WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Thursday, March 31, 2011

จดหมายถึงสารคดี “ประเด็นอยู่ที่จรรยาชีพ” ครับท่านบรรณาธิการ

ที่มา ประชาไท

อ้างถึงบทบรรณาธิการในสารคดีฉบับที่ 313 เดือนมีนาคม 2554 หน้า 14-15

ผมรู้สึกสลดใจกับบทบรรณาธิการในฉบับดังกล่าว ซึ่งเข้าใจว่าเขียนโดยอ้างอิงกับการที่มีนักเขียนของสารคดีส่งจดหมายท้วงติงและลาออกประท้วงการลง Advertorial ให้กับการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) โดยไม่แจ้งให้ผู้อ่านทราบในฉบับก่อนหน้านี้

สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้อ่านบทบรรณาธิการดังกล่าว ที่ใช้ชื่อว่า “ปั้นน้ำเป็นตัว” มีเนื้อหาสรุปโดยสั้นว่า บรรณาธิการเหมารวมว่าทุกคนคงเคยปั้นน้ำเป็นตัว ท่านได้ยกตัวอย่างนักดาราศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ชื่อดัง หรือแม้แต่สมองของคน คนมักจะเชื่อเรื่องเล่าของแหล่งที่น่าเชื่อถือ และในสังคมมนุษย์ปัจจุบันก็เต็มไปด้วยเรื่องเล่าที่โกหก ดังนั้น บรรณาธิการจึงประกาศว่า โปรดอ่านทุกหน้าใน สารคดี ด้วยความใคร่ครวญ และอย่าเชื่อมั่นว่ามีแต่ความจริงอันเป็นที่สุด ไม่ว่าหน้านั้นจะมีคำว่า “พื้นที่ประชาสัมพันธ์” หรือไม่ก็ตาม’

อ่านบทบรรณาธิการฉบับนี้แล้ว เหมือนโดนตีแสกหน้า

ถึงอยากจะยกประโยชน์ให้จำเลยในแง่ที่ว่า บรรณาธิการอาจจะมีความตั้งใจจริงที่จะให้ผู้อ่านระมัดระวังและใช้วิจารณญาณในการอ่านสารคดีและเรื่องราวต่าง ๆ รอบตัวให้มากขึ้น แต่นัยที่แสดงออกอย่างเด่นชัด ไม่ว่าบรรณาธิการจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตามคือ “การแก้ตัวอย่างขาดความรับผิดชอบ” อันเนื่องมาจาก “ความไม่สำนึกว่าได้กระทำความผิด” เหตุผลและตัวอย่างที่พยายามยกมาอ้างเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการดำรงอยู่ของบทโฆษณา ปตท. ในสารคดีฉบับก่อนหน้านั้น ก็มีตรรกะที่บิดเบี้ยว ซึ่งจะขออธิบายยกตัวอย่างในภายหลัง

นัยของบทบรรณาธิการ พยายามจะเตือนทุกท่านด้วยความหวังดีว่า เราอยู่บนโลกแห่งความลวง ดังนั้น ระวังให้ดี แต่ประเด็นของเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่เราอยู่บนโลกแห่งความลวงหรือไม่

ประเด็นอยู่ที่เรื่อง “จรรยาชีพ” และ “ความรับผิดชอบต่อสังคม”

ความลวงของโลกไม่ได้มาเกี่ยวอะไรกับการลงบทโฆษณาดังกล่าวแม้แต่น้อย สิ่งที่เกี่ยวข้องอย่างสำคัญคือ จรรยาชีพของคนทำหนังสือสารคดี และความรับผิดชอบต่อสังคม ในแง่ของการตระหนักรู้ว่าอะไรคือเป้าหมายของการลงโฆษณาด้วยวิธีดังกล่าวของบริษัท ซึ่งตามหลักวิชาชีพได้มีทางออกไว้ให้แล้วด้วยการยินยอมให้รับเงินจากบริษัทเพื่อลงโฆษณาประชาสัมพันธ์โดยอิงกับความน่าเชื่อถือและของนิตยสาร แต่ต้องแจ้งให้ผู้อ่านรับทราบล่วงหน้าด้วยข้อความว่า “พื้นที่โฆษณา” หรือ “พื้นที่ประชาสัมพันธ์” ไม่ว่ามันจะเขียนด้วยตัวอักษรที่ใช้สีกลมกลืนกับพื้นหลังและด้วยขนาดตัวอักษรที่เล็กเพียงใดก็ตาม

บรรณาธิการทราบดีอยู่แล้วว่ามนุษย์มักจะเชื่อโดยง่าย หากได้ข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ จึงสมควรจะทราบต่อไปอีกด้วยว่าบทความใน “สารคดี” คือแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือด้านสิ่งแวดล้อมการลงโฆษณาด้วยวิธีดังกล่าว โดยไม่แสดงข้อความเตือน ทำให้อาจตีความได้ว่าเป็นความ “จงใจ” ที่จะหลอกลวงผู้สนับสนุนนิตยสาร “เพื่อหวังอามิสสินจ้าง” โดยไม่คำนึงถึงหลักการทางวิชาชีพ และความรับผิดชอบต่อสังคม

