WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Friday, August 5, 2011

ความเห็นแย้งต่อคำสั่งศาลโลก 18 ก.ค. 2554 และข้อเสนอแนะ ตอนที่ 1

ที่มา มติชน



โดย ดร.สุวันชัย แสงสุขเอี่ยม

1. คำสั่งศาลโลกต่อคำร้องขอของกัมพูชาให้กำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราว


เมื่อ วันที่ 28 เม.ย. 2554 กัมพูชาได้ยื่นขอให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice: ICJ ซึ่งต่อไปเรียกว่า “ศาลโลก”) ตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารที่ศาลโลกได้ตัดสินเมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 2505 และพร้อมกันนี้กัมพูชาได้ยื่นคำร้องเร่งด่วนขอให้ศาลโลกกำหนดมาตรการคุ้ม ครองชั่วคราว โดยอ้างในคำร้องว่าตั้งแต่วันที่ 22 เม.ย. 2554 เป็นต้นมาได้เกิดเหตุการณ์ที่ร้ายแรงในอาณาบริเวณปราสาทพระวิหาร รวมทั้งอาณาบริเวณอื่นตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา อันเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ และประชาชนต้องอพยพหนีภัย โดยเหตุการณ์ทั้งหมดไทยเป็นผู้ทำให้เกิดขึ้น

ดัง นั้นกัมพูชาจึงร้องขอให้ศาลโลกได้กำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวตาม ธรรมนูญของศาลโลก (Statute of ICJ) มาตรา 41 และระเบียบของศาลโลก (Rules of Court) ข้อที่ 73 ให้ไทยถอนกำลังทหารออกจากส่วนของดินแดนกัมพูชาในพื้นที่บริเวณปราสาทพระ วิหารในทันทีและไม่มีเงื่อนไข ห้ามไทยดำเนินกิจกรรมทางทหารใดๆ ในบริเวณดังกล่าว และให้ไทยงดเว้นการดำเนินการใดๆ ที่อาจกระทบสิทธิของกัมพูชา หรือเพิ่มความขัดแย้ง

ใน วันที่ 30-31 พ.ค. 2554 ศาลโลกได้รับฟังการให้ถ้อยคำของทั้งไทยและกัมพูชากรณีคำร้องขอของกัมพูชาให้ ศาลโลกกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราว โดยกัมพูชาสรุปขอให้ศาลกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวรวม 3 ข้อตามที่กล่าวมาแล้ว ในขณะที่ไทยสรุปขอให้ศาลจำหน่ายคดีที่กัมพูชายื่นให้พิจารณาเมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2554 ออกจากสารบบความ ต่อมาในวันที่ 18 พ.ค. ที่ผ่านมานี้ศาลโลกได้อ่านคำสั่งต่อคำร้องขอของกัมพูชาให้กำหนดมาตรการคุ้ม ครองชั่วคราวดังนี้

(A) โดยเอกฉันท์ ยกคำขอของประเทศไทยที่ให้จำหน่ายคดีที่กัมพูชายื่นให้พิจารณาเมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2554 ออกจากสารบบความ

(B) กำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวดังนี้

(1) โดยคะแนนเสียง 11 ต่อ 5 ทั้งสองฝ่ายต้องถอนกำลังทหารซึ่งปัจจุบันอยู่ในเขตปลอดทหารชั่วคราว (Provisional Demilitarized Zone: PDZ) ตามที่กำหนดในย่อหน้าที่ 62 ของคำสั่งนี้ในทันที และงดเว้นจากการวางกำลังทหารภายในเขตนั้น และจากกิจกรรมทางอาวุธใดๆ ที่มุ่งหมายไปที่เขตนั้น
(ผู้พิพากษาเสียงข้างน้อย: Owada, Al-Khasawneh, Xue, Donoghue, Cot)

