549 เทียบกับ ปี 2544
AIS เพิ่มขึ้น 524% @@@ ค่ายอื่นรวมกันเพิ่มขึ้น 1,403%
ค่ายอื่นรวมกันเพิ่มขึ้น 1,403% วิเคราะห์ได้ว่า ต้องมีอย่างน้อย 1 บริษัทที่มียอดเพิ่มขึ้นมากกว่า 1,403% ซึ่งอาจจะเพิ่มขึ้น 1,500% หรือ 2,000% (เสียดายไม่มีรายละเอียดให้คำนวณ)
อีกข้อความหนึ่งในภาพของคุณ Jampoon บริษัท เอไอเอส นั้น ก็พบว่ามีรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ คตส. ใช้วิธีกล่าวหาไม่ต่างจากพวกควายเหลืองเลย
ก่อนปี 2544 จำได้ไหม??
ราคาโทรศัพท์เคลื่อนที่เครื่องละเท่าใด?? ถ้าฐานะไม่ดีไม่มีโอกาสได้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ ราคาโทรศัพท์เคลื่อนที่ไม่น่าจะต่ำกว่า 50,000 บาท ค่าโทร.โทรศัพท์เคลื่อนที่ต้องเสียในอัตราที่แพงมาก คนจนไม่มีสิทธิ์ได้ใช้หรอกครับ
การติดตั้งโทรศัพท์พื้นฐาน (โทรศัพท์บ้าน) หมายเลขโทรศัทพ์มีไม่พอต่อความต้องการ และราคาก็แพงมาก องค์การโทรศัพท์มันขูดเลือดซิบ ค่าโทรศัพท์ทางไกล (โทรศัพท์บ้าน) ถ้าโทรจากกรุงเทพฯไปนราธิวาส ต้องจ่ายนาทีละ 18 บาท (ถ้าจำไม่ผิด)
ปัจจุบันราคาโทรศัพท์เคลื่อนที่ถูกมาก อัตราค่าโทร.ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์เคลื่อนที่หรือโทรศัพท์บ้านถูกมาก แข่งกันลดราคา แข่งการเสนอโปรโมชั่นใหม่ๆ คนรากหญ้า คนยากจน สามารถที่จะซื้อโทรศัพท์เคลื่อนที่ใช้ได้
ใครกันเล่า?? ที่เป็นผู้หยิบยื่นโอกาสให้ คนยากจน คนรากหญ้า คำตอบก็คือเทวดาตัวจริงเป็นผู้หยิบยื่นโอกาสให้คนยากจน
เทวดาตัวจริงก็คือ ทักษิณ ชินวัตร
คนเขารู้กันไปทั่วแล้วว่า ใครคือเทวดาตัวจริง ใครคือเทวดาตัวปลอม ต้องพูดแบบนี้แหละครับ เทวดาตัวปลอมมันจะได้กระอักเลือดตาย
กลับมาเข้าเรื่องข้อความในภาพของคุณ Jampoon
บริษัท เอไอเอส นั้น ก็พบว่ามีรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
การลดค่าสัมปทานมีผลให้ทุกค่ายมือถือได้รับประโยชน์เมือนกันหมด
ดังนั้นผมจะใช้ข้อมูลรายได้ของ AIS และ DTAC มาเปรียบเทียบกัน
เพื่อดูว่าระหว่าง AIS และ DTAC ใครได้รับประโยชน์มากกว่ากัน
(สำหรับผู้ไม่สันทัดในเรื่องของตัวเลข ข้อมูลด้านล่างดูผ่านๆก็พอ)
ข้อมูลนำมาจาก ก.ล.ต. ตามลิงค์ด้านล่าง
งบการเงินของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
จากตัวเลขที่แสดงในตาราง ถ้าเป็นโกเต็กซ์ลิ้มต้องโวเลยว่า พ่อแม่พี่น้องครับ ทักษิณมันลดค่าสัมปทาน รายได้ของบริษัทมันมากว่าคู่แข่ง ประมาณเท่าตัวทั้ง 5 ปีเลย มันเอาเปรียบคู่แข่ง นี่แหละครับพ่อแม่พี่น้องครับ คอรัปชั่นเชิงนโยบาย แล้วพวกควายเหลืองก็พยักหน้า แล้วก็อุทานว่า มันเลวมาก
เพื่อให้ผู้ที่ไม่สันทันในเรื่องการเงิน-การบัญชี ได้รับประโยชน์ จากการอ่านกระทู้นี้ ผมขออนุญาตเขียนความเห็นในลักษณะ เหมือนกับให้ความรู้เรื่องการบัญชี จะพยายามอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ
จะเปรียบเทียบรายได้ระหว่าง AIS และ DTAC อย่างไร??