แน่นอนว่า ผู้อ่านควรจะรับข้อมูลอย่างระมัดระวัง รอบคอบ ไม่ด่วนเชื่อ ไม่ยึดถือว่าสิ่งที่ได้อ่านเป็นความจริงแท้ แม้ว่าโลกจะเต็มไปด้วยความลวง แต่สังคมไม่สามารถตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูลต่าง ๆ ได้อย่างครบถ้วนรอบด้าน ด้วยข้อจำกัดด้านต่าง ๆ เช่น เวลา ประสบการณ์ การเข้าถึงข้อมูล ฯลฯ จึงต้องมีการสร้างสถาบันทางสังคมที่ทำหน้าที่เสมือนผู้รับรองความน่าเชื่อถือเบื้องต้นของข้อมูลเหล่านั้น และสารคดีเองก็เป็นสถาบันหนึ่งที่สังคมเชื่อว่าสามารถทำหน้าที่ดังกล่าวได้ การละเว้นไม่ทำหน้าที่อย่างจงใจของสารคดีจึงมีผลต่อสังคม

หากใช้ตรรกะของบรรณาธิการที่ว่า เราอยู่บนโลกแห่งความลวง นักดาราศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ แพทย์ อาจจะลวงเราได้ แล้วสังคมจะอยู่อย่างไรครับ? การที่เราไม่เชื่อ สถาบันที่ทำหน้าที่รับรองความน่าเชื่อถือของข้อมูลก็อาจส่งผลให้เกิดความวุ่นวายในระดับหนึ่ง (ผมไม่ได้หมายความว่าให้เชื่อโดยไม่ตั้งคำถาม แต่หมายถึงหากไม่เชื่ออย่างสุดโต่งและสงสัย ตรวจสอบตลอดเวลา) แต่สังคมจะวุ่นวายและกลียุคกว่านั้น หากสถาบันเหล่านั้นไม่ทำหน้าที่คัดกรอง และตรวจสอบความจริง และปัดภาระด้วยการบอกว่า เราอยู่บนโลกแห่งความลวง ดังนั้น ทุกคนระวังให้ดีก็แล้วกัน!!!

ลองนึกภาพเราไปหาหมอ แล้วหมอก็จ่ายยาให้เราโดยไม่สนว่าจะถูกกับโรคหรือไม่ แต่เน้นจ่ายยาที่บริษัทยาให้ค่าคอมมิสชั่นแพง ๆ คนไข้จะกินยานั้นหรือไม่ หรือไปหายาอื่น ก็แล้วแต่วิจารณญาณดูก็แล้วกัน

ก่อนจะจบจดหมายฉบับนี้ ผมขอกลับไปที่เรื่องตรรกะของบรรณาธิการสักนิด

หลักคิดและตัวอย่างที่บรรณาธิการพยายามยกมาสร้างความชอบธรรมให้กับตนเองนั้น มันไม่ตรงกับประเด็นเรื่องโลกแห่งความลวง ในกรณีของนักดาราศาสตร์ และนักวิทยาศาสตร์ ชัดเจนว่า เขาพูดในวันที่ 1 เมษายน ซึ่งตามธรรมเนียมของวัฒนธรรมของฝรั่ง ถือเป็นวันโกหก ดังนั้นในวันนี้ หากมีอะไรแปลกประหลาด ทุกคนจะระวังไว้ก่อนว่า อาจมีการอำครั้งใหญ่เกิดขึ้น วันที่ 1 เมษายน นี่ล่ะครับ คือ ข้อความ “พื้นที่ประชาสัมพันธ์” ที่จะทำให้ผู้รับสารระแวดระวังข้อมูลข่าวสารที่กำลังจะรับฟัง และควรจะตระหนักไว้ด้วยว่า บรรดานักวิทยาศาสตร์เหล่านี้ จะไม่มีวันโกหกแบบนี้ในวันอื่น ๆ และต่อให้เป็นวันที่ 1 เมษายน พวกเขาก็จะไม่โกหกเพื่อหาประโยชน์ใส่กระเป๋าตนเอง แต่จะอำ เพื่อกระตุ้นให้คนได้ไปคิดต่อ กรณีของการทดสอบยาก็เช่นเดียวกัน สิ่งที่เกิดขึ้นคือการทดสอบทางการแพทย์ ไม่ใช่การโกหก สิ่งที่เป็นการโกหกเพียงอย่างเดียวน่าจะเป็นการที่คนเรามักจะเคยปั้นน้ำเป็นตัวตอนเด็ก ที่เกิดขึ้นเพราะความเยาว์ ความเขลา และขาดความรับผิดชอบต่อสังคม

ท้ายนี้ หวังว่าสารคดีคงจะรับฟังเสียงหนึ่ง (และคาดว่าจะไม่ใช่เสียงเดียว) ที่พยายามทำตัวเป็น “ป้ายเตือน” โค้งอันตราย ด้วยความไม่อยากเห็นสารคดีแหกโค้งสิ้นชีพลงไปด้วยวัยไม่เต็มสามสิบ