(2) โดยคะแนนเสียง 15 ต่อ 1 ประเทศไทยจะต้องไม่ขัดขวางการเข้าถึงอย่างอิสระ (free access) ของกัมพูชาไปยังปราสาทพระวิหาร หรือการจัดส่งเสบียงของกัมพูชาให้เจ้าหน้าที่ที่ไม่ใช่ทหารของตนในปราสาทพระ วิหาร (ผู้พิพากษาเสียงข้างน้อย: Donoghue)

(3) โดยคะแนนเสียง 15 ต่อ 1 ทั้งสองฝ่ายต้องดำเนินความร่วมมือกันต่อไปตามที่ทั้งสองฝ่ายได้เข้าร่วมใน กรอบอาเซียน และโดยเฉพาะต้องอนุญาตให้คณะผู้สังเกตการณ์ที่แต่งตั้งโดยอาเซียนเข้าไปยัง เขตปลอดทหารชั่วคราวดังกล่าวได้ (ผู้พิพากษาเสียงข้างน้อย: Donoghue)

(4) โดยคะแนนเสียง 15 ต่อ 1 ทั้งสองฝ่ายต้องงดเว้นจากการกระทำใดๆ ที่อาจทำให้ข้อพิพาทที่ปรากฏต่อศาลเลวร้ายลงหรือเกิดมากขึ้น หรือทำให้มันยากยิ่งขึ้นที่จะแก้ไข (ผู้พิพากษาเสียงข้างน้อย: Donoghue)

(C) โดยคะแนนเสียง 15 ต่อ 1 ตัดสินว่าแต่ละฝ่ายต้องแจ้งต่อศาลถึงการปฏิบัติตามมาตรการคุ้มครองชั่วคราว ข้างต้น (ผู้พิพากษาเสียงข้างน้อย: Donoghue)

(D) โดยคะแนนเสียง 15 ต่อ 1 ตัดสินว่าจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาต่อคำร้องขอสำหรับการตีความ ศาลยังคงอำนาจต่อไปในการพิจารณาเรื่องราวสาระที่ก่อให้เกิดคำสั่งครั้งนี้ (ผู้พิพากษาเสียงข้างน้อย: Donoghue)

2. ความเห็นแย้ง ข้อสังเกต และข้อเสนอแนะ

องค์ คณะผู้พิพากษาในครั้งนี้มีผู้พิพากษาทั้งหมด 16 คน โดยมี Mr. Hisashi Owada เป็นประธาน และมีผู้พิพากษาเฉพาะกิจ (Judge ad hoc) จำนวน 2 คน ซึ่งทั้งไทยและกัมพูชาได้ใช้สิทธิที่ให้ไว้ในธรรมนูญของศาลโลก มาตรา 31 ในการเลือกผู้พิพากษาเฉพาะกิจฝ่ายละหนึ่งคน โดยไทยได้เลือก Mr. Jean-Pierre Cot ซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศส และเป็นศาสตราจารย์เกียรติคุณที่ University Paris-I โดยเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงสหกรณ์และการพัฒนาของฝรั่งเศส และเคยได้รับเลือกเป็นกรรมการบริหารของ UNESO ส่วนกัมพูชาได้เลือก Mr. Gilbert Guillaume ซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศสเช่นกัน และเคยเป็นประธานศาลโลก (ช่วง ค.ศ. 2000-2003) รวมทั้งผู้อำนวยการนิติการที่กระทรวงการต่างประเทศของฝรั่งเศส อันทำให้องค์คณะผู้พิพากษาในคดีนี้ประกอบด้วยผู้พิพากษาชาวฝรั่งเศสถึง 3 คน โดยผู้พิพากษาชาวฝรั่งเศสอีกหนึ่งคนคือ Mr. Ronny Abraham ซึ่งเคยเป็นผู้อำนวยการนิติการที่กระทรวงการต่างประเทศของฝรั่งเศส

จาก คำสั่งศาลดังกล่าวทั้งหมดมี 4 ข้อใหญ่ โดยข้อ (B) เป็นคำสั่งเฉพาะที่เกี่ยวกับการกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวซึ่งแบ่งเป็น 4 ข้อย่อยคือ ข้อ (1)-(4)