ขอยกตัวอย่างง่ายๆอย่างนี้ก็แล้วกัน
นายเต็กซ์ได้รับการขึ้นเงินเดือนจาก 50,000 เป็น 51,800
นายลิ้มได้รับการขึ้นเงินเดือนจาก 40,000 เป็น 41,600
นายลิ้มเลยโวย ทำไมเงินเดือนจึงขึ้นน้อยว่านายเต็กซ์
นายเต็กซ์เงินเดือนขึ้น [(1,800/50,000) x 100] = 3.60%
นายลิ้มเงินเดือนขึ้น [(1,600/40,000) x 100] = 4.00%
ต้องเปรียบเทียบเงินเดือนปีนี้กับปีที่แล้ว
จากข้อมูลในตารางรายได้ในภาพที่ผ่านมา แสดงการเปรียบเทียบได้ดังภาพด้านล่าง
จะเห็นได้ว่า อัตราเปลี่ยนแปลงในรายได้
บางปี AIS เพิ่มขึ้นมากกว่า DTAC ….. บางปี AIS เพิ่มขึ้นน้อยกว่า DTAC
อัตราการเปลี่ยนแปลงปี 45 vs ปี 44 ....... AIS เพิ่มขึ้น 39% ในขณะที่ DTAC เพิ่มขึ้นเพียง 14%
ข้อมูลแบบนี้แหละศาสดาเต็กซ์ลิ้มหรือนักวิชาการชั่วทั้งหลายจะนำไปใส่ร้ายท่านนายกทักษิณว่า เอื้อประโยชน์ให้บริษัทของตนเอง
โดยเอาการเปรียบเทียบ ปี 45 vs ปี 44 มาใช้เป็นหลักฐานในการกล่าวหานายกทักษิณ
ถามว่าศาสดาเต็กซ์ลิ้มหรือนักวิชาการชั่วทั้งหลายบิดเบือนข้อมูลหรือไม่
คำตอบก็คือ เป็นข้อมูลจริง แต่เป็นการเปิดเผยข้อมูลไม่ครบถ้วน ไม่เป็นไปตามหลักการที่นักบัญชียึดถือเป็นหลักในการปฏิบัติ ที่เรียกว่า หลักการเปิดเผยข้อมูลอย่างเพียงพอ (Full Disclosure Principle)
จากข้อมูลที่แสดงอยู่ในความเห็นที่ 2
เรื่องการแก้ไขสัญญากับ TOT ในการจ่ายส่วนแบ่งรายได้ DTAC ได้รับการแก้ไขสัญญาในวันที่ 1 เมษายน 2544
AIS ได้รับการแก้ไขสัญญาในวันที่ วันที่ 15 พฤศจิกายน 2544
ข้อมูลส่วนนี้แหละครับที่มีผลทำให้ รายได้ AIS เพิ่มขึ้นถึง 39% แต่ DTAC เพิ่มขึ้นเพียง 14%
เนื่องจากอัตราการเปลี่ยนแปงในรายได้ที่แสดงในตาราง
บางปี AIS เพิ่มขึ้นมากกว่า DTAC ….. บางปี AIS เพิ่มขึ้นน้อยกว่า DTAC
เราจะสรุปได้อย่างไรว่า ระหว่าง AIS และ DTAC บริษัทใดได้รับประโยชน์มากกว่ากัน
ลองคิดดูก่อนก็แล้วกัน
ถ้าพอที่จะเข้าใจเรื่องที่ผมได้แสดงความคิดเห็นไว้ อยากจะให้อธิบายให้พวกพันธมิตรที่เพื่อนๆรู้จักได้เข้าใจ สำหรับคนจนหรือคนรากหญ้าหรือคนเสื้อแดงทั้งหลายนั้น ไม่มีใครเชื่อข้อกล่าวหาต่างๆที่ท่านทักษิณโดน ถ้ามีโอกาส น่าจะอธิบายให้คนจน คนรากหญ้า หรือ คนเสื้อแดงไ ด้รู้เช่นกัน
เผื่อว่ามีคนกล่าวหาว่าคนเสื้อแดงเชื่อทักษิณอย่างงมงาย คนเสื้อแดงก็จะสามารถโต้ตอบคนกล่าวหาได้