WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Wednesday, February 10, 2010

ชนบทของประเทศไทยคุกรุ่นไปด้วย ความเคียดแค้นที่มีต่อรัฐบาล

ที่มา Thai E-News



โดย Marwaan Macan-Markar สำนักข่าวIPS
แปลและเรียบเรียง แชพเตอร์ ๑๑ เวบลิเบอรัลไทย

อำเภอสร้างคอม ประเทศไทย – มื้อแล้วมื้อเล่าของการจัดเลี้ยงภายใต้แสงดาวในยามค่ำคืน ที่เต็มไปด้วยคลื่นประชาชนที่ประท้วงรัฐบาล ซึ่งขยายตัวออกไปทั่วทั้งใจกลางของชนบท ผู้มาร่วมรับประทานอาหารต่างแต่งกายด้วยสัญลักษณ์สีแดงของตัวเอง

เมืองแห่งการทำนานี้ นับว่าเป็นเมืองล่าสุดที่เข้าร่วมชะตากรรมในการเคลื่อนไหวประท้วงของฝ่าย นปช. และเป็นเมืองที่มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรที่กำลังลี้ภัย

ฝ่ายเจ้าภาพจัดเลี้ยงไม่ผิดหวังในงานฉลองการเปิดตัว และการระดมทุนด้วยอาหารมื้อค่ำในอำเภอสร้างคอม จังหวัดอุดรธานี ซึ่งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เมื่อถึงเวลา ๑๙.๐๐ น. พื้นที่ที่เคยเป็นที่โล่งขนาบข้างด้วยนาข้าวที่เตรียมเก็บเกี่ยว และป่าละเมาะ ก็คลาคล่ำไปด้วยชาวบ้านในท้องถิ่นซึ่งเดินทางมาร่วมรับประทานอาหาร และฟังการปราศรัยบนเวทีที่ต่อต้านรัฐบาลที่มีขี้นอย่างเผ็ดร้อน

สุทัศน์ ปุดม หนึ่งในเจ้าภาพจัดอาหารเลี้ยงมื้อค่ำเมื่อวันอาทิตย์ อ้างถึงเสื้อแดง ซึ่งถูกนำมาโยงกับความเกี่ยวข้องของการเคลื่อนไหวการประท้วงของฝ่ายนิยมทักษิณว่า “ชาวบ้านอยากให้มีการจัดงานเสื้อแดงแบบที่อื่นๆ” “พวกเขาต้องการประชาธิปไตยอย่างแท้จริง”

สุทัศน์ประเมินว่ามีชาวบ้านมากกว่า ๒,๐๐๐ คน ที่เดินทางมาจากตำบลใกล้เคียงมาร่วมงานจัดเลี้ยงมากกว่า ๒๒๐ โต๊ะ และบนโต๊ะเพียบไปด้วยอาหารนับตั้งแต่ข้าวผัด ปลาทอดเปรี้ยวหวาน ส้มตำไทย และซุปแบบจีน

แต่ครอบครัวของผู้ที่มาร่วมงานเลี้ยงทั้งหมด ซึ่งมาเพื่อร่วมรับประทานอาหารค่ำและแลกเปลี่ยนความเห็นทางการเมืองนั้น ไม่ได้มีแต่ครอบครัวของชาวนาและชาวประมงซึ่งเป็นอาชีพหลัก แต่ยังมีครูอย่างสว่างศรี บุญประสิทธิ์ ซึ่งสอนชั้นประถมของโรงเรียนในท้องถิ่น เธอประกาศอย่างภาคภูมิใจว่า เธอได้นำผู้มาร่วมงานถึง ๓๐ คน เพื่อร่วมฉลองการชุมนุมครั้งแรกของ นปช.ในบ้านเกิดของเธอนี้

สว่างศรีประกาศว่า “การชุมนุมเหล่านี้ถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับพวกเรา เป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย ที่ถูกทำลายไป” “เวลานี้คนจนแถวนี้รู้เรื่องประชาธิปไตยมากกว่าเมื่อก่อน เรามาที่นี่เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน”

เธอได้เปิดเผย โดยพาดพิงไปถึงเหตุการณ์รัฐประหารครั้งที่ ๑๘ ของราชอาณาจักรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ซึ่งกองทัพกระทำการปล้นอำนาจของรัฐบาลทักษิณ ซึ่งได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งมาถึงสองสมัย

เธอกล่าวว่า “การตื่นตัวทางการเมืองเริ่มต้นหลังจากการทำรัฐประหาร” “ทั้งความไม่พอใจ และความคับแค้นที่ได้เพิ่มมากขึ้นในสามปีที่ผ่านมา”

ความนิยมอย่างท่วมท้นของทักษิณ ที่ได้รับจากชาวชนบทในภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้น ไม่ได้ลดน้อยถอยลงไปเลย เนื่องมาจากนโยบายเพื่อคนยากจนที่เขาได้นำมาใช้ และกำลังอยู่ในระหว่างการลี้ภัยเพื่อเลี่ยงการถูกจำคุกสองปีในคดีทุจริต แต่ดูเหมือนแทบจะไม่ได้สร้างความยี่หระให้กับผู้ลงคะแนนเสียงระดับจังหวัด ที่กำลังตื่นตัวทางการเมืองอย่างหยุดไม่อยู่

สำหรับพวกเขาแล้ว ทักษิณตกเป็นเหยื่อในกำมือของพวกที่ใช้การเมืองมาเป็นเครื่องมือหากิน เพื่อต่อต้านประชาธิปไตยซึ่งประกอบไปด้วย อำมาตยาในกรุงเทพ พวกคลั่งระบอบกษัตริย์ และพวกข้าราชการหัวโบราณชั้นสูง รวมไปถึงกองทัพอันทรงพลังของประเทศ

ผู้มาร่วมงานต่างโห่ร้องแสดงความยินดี เมื่อได้ยินเสียงอดีตผู้นำที่ลี้ภัยพูดต่อหน้าผู้ชุมนุม นปช. ผ่านทางโทรศัพท์มือถือจากดูไบ หนึ่งในหลายๆประเทศทั่วโลกที่ทักษิณพำนักอยู่ เศรษฐีธุรกิจโทรคมนาคมเล่นกับคนฟัง

เขาสัญญาว่า “ผมจะทำให้คุณมีเงินเต็มกระเป๋า” “ผมมีแผนการเพื่อการศึกษาของลูกหลานของเรา”


แต่ทักษิณยังคงยืนยันข่าวที่ว่า นปช. ได้เร่งระดมคนในจังหวัดต่างๆ เขาต้องการให้คนเสื้อแดงออกมาร่วมบนท้องถนนมากพอที่จะสร้างความกดดัน เพื่อโค่นรัฐบาลปัจจุบันของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งบริหารประเทศมาได้ครบปี ด้วยอำนาจที่ได้มาจากการทำการตกลงของผู้บัญชาการระดับสูงจากกองทัพ ซึ่งไม่ได้มาจากคะแนนเสียงส่วนใหญ่ของผู้ออกเสียงเลือกตั้ง

ทักษิณขึ้นเสียงสูงดังก้องว่า “การต่อสู้ครั้งหน้า ถือว่าเป็นครั้งสำคัญมาก” “ถ้าคุณไม่เดินหน้าแล้ว คุณจะเสียทุกอย่าง ถ้าคุณเดินหน้า คุณจะได้ทั้งชีวิต และความหวังที่ดีขึ้น”


คลื่นแดงของ นปช. ที่กำลังเติบโตขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดจากเหตุการณ์ของค่ำคืนเหล่านี้ เป็นการช่วยยืนยันให้เห็นว่า ความแตกต่างทางสังคม และทางการเมืองกำลังขยายกว้างขึ้น บทบาทของทักษิณยืนยันในเรื่องนี้ เพราะทักษิณเป็นบุคคลซึ่งได้รับการประณามอย่างมากจากศักดินาชาวกรุงที่กินดีอยู่ดี และกลุ่มการเมืองนิยมเจ้า

ในค่ำคืนวันเสาร์นอกจากสร้างคอมจะเป็นเจ้าภาพจัดการชุมนุมของ นปช. แล้ว ยังมีการชุมนุมอีกห้าแห่งทั่วอีสาน ซึ่งเป็นชื่อเรียกทั่วไปของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ที่อำเภอพิบูลรัฐ มีชาวบ้านมากกว่า ๓,๐๐๐ คนอยู่ชุมนุมกันจนจนหลังเที่ยงคืน เพื่อฟังการปราศรัย และการโฟน-อินจากทักษิณ

พวกเขาเข้าร่วมสนับสนุนเสื้อแดงมากกว่าที่ นปช. ได้ประกาศไว้ การชุมนุมวันที่ ๓๑ มกราคมที่จังหวัดขอนแก่นทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้น แหล่งข่าวซึ่งใกล้ชิดกับการทำงานฝ่ายข่าวกรองของกองทัพแจ้งว่า ตัวเลขผู้เข้าร่วมชุมนุมนั้นประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ คน แม้ฝ่าย นปช. จะอ้างว่า มีคนมาร่วมชุมนุมมากกว่าตัวเลขนั้นอีกสองเท่า

วันต่อมา ที่จังหวัดอุบลราชธานี มีรายงานข่าวว่า มีผู้ประท้วงเสื้อแดงจำนวน ๕๐,๐๐๐ คน เข้าร่วมการชุมนุมของ นปช.

วิเชียร ขาวขำ ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทยฝ่ายสนับสนุนทักษิณกล่าวว่า “ทุกอาทิตย์ และทุกเดือนเราจะมีการชุมนุมพร้อมทานอาหารค่ำ หรือบางทีก็มีแต่การชุมนุมอย่างเดียว” “ประชาชนซึ่งมาร่วมกันที่นี่ต่างเป็นคนยากจน และพวกเขาเคยกลัวพวกมียศถาบรรดาศักดิ์ในสังคมของเรา พวกชาวบ้านไม่กล้าพูดกับพวกเขาเหล่านี้”

แต่ความเป็น ส.ส.มาเกือบ ๒๐ ปี รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางทัศนคติทางการเมืองของคะแนนเสียงชาวรากหญ้า

เขากล่าวว่า “เมื่อก่อนชาวบ้านก็รู้เรื่องการเมือง แต่ตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่าอะไรคือเรื่องจริง อะไรถูก อะไรผิด” “ชาวบ้านเข้าใจว่า แม้เขาจะชนะการเลือกตั้งครั้งหน้าก็ตาม แต่พวกเขาเหล่านั้น (กลุ่มการเมืองคลั่งเจ้า) จะไม่ยอมให้พวกเขาตั้งรัฐบาลขึ้นมาได้”


ความเข้าใจส่วนหนึ่งมาจาก ความขมขื่นที่ได้รับจากการถูกเพิกถอนสิทธิ์จากคะแนนเสียงส่วนใหญ่ ที่กำชัยชนะอย่างท่วมท้นในการสนับสนุนทักษิณ จากการเลือกตั้งสี่ครั้ง นับตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๔๔

นอกเหนือจากการทำรัฐประหารในเดือนกันยายน ๒๕๔๙ รัฐบาลนิยมทักษิณ ซึ่งนำโดยพรรคพลังประชาชนได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนธันวาคม ๒๕๕๐ ถูกคำสั่งอันอื้อฉาวของศาลให้ยุบพรรค เพื่อปูทางให้พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งนำโดยนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เข้ามาเสียบแทนรัฐบาลที่กำลังว่างลง

คำตัดสินนั้น เพิ่มความเป็นปฏิปักษ์กับผู้ลงคะแนนให้ทักษิณต่อระบบยุติธรรมของไทยมากขึ้น และอีกครั้งหนึ่ง ที่ความเป็นปฏิปักษ์กำลังถึงจุดเดือด วันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ เป็นวันที่ศาลจะพิจารณาตัดสินคดียึดทรัพย์ ๗๖,๐๐๐ ล้านบาทของทักษิณ ซึ่งถูกรัฐบาลทหารที่เข้ามาปล้นอำนาจรัฐบาลทักษิณโดยการทำรัฐประหารปี ๒๕๔๙ อายัดไว้

วิเชียรเปิดเผยว่า “ประชาชนต่างโกรธแค้นกับคดีของทักษิณ” และเสริมว่า การเรียกร้องของแกนนำ นปช. ให้ออกไประบายความแค้นในกรุงเทพ จะได้เห็น “ประชาชนมากกว่าหนึ่งล้านคน” ออกมาบนท้องถนนในเมืองหลวงของไทย

แต่เคยมีการขู่เรื่อง “วันดีเดย์” และการประท้วงของมวลชนบนท้องถนนมาก่อน นปช. สามารถดึงผู้เข้าร่วมชุมนุมในกรุงเทพได้มากที่สุดเกิน ๑๐๐,๐๐๐ คน เมื่อวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๕๒ และเป็นเวลาที่กลุ่มเสื้อแดงได้ละเมิดข้อห้ามทางการเมืองและธรรมเนียมปฏิบัติ ด้วยการไปประท้วงหน้าคฤหาสน์ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี

รัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่ปล่อยให้เรื่องใดๆคลาดสายตาไปได้ อภิสิทธิ์ได้กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ในระหว่างทำการถ่ายทอดโทรทัศน์ และวิทยุประจำอาทิตย์ว่า รัฐบาลได้วางแผนต่างๆ ในการเฝ้าติดตามที่มั่นของ นปช. ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ก่อนที่จะมีการประกาศคำตัดสินของศาล

จากบางกอกโพสต์หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ ได้ลงข่าวว่า

อภิสิทธิ์เปิดเผยว่า “หน่วย (รักษาความปลอดภัย) ทุกหน่วยพร้อมแล้ว แผนการเตรียมพร้อม ขอยืนยันว่า เราเตรียมพร้อมเพื่อรับสถานการณ์” “รัฐบาลมีหน้าที่ที่จะรักษาความปลอดภัย และรักษากฎหมาย และความเป็นระเบียบ”