2.1 คำสั่งศาลข้อ (A): สำหรับคำสั่งศาลในข้อนี้ ผู้พิพากษาทั้งหมดเห็นว่าไม่ควรจำหน่ายคดีที่กัมพูชายื่นออกจากสารบบความตาม ที่ไทยขอ ซึ่งในประเด็นนี้แสดงให้เห็นว่าผู้พิพากษาเฉพาะกิจชาวฝรั่งเศสที่ไทยเลือก ได้มีเห็นไปในทางไม่เป็นคุณต่อไทยด้วย เมื่อศาลมีคำสั่งไม่จำหน่ายคดี ศาลจึงต้องพิจารณาคำขอของกัมพูชาที่ยื่นให้ศาลตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระ วิหารปี 2505 ต่อไป ซึ่งอาจใช้เวลาพิจารณานานเป็นปีก็ได้

อย่าง ไรก็ตามศาลได้เน้นย้ำในย่อหน้าที่ 41 ของคำสั่งว่า “ข้อสรุปนี้ไม่ไปตัดสินล่วงหน้าผลลัพธ์ของกระบวนการพิจารณาคดีหลัก” และย่อหน้าที่ 68 ของคำสั่งว่า “คำตัดสินที่มีในกระบวนการพิจารณาคดีขณะนี้ต่อคำร้องขอสำหรับการกำหนด มาตรการคุ้มครองชั่วคราวนั้น ไม่ได้เป็นการตัดสินล่วงหน้าประเด็นใดๆ ที่ศาลอาจต้องดำเนินการเกี่ยวกับคำขอสำหรับการตีความดังกล่าว” นั้นก็หมายความว่าถึงแม้ศาลจะได้มีคำสั่งกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราว ก็ไม่ได้หมายความว่าศาลจะต้องรับคำขอของกัมพูชาให้มีการตีความดังกล่าว ในส่วนนี้มีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะดังนี้

2.1.1 เนื่องจากมีผู้พิพากษาศาลโลกจำนวน 5 คนซึ่งมีประธานและรองประธานศาลโลกรวมอยู่ด้วยจะครบวาระการดำรงในวันที่ 5 ก.พ. 2555 จึงต้องมีการจัดการเลือกตั้งผู้พิพากษาใหม่จำนวน 5 คน ทำให้องค์คณะผู้พิพากษาปัจจุบันอาจเร่งการพิจารณาคดีให้เสร็จสิ้นก่อนวันที่ 5 ก.พ. 2555 หรืออาจชะลอการพิจารณาคดีไปหลังวันที่ 5 ก.พ. 2555 อย่างไรก็ดีศาลโลกได้กำหนดให้ไทยต้องส่งข้อสังเกตที่เป็นลายลักษณ์อักษร (Written Observation) ให้ศาลภายในวันที่ 21 พ.ย. 2554 นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศได้ออกมาให้ข่าวว่า น่าจะส่งข้อสังเกตดังกล่าวให้ศาลโลกได้ประมาณกลางเดือน พ.ย. นี้ จึงมีความเป็นไปได้สูงที่ศาลโลกจะไปเริ่มพิจารณาคดีหลังวันที่ 5 ก.พ. 2555

2.1.2 หากวิเคราะห์จากเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาแล้ว การที่กัมพูชายื่นขอให้ศาลโลกตีความและกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวน่าจะ เกิดจากปัญหาการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชา ซึ่งขณะนี้กัมพูชาต้องการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารสำหรับเป็นพื้นที่เขต กันชนเพื่อให้เกิดความครบถ้วนสมบูรณ์ของแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหารรวม ทั้งแผนที่ฉบับสุดท้ายที่กัมพูชาต้องเสนอให้คณะกรรมการมรดกโลกพิจารณาตามมติ ที่ 32 COM 8B.102 อีกทั้งเพื่อระงับการดำเนินการใดๆ ของไทยที่จะขัดขวางหรือทำให้กระทบต่อการดำเนินการของกัมพูชาตามมติต่างๆ ของคณะกรรมการมรดกโลก ซึ่งจะเห็นได้จากคำร้องขอให้กำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของกัมพูชาที่ระบุ ให้ไทยงดเว้นการดำเนินการใดๆ ที่อาจกระทบสิทธิของกัมพูชา

2.1.3 ในคำร้องขอให้ศาลโลกตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารนั้น นายฮอร์ นำฮง ในฐานะผู้แทนกัมพูชาได้ลงนามในคำร้องขอดังกล่าวโดยลงวันที่ 20 เม.ย. 2554 แต่ปรากฏในข้อที่ 34 ของคำร้องขอดังกล่าวได้มีข้อความกล่าวถึงเหตุการณ์การปะทะกันระหว่างทหารไทย กับกัมพูชาในวันที่ 22 และ 26 เม.ย. 2554 อันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดหลังจากวันลงนามในคำร้องขอดังกล่าว จึงเชื่อได้ว่ากัมพูชามีการเตรียมสร้างสถานการณ์การสู้รบไว้ล่วงหน้าเพื่อ ให้คำร้องขอของตนมีน้ำหนักและรับฟังได้มากยิ่งขึ้น

หากจะ โต้แย้งว่า นายฮอร์ นำฮง อาจลงวันที่ผิดพลาดไป ก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะคำร้องที่ขอให้ศาลโลกกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวที่ยื่นต่อศาลโลกใน วันเดียวกัน นายฮอร์ นำฮง กลับลงวันที่ 28 เม.ย. 2554 ได้ถูกต้อง หากมีการยกประเด็นนี้ขึ้นมาให้ศาลเห็น จะทำให้ความน่าเชื่อถือของฝ่ายกัมพูชาลดลงได้ไม่มากก็น้อย แต่เป็นที่น่าสังเกตเป็นอย่างยิ่งว่าสำเนาคำร้องขอให้ศาลโลกตีความคำพิพากษา ที่กัมพูชาได้ยื่นซึ่งเผยแพร่ทาง Website ของศาลโลก ณ ปัจจุบันนั้น ในหน้าสุดท้ายได้มีการแก้ไขเปลี่ยนลายมือชื่อของนายฮอร์ นำฮง พร้อมวันที่ที่เขียนด้วยลายมือ ไปเป็นอักษรพิมพ์แล้วโดยที่ได้มีการพิมพ์เปลี่ยนวันที่เป็น 28 เม.ย. 2554

2.1.4 ในการสู้คดีนี้ ไทยได้มีการตั้งคณะดำเนินคดีปราสาทพระวิหารที่มีองค์ประกอบ 15 คน นำโดยนายวีรชัย พลาศรัย ซึ่งเป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำเนเธอร์แลนด์ทำหน้าที่เป็นผู้แทน (Agent) ฝ่ายไทย และมีที่ปรึกษากฎหมาย (Counsel) ชาวต่างชาติ 3 คน โดยมีคนหนึ่งเป็นชาวฝรั่งเศส คือ Mr. Alain Pellet ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ที่ University Paris Ouest และเคยเป็นที่ปรึกษาของรัฐบาลฝรั่งเศสด้านกฎหมายระหว่างประเทศ ยิ่งไปกว่านั้นไทยยังได้เลือกผู้พิพากษาเฉพาะกิจซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศส โดยกัมพูชาก็เลือกผู้พิพากษาเฉพาะกิจเป็นชาวฝรั่งเศสเช่นกัน อันทำให้องค์คณะผู้พิพากษาในคดีนี้ที่มีจำนวน 16 คนประกอบด้วยผู้พิพากษาชาวฝรั่งเศสถึง 3 คน
กระทรวงการต่างประเทศของ ไทยได้ให้เหตุผลที่เลือกที่ปรึกษากฎหมายและผู้พิพากษาเฉพาะกิจเป็นชาว ฝรั่งเศสว่า ทั้งสองท่านมีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์เป็นที่ยอมรับนับถือ รวมทั้งมีความจำเป็นเนื่องจากเอกสารทางกฎหมายในเรื่องเขตแดนไทย-กัมพูชาส่วน ใหญ่เป็นภาษาฝรั่งเศส และในการดำเนินการจำเป็นต้องมีความเข้าใจแนวคิดทางกฎหมายฝรั่งเศสเป็นอย่าง ดี

นอกจากนี้ผู้พิพากษาเฉพาะกิจดังกล่าวยังมี แนวความคิดที่สอดคล้องกับแนว คิดของคณะที่ปรึกษากฎหมายของฝ่ายไทย แต่หากวิเคราะห์ปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชาที่มีอยู่ในปัจจุบันแล้ว ก็จะพบว่ามีสาเหตุสืบเนื่องมาจากการที่ประเทศฝรั่งเศสเข้ามาล่าอาณานิคมใน พื้นที่แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอดีต โดยได้กดดันและข่มเหงไทยเพื่อเอาดินแดนมาเป็นของตน อีกทั้งยังเป็นผู้จัดทำแผนที่มาตราส่วน 1: 200,000 แต่ฝ่ายเดียว ซึ่งกัมพูชาในฐานะรัฐผู้สืบสิทธิจากฝรั่งเศสได้ใช้แผนที่ดังกล่าวในระวางดง รักเป็นแผนที่ภาคผนวก 1 ต่อท้ายคำฟ้องต่อศาลโลกในคดีปราสาทพระวิหารและชนะคดีมาแล้วในอดีต ดังนั้นจึงควรต้องถือว่าฝรั่งเศสเป็นเสมือนคู่กรณีกับไทยในคดีนี้ด้วย

ใน ที่สุดแล้ว การสู้คดีครั้งนี้ของฝ่ายไทยคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องกล่าวถึงการมีผล บังคับใช้หรือไม่ของแผนที่ดังกล่าวในการกำหนดเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา รวมทั้งการกระทำต่างๆ ในอดีตของฝรั่งเศสที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อไทย ดังนั้นเมื่อถึงเวลาดังกล่าวแล้ว ทั้งที่ปรึกษากฎหมายและผู้พิพากษาเฉพาะกิจชาวฝรั่งเศสที่ไทยเลือกอาจไม่ สามารถดำรงความเป็นกลาง และอาจเอนเอียงเพื่อรักษาเกียรติภูมิของชาติตนเองก็เป็นไปได้

เหตุผล ที่กระทรวงการต่างประเทศของไทยให้ดังกล่าวข้างต้นจึงไม่น่าจะเพียง พอและรับฟังได้ เนื่องจากยังมีบุคคลสัญชาติอื่นๆ ซึ่งไทยสามารถเลือกได้อีกมากที่คุณสมบัติไม่ด้อยกว่าชาวฝรั่งเศสทั้งสองคน ดังกล่าว ด้วยองค์คณะผู้พิพากษาในคดีนี้มีผู้พิพากษาชาวฝรั่งเศสถึง 3 คน การต่อสู้คดีของไทยจึงต้องระมัดระวังและพิจารณาแก้ไขป้องกันปัญหาดังกล่าว ไว้ด้วย

2.2 คำสั่งศาลข้อ (B)–(D): สำหรับคำสั่งศาลส่วนที่เหลือ มีผู้พิพากษาหนึ่งคนซึ่งเป็นชาวอเมริกัน Ms. Joan E. Donoghue ที่ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งศาลส่วนที่เหลือทั้งหมดทุกข้อ ผู้พิพากษาท่านนี้ได้ให้ความเห็นแย้งไว้อย่างน่าสนใจ ซึ่งสรุปสาระสำคัญได้ว่า จากการที่ประเทศไทยได้ปล่อยให้คำประกาศ (declaration) ปี 2493 ที่ได้จัดทำเพื่อรับอำนาจศาลตามมาตรา 36 วรรคสองของธรรมนูญของศาลโลก สิ้นสุดลงโดยไม่ต่อใหม่ ทำให้ศาลไม่มีเขตอำนาจที่จะทำการตัดสินใดใหม่ตามกฎหมายระหว่างประเทศ หรือจัดการหาข้อยุติเรื่องเขตแดน หรือตัดสินปัญหาอำนาจอธิปไตย หรือชี้ขาดความรับผิดชอบของรัฐ หรือสั่งให้ฝ่ายต่างๆ ปฏิบัติในแนวทางที่กำหนด

กระบวนการพิจารณาคดี ที่ถูกต้องในกรณีการตีความคำพิพากษาตามธรรมนูญของศาล โลก มาตรา 60 นั้น ศาลจะมีขอบเขตแค่เพียงบอกฝ่ายไทยและกัมพูชาว่าอะไรที่คำพิพากษาเมื่อปี 2505 หมายถึง แต่ศาลกลับนำมาตรา 41 ซึ่งเกี่ยวกับอำนาจศาลในการกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวมาทาบบนมาตรา 60 แล้วกำหนดมาตรการที่ไม่ได้ผูกพันโดยคำพิพากษาเมื่อปี 2505 หรือเชื่อมโยงกับกระบวนการตีความตามมาตรา 60 ศาลได้ออกคำสั่งที่ผูกพันซึ่งกำหนดขอบเขตการเคลื่อนย้ายกำลังติดอาวุธของ ทั้งสองฝ่ายโดยรวมถึงพื้นที่ที่ไม่ได้มีปัญหาเรื่องอำนาจอธิปไตยสำหรับทั้ง สองฝ่ายเลย ยิ่งไปกว่านั้นยังใช้สมมุติฐานว่ามาตรการชั่วคราวเป็นส่วนหนึ่งในคดีการตี ความ

ดังนั้นจึงเชื่อได้ว่ามาตรชั่วคราวการดังกล่าวนั้นเกินกว่าเขตอำนาจศาล เนื่องจากผู้พิพากษาท่านนี้เห็นว่าในคดีนี้ศาลไม่มีอำนาจกำหนดมาตรการคุ้ม ครองชั่วคราวใดๆ จึงไม่เห็นด้วยกับคำสั่งศาลข้อ (B)–(D) ทั้งหมด ในส่วนนี้มีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะดังนี้

ฝ่ายไทย ควรใช้ประโยชน์จากความเห็นแย้งดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ประเด็นคำประกาศปี 2493 ของประเทศไทยที่ได้สิ้นสุดการบังคับใช้ไปแล้วตั้งแต่ปี 2503 เป็นเหตุผลสำคัญในการไม่รับอำนาจศาลในเรื่องที่เห็นว่าอยู่นอกขอบเขตของการ ตีความที่ถูกต้อง นั่นคือ หากศาลรับคำขอให้ตีความของกัมพูชา ศาลจะมีขอบเขตอำนาจแค่เพียงบอกฝ่ายไทยและกัมพูชาว่าคำพิพากษาเมื่อปี 2505 ที่ทั้งสองฝ่ายมีข้อพิพาทกัน หมายถึงอะไรเท่านั้น โดยไม่มีเขตอำนาจที่จะทำการตัดสินสิ่งใดใหม่ได้

2.3 คำ สั่งศาลข้อ (1): สำหรับคำสั่งศาลในข้อนี้ ศาลได้กำหนดเขตปลอดทหารชั่วคราว มีผู้พิพากษาถึง 5 คนซึ่งมีประธานศาลโลกและผู้พิพากษาเฉพาะกิจชาวฝรั่งเศสที่ไทยเลือกรวมอยู่ ด้วยที่ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งศาลในข้อนี้ เหตุผลหลักที่ผู้พิพากษาทั้งห้าคนไม่เห็นด้วยกับคำสั่งศาลในข้อนี้พอสรุปได้ ดังนี้

