ที่มา ประชาไท
ประสงค์ ปัญญาธรรม เป็นคนเร่ร่อน มีอาชีพเก็บของเก่าขายอยู่ย่านสามเหลี่ยมดินแดง เขาเป็น 1 ในจำเลย 5 คนที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหา ครอบครองอาวุธปืน วัตถุระเบิด และฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ที่เหลืออีก 4 คน คือ คนขับแท็กซี่, เด็กวัด, คนใบ้, ช่างทาสี ทั้งหมดไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เพิ่งรู้จักกันตอนอยู่โรงพัก และขึ้นศาล
[คำสุข คำโพธิ์ (46 ปี), ปรีชา งามตา (35 ปี), เฉลิมพงษ์ กลิ่นจำปา (43 ปี), สุรชัย บุญเสริมทรัพย์ (46 ปี)]
พวก เขาทั้ง 5 ถูกทยอยจับกุมในช่วงบ่ายวันที่ 21 พ.ค.53 บริเวณวัดตะพาน (วัดทัศนารุณสุนทริการาม) ดินแดง หลังจากกมีการสลายการชุมนุมและส่งผู้ชุมนุมกลับบ้านในวันที่ 20 พ.ค.53 วันรุ่งขึ้นทหารยังคงควบคุมและตรวจสอบพื้นที่ ทุกกุฎิ ทุกหลังคาเรือนในบริเวณดังกล่าวถูกรื้อค้น
สำหรับคนที่มีครอบครัว ติดตามคดีเป็นเรื่องเป็นราวก็จะได้รับการประกันตัว ภายหลังถูกคุมขังที่เรือนจำราว 1-2 เดือน ขณะที่คนอย่างประสงค์และเฉลิมพงