ที่มา Thai E-News
โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
ที่มา thaksinlive
12 กุมภาพันธ์ 2553
ทักษิณจัดวิทยุเทอล์กอะราวนด์เดอะเวิลด์แฉเจ้ากรรมนายเวรเรียงตัว ไล่เป็นลูกระนาดนับแต่สนธิลิ้ม สุทธิชัยหยุ่น ประสงค์สุ่น ปราโมทย์ปฏิญญาฟินแลนด์ โต้งไกรศักดิ์
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จัดรายการ “ทอล์ก อะราวด์ เดอะเวิลด์" ผ่านทางเว็บไซต์ thaksinlive เมื่อค่ำวานนี้(11ก.พ.) โดยเผยว่าจะดำเนินรายการนี้วันละครึ่งชั่วโมง ตั้งแต่วันจันทร์-วันศุกร์ เวลาประมาณ 20.30-21.30 น.
โดยเนื้อหาในรายการของ พ.ต.ท.ทักษิณ ล่าสุดเมื่อวันที่ 11 ก.พ.ที่ผ่านมาได้เล่าท้าวความหลังถึงสมัยอดีตเมื่อครั้งก่อนจะเป็นนายกรัฐมนตรี โดยชี้ว่า ได้สร้างฐานะและความร่ำรวยโดยสุจริตจากการทำธุรกิจ
ในตอนหนึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ได้พูดเรื่องความสัมพันธ์ที่เคยมีต่อ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ และหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ว่า "ตอนผมรู้จัก สนธิ ลิ้มทองกุล ผมเจอนายสนธิครั้งแรกที่บ้านของคุณไชยทัศน์ เตชะไพบูลย์ หรือที่เรียกว่าโป้ยเสี่ย ซึ่งเป็นลูกของคุณอุเทน ประธานมหานครทรัสต์ ที่ผมเคยเล่าว่า ผมเคยกู้เงินจากเขา เพื่อมาซื้อที่ตรงตึกแถวราชวัตร ก็ตอนนั้นผมเป็นลูกหนี้เขา และเข้าใจว่าคุณสนธิ ก็คงเป็นลูกหนี้เขาเช่นกัน โดยวันนั้นได้มีการดื่มและรับประทานอาหารร่วมกัน คุณไชยทัศน์ได้แนะนำให้รู้จักกัน ตอนนั้นก็รู้สึกเฉยๆ กับคุณสนธิ ไม่ได้สนิทชิดเชื้อกัน จนมาอีกที ตอนผมทำธุรกิจแล้ว คุณสนธิขอให้ไปลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ จนมารู้จักกันมากหน่อยตอนที่ไปทำบริษัท ไออีซี ซึ่งอยู่ในเครือปูนซิเมนต์ไทย แล้วเขามีแผนอยากปรับโครงสร้างตัวเอง จึงปรับบริษัทที่ไม่เกี่ยวกับสายธุรกิจหลักออก ซึ่งบริษัท ไออีซี เป็นหนึ่งในนั้น โดยคุณสนธิ ตอนนั้นได้บอกผมว่า อย่าเข้าไปยุ่ง แล้วเดี๋ยวมาถือหุ้นร่วมกัน ก็ในที่สุด คุณสนธิให้ผมถือหุ้นร่วม 10% สาเหตุตอนนั้นผมทำเอไอเอสแล้ว และไออีซีเป็นบริษัทขายโทรศัพท์มือถือโนเกีย แต่ทั้งนี้ ผมคิดว่าเป็นการพึ่งพาอาศัยกัน" พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว
จากนั้นนายสนธิ เอาหุ้นมาให้ตนถือหุ้น 10% แล้วนำบริษัทดังกล่าวเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งในที่สุดตนก็ขายหุ้นทิ้ง พร้อมกับดึง นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ หนึ่งคณะกรรมการบริษัทไออีซี ให้มาช่วยงานเป็นที่ปรึกษาชินคอร์ปฯ
ต่อมา พ.ต.ท.ทักษิณได้กล่าวถึงการทำธุรกิจเคเบิลทีวีที่ชื่อ ไอบีซี และทำธุรกิจร่วมกับนายสนธิอีกครั้ง
"ตอนนั้น ผมทำไอบีซี คุณสนธิก็ทำผู้จัดการรายวัน ผมก็เลยได้เข้ามาทำการตลาด แต่ตอนนั้นยังไม่ได้เล่นการเมืองนะครับ ซึ่งแนวคิดผมช่วงนั้น คือ การลด แลก แจก แถม คือ ถ้าใครสมัครสมาชิกบริษัท ไอบีซี ผมก็จะแถมหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันให้ โดยทางด้านคุณสนธิ ก็ขายสมาชิกแบบเหมาให้บริษัทไอบีซี ในราคาถูกลงหน่อย เพราะถึงอย่างไร บริษัท ไอบีซี ช่วยทำการตลาดให้แก่หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ จะได้เผยแพร่ออกไป ซึ่งความสัมพันธ์ของผมกับคุณสนธิ ช่วงนั้นเป็นไปในทางเชิงธุรกิจ ต่อจากนั้น ก็ได้ชวนกันมาทำงานต่อ จนสุดท้ายก็แตกหักกัน เป็นไงครับประเทศไทย ยุ่งเหยิงดีไหมจริงๆ"พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว
พ.ต.ท.ทักษิณ ได้กล่าวต่อถึงช่วงที่ดำเนินธุรกิจชินคอร์ปฯ ว่า ในช่วงวิกฤตปี2540 หลายบริษัทล้วนแล้วแต่ได้รับผลกระทบ เช่นเดียวกับชินคอร์ปฯ ที่สมัยนั้นขาดทุนถึง 4,000 ล้านบาท ในขณะที่ธุรกิจอื่นๆขาดทุนเป็นหลักหมื่นล้านบาท ถามว่าทำไมถึงขาดทุนแค่นั้น ก็เพราะชินคอร์ปฯ กู้เงินจากต่างประเทศน้อย แต่ถ้าถามว่ากำไรตอนนั้นมีมากหรือไม่ ตอบได้เลยว่าไม่มี เพียงแค่ไม่ขาดทุนเท่านั้น
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวต่อถึงสมัยที่ชินคอร์ปฯ เข้าไปเทกโอเวอร์ซื้อหุ้นไอทีวี ว่า ไอทีวีที่มีการประมูลกันในสมัยนายกฯอานันท์ ปันยารชุนนั้น กำหนดให้แต่ละบริษัทถือหุ้นไม่เกิน 10% ก็ปรากฏว่ากลุ่มที่ประมูลได้มีเครือเนชั่นอยู่ด้วย รวมทั้งธนาคารไทยพาณิชย์ แต่พอเนชั่นบริหารขาดทุนทำให้เป็นหนี้ธนาคารไทยพาณิชย์อยู 3 พันกว่าล้าน ทางธนาคารก็มาชวนให้ชินคอร์ปฯ เข้าไปซื้อหุ้นไอทีวีเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดทุน ซึ่งตนเห็นว่าไทยพาณิชย์ก็เคยช่วยเหลือกันมาก่อนจึงให้เข้าไปซื้อหุ้นไอทีวี โดยใช้มติ ครม.ยกเลิกเงื่อนไขห้ามถือหุ้นเกิน 10% พอชินคอร์ปฯ เข้าไป ตนโดนโจมตีอย่างหนัก โดยเฉพาะจากกลุ่มเนชั่น หาว่าต้องการซื้อสื่อมาเป็นพวกของตัวเอง เพราะตอนนั้นกำลังตั้งพรรคไทยรักไทย ซึ่งต่อมาก็ปรากฏว่า ไอทีวี ในยุคนั้นกลายมาเป็นสื่อที่โจมตีพรรคไทยรักไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผลสุดท้ายแล้วในที่สุดก็มีการยึดไอทีวี และเนชั่นก็ได้กลับเข้ามาบริหาร โดยใช้เงินหลวงเป็นทุน เป็นทีพีบีเอสทุกวันนี้
"เห็นไหมครับว่านี่คือเรื่องของผลประโยชน์ในประเทศไทย ผมสร้างศัตรูโดยที่ไม่มีเจตนาสร้างเลย มีแต่เจตนาดีๆ ทั้งนั้น ในเมื่อเขามาขอให้ช่วยแบงก์ ก็ไปช่วย เลยมีศัตรูโดยไม่รู้ตัว ตอนเข้าพรรคพลังธรรม ลุงจำลองขอให้ไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก็ทำเลยทำให้ไปเป็นศัตรูกับคุณประสงค์ (สุ่นศิริ)" พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวถึงกรณีที่ขัดแย้งกับนายปราโมทย์ นาครทรรพ เรื่องปฏิญญาณฟินแลนด์ ว่า ประมาณปี 2541 ตนเดินทางไปฟินแลนด์พร้อมกับนายภูมิธรรม เวชชยชัย นายเกรียงกมล เลาหไพโรจน์ และนายอำนวยชัย ที่เคยช่วยเหลือตนมาก่อน ซึ่งการเดินทางไปครั้งนั้นก็ไปตามคำเชิญของบริษัทในสวีเดนและฟินแลนด์เพื่อไปดูงานด้านเทคโนโลยีและไปเที่ยวกันอย่างสนุกสนาน แต่นายปราโมทย์ กุเรื่องว่าไปทำปฏิญญาฟินแลนด์ เพื่อจะล้มล้างสถาบัน ซึ่งมันนับเป็นการปั้นน้ำเป็นตัว โดยตนรู้สึกตกใจมากกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งที่ตอนนั้นไม่มีอะไรเลยที่เป็นประเด็นทางการเมือง แต่พอกลับมาเสร็จกลับกลายเป็นว่ามีปฏิญญาฟินแลนด์ ซึ่งตนก็ฟ้องร้องเรื่องนี้ ซึ่งศาลก็สั่งลงโทษ ตอนนี้คาดว่าคดีจะอยู่ในขั้นอุทธรณ์ ไม่ทราบว่าคดีคืบหน้าถึงไหนแล้ว
"มีช่วงหนึ่งที่ผมเว้นวรรคจากการเมือง แล้วรู้ติดหนี้คุณภูมิธรรม (เวชยชัย) คุณอำนวยชัย (ปฏิพัทรเผ่าพงศ์) และคุณเกรียงกมล (เลาหไพโรจน์) เพราะ 3 คนนี้ เคยมาช่วยผมคิดและวิเคราะห์งานการเมือง และได้เป็นที่ปรึกษาให้ผมสมัยเป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรม ดังนั้น ตอนนั้น ผมเลยชวนไปดูงานที่บริษัท อีริคสันฯ ประเทศสวีเดน และบริษัทโนเกีย ที่ประเทศฟินแลนด์ โดยงานนี้ตลอดทริปเน้นเฮฮาอย่างเดียวครับ ไปดูงาน ไปฟังเขาพูดเรื่องเทคโนโลยี พูดคุยกันสนุกสนาน ไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่พออยู่มาได้ไม่นาน จนเป็นนายกฯ สักพัก ไอ้เจ้าปราโมทย์ นาครทรรพ คนที่ไปร่วมประชุมกับปีย์ มาลากุล และพล.อ.สุรยุทธ์ (จุลานนท์) ในการแผนจะจัดการกับผม ตอนนั้น พล.อ.พัลลภ ก็ไปด้วย คนนี้แหละที่กุเรื่องปฏิญญาฟินแลนด์ขึ้นมา" พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว
ช่วงสุดท้ายของการจัดรายการ พ.ต.ท.ทักษิณ ย้ำอีกหลายครั้งว่า มีขบวนการปั้นน้ำเป็นตัว โดยแม้จะหันไปพึ่งกระบวนการยุติธรรมก็ทำได้ยาก เพราะเวลานี้ เขาแบ่งกันไปหมด มีทั้งเสื้อเหลือง เสื้อแดง นับว่าเป็นช่วงที่น่าห่วง โดยถ้าถามว่าตนเป็นคนพูดยากหรือไม่ ตนคิดว่าเป็นหนูเพียงตัวเดียวที่เขาเผาบ้านเพื่อจะไล่จับ ทั้งที่ในความความจริง ไม่มีอะไรเลย หนูตัวนี้คุยรู้เรื่อง แต่ไม่ยอมคุย กลับยอมเผาบ้าน
"ผมก็ไม่รู้จะพูดอย่างไงแล้ว ผมก็เสียดายบ้านผมนะ ถึงแม้ว่าผมจะเป็นส่วนน้อยนิดในบ้าน แต่ว่าการที่จะเผาบ้านหลังนี้ มันเผาผมได้ไหม มันเผาไม่ได้อยู่ดี เพียงแต่ว่ามันทำให้ผมต้องหลบไปนอนโพลงบ้านบ้าง นี่คือสิ่งที่มันร่วมกันเป็นแก๊งเพื่อจะจัดการกับผม ด้วยความไม่มีคุณธรรม จึงถือเป็นกติกาที่ยอมทำลายทุกระบบ และผลสุดท้ายที่บอกว่าปกป้องสถาบัน รักเจ้านาย ก็จะระคายพระองค์ท่าน พวกนี้ทำเสียหายหมด จริงๆ แล้ว ทุกคนรักเจ้านาย รักพระเจ้าอยู่หัว ไม่มีคนไทยคนไหนไม่รักพระเจ้าอยู่หัว แต่พวกนี้ พยายามจะสร้างความดีความชอบให้แก่ตัวเอง" พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว
ช่วงท้ายสุด พ.ต.ท.ทักษิณ ได้หยิบยกประเด็นความบาดหมางกับนายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ ขึ้นมาพูดว่า พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกฯ ซึ่งเป็นบิดาของนายไกรศักดิ์ เคยชวนให้ตนไปเป็นหัวหน้าพรรคชาติพัฒนาแต่ตนไม่ตอบรับเพราะกลัวจะมีปัญหาเหมือนตอนเป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรม ตอนที่ พล.อ.ชาติชายป่วยและไปรักษาตัวที่ลอนดอน ตนเดินทางไปเยี่ยม นายไกรศักดิ์ก็มาหาที่อพาร์ทเมนต์และทวงถามตนเรื่องที่ พล.อ.ชาติชายเชิญให้เป็นหัวหน้าพรรคชาติพัฒนา แต่ตนบอกว่าเอาไว้ทีหลัง แต่นายไกรศักดิ์ก็คะยั้นคะยอจะเอาคำตอบให้ได้ ต่อมา หลังจาก พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เสียชีวิตไปแล้ว ตอนนั้นตนก็ได้ไปร่วมงานศพ จึงรู้ว่า นายไกรศักดิ์ มีอะไรที่โกรธเคืองอยู่ โดยเฉพาะช่วงที่นายไกรศักดิ์เป็น ส.ว. และเป็นประธานกรรมาธิการต่างประเทศ แล้วตนเป็นนายกรัฐมนตรี พอทำเนียบฯ มีการจัดงาน ตนก็เชิญมา แต่ตอนนั้นนายไกรศักดิ์ วิพากษ์วิจารณ์ถึงแต่รัฐบาล ทำให้เกิดความเสียหาย ตนจึงไม่เชิญนายไกรศักดิ์มาอีก ก็คงเป็นสาเหตุทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