ประการที่หนึ่ง ศาลไม่มีอำนาจไปกำหนดเขตปลอดทหารดังกล่าวให้ล้ำเข้าไปในพื้นที่ที่อยู่ภาย ใต้อำนาจอธิปไตยของแต่ละรัฐซึ่งไม่ได้เป็นพื้นที่พิพาทแต่อย่างใด อันเป็นการล่วงล้ำอำนาจอธิปไตยของรัฐนั้นๆ โดยปราศจากความยินยอมของรัฐดังกล่าว หากจะมีการกำหนดเขตปลอดทหารก็ควรจำกัดอยู่เฉพาะพื้นที่ที่มีข้อพิพาทกันเท่า นั้น

ประการที่สอง ศาลกำหนดเขตปลอดทหารดังกล่าวเป็นรูปสี่เหลี่ยมที่ตำแหน่งของมุมทั้งสี่มีการ กำหนดพิกัดที่แน่นอน โดยปราศจากการอธิบายให้เหตุผลว่าทำไมจึงต้องเป็นพิกัดดังกล่าว อีกทั้งยังเป็นการกำหนดในลักษณะที่ไม่เป็นจริง (artificial manner) โดยไม่ได้คำนึงถึงภูมิประเทศจริง รวมถึงความเป็นไปได้และความยากลำบากในการดำเนินการหรือการบังคับให้เป็นไป ตามมาตรการดังกล่าวของแต่ละฝ่าย

ประธานศาลโลกได้ให้ ความเห็นแย้งเฉพาะตนบางส่วนพอสรุปได้ว่า คำสั่งกำหนดเขตปลอดทหารของศาลโลกในครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่มีการกำหนดเขต ล้ำเข้าไปในดินแดนภายใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐโดยที่ดินแดนนั้นไม่ได้เป็น พื้นที่ที่มีปัญหาข้อพิพาทแต่อย่างใด จากทั้งหมดประมาณ 40 คำสั่งของศาลโลกในการกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราว มีเพียง 3 คดีเท่านั้นที่มีประเด็นของการถอนกำลังของฝ่ายคู่กรณีเกิดขึ้นและที่ศาลโลก ได้กำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวสั่งให้ฝ่ายที่มีข้อพิพาทกันหยุดกองกำลัง ติดอาวุธของตนจากการต่อสู้ที่ได้เกิดขึ้นจริงหรืออาจเกิดขึ้นได้ และให้กองกำลังของแต่ละฝ่ายออกจากเขตที่กำหนดตามคำสั่งศาล

แต่ ศาลโลกไม่เคยสั่งไปไกลถึงกับให้ฝ่ายต่างๆ ถอนจากเขตปลอดทหารชั่วคราวซึ่งถูกคิดขึ้นมาอย่างไม่เป็นจริงโดยศาล และที่ประกอบด้วยส่วนของดินแดนที่อยู่ภายใต้อธิปไตยอย่างไม่มีข้อโต้แย้งของ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อย่างที่ปรากฏในคำสั่งครั้งนี้

ส่วนผู้พิพากษาเฉพาะกิจชาวฝรั่งเศสที่ไทยเลือกได้ให้ความเห็นแย้งเฉพาะ ตนบางส่วนพอสรุปได้ว่า ศาลโลกได้รับคำร้องขอให้กำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวในระหว่างการยื่นคำ ร้องขอให้ตีความคำพิพากษาตามธรรมนูญของศาลโลก มาตรา 60 และได้เคยใช้อำนาจนี้มาก่อนเพียงครั้งเดียวเท่านั้นในคดีอาวีนา (Avena) ซึ่งเป็นคดีระหว่างเม็กซิโกกับสหรัฐอเมริกา ซึ่งสถานการณ์ในครั้งนั้นแตกต่างจากในครั้งนี้อย่างสิ้นเชิง โดยในครั้งนั้นเป็นเรื่องของคนที่กำลังจะถูกประหารชีวิต หากศาลไม่มีคำสั่งให้กำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราว ก็อาจทำให้คำพิพากษาสำหรับคำร้องขอให้ตีความที่จะมีขึ้นภายหลังกลายเป็น เรื่องไม่มีผลบังคับใช้เนื่องคนผู้นั้นได้ถูกประหารชีวิตไปแล้ว

แต่ ในครั้งนี้เป็นเรื่องของการร้องขอให้ตีความคำพิพากษาเดิมที่ได้มีมา เกือบครึ่งศตวรรษมาแล้ว โดยที่การปฏิบัติตามคำพิพากษาดังกล่าวมิได้เคยเป็นปัญหาแต่อย่างใดตลอดช่วง 40 กว่าปีที่ผ่านมา พื้นฐานของเขตอำนาจดั้งเดิมของศาลในเรื่องนี้ได้หมดสิ้นไปนานแล้ว ดังนั้นการพิจารณาในการจำกัดสิทธิในอธิปไตยเหนือดินแดนโดยการกำหนดมาตรการ คุ้มครองชั่วคราว จึงไม่สมควรควรกำหนดในกรณีที่ยังไม่ได้มีการตรวจสอบอำนาจศาลอย่างจริงจัง เสียก่อน

นอกจากนี้การที่กัมพูชาร้องขอให้ศาล ย้อนกลับไปพิจารณาเพื่อพิพากษาว่า เส้นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาในบริเวณใกล้เคียงกับปราสาทพระวิหารเป็นไป ตามเส้นเขตแดนที่ปรากฏในแผนที่ภาคผนวก 1 นั้น ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องการตีความคำพิพากษา แต่เป็นลักษณะของการทบทวนคำพิพากษาดังกล่าวตามธรรมนูญของศาลโลก มาตรา 61

ผู้ พิพากษาเฉพาะกิจคนดังกล่าวยังให้ความเห็นด้วยว่า จากข้อพิจารณาเกี่ยวกับคำร้องขอของกัมพูชานั้น ทำให้เกิดคำถามว่าได้มีการอาศัยกระบวนการพิจารณาของศาลโดยอ้อมค้อมเพื่อให้ เป็นประโยชน์ และเป็นไปได้หรือไม่ว่า ศาลกำลังเผชิญกับความพยายามในการนำคำร้องขอที่มีลักษณะเป็นเรื่องใหม่เข้า สู่การพิจารณาของศาล โดยนำประเด็นดังกล่าวไปพ่วงติดกับความขัดแย้งในเรื่องเกี่ยวกับการตีความคำ พิพากษา

ทั้งนี้เพื่อที่จะได้มีฐานรองรับเกี่ยว กับเขตอำนาจศาล ศาลจึงควรต้องพิจารณาประเด็นดังกล่าวในการพิจารณาคดีหลักเพื่อที่จะไม่ได้ เป็นการสนับสนุนการกระทำในลักษณะนี้ อันเป็นการขัดต่อหลักการที่สำคัญอย่างมากที่ว่าด้วยการยินยอมของทั้งสองฝ่าย ในการรับเขตอำนาจศาล นอกจากนี้ศาลได้ปฏิเสธคำร้องขอให้กำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของกัมพูชา โดยพิจารณาว่ามีลักษณะเพื่อผลประโยชน์ฝ่ายเดียวมากเกินไป ศาลจึงได้กำหนดเขตปลอดทหารชั่วคราว แต่การกำหนดเขตดังกล่าวขาดความเหมาะสม ซึ่งหากทั้งสองฝ่ายเห็นว่ามาตรการดังกล่าวไม่สามารถปฏิบัติได้ในพื้นที่ จริง สถานการณ์ก็จะเลวร้ายลงไปอีกแทนที่จะดีขึ้น และจะส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อการที่ทั้งสองฝ่ายจะยอมรับในคำพิพากษาของศาลใน คดีหลักอันเกี่ยวข้องกับการกำหนดบริเวณใกล้เคียงปราสาทพระวิหารที่อยู่ภาย ใต้อธิปไตยของกัมพูชา

ในส่วนนี้มีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะซึ่งจะนำเสนอในบทความตอนที่ 2 ต่อไป

( หมายเหตุ ดร.สุวันชัย แสงสุขเอี่ยม อดีตสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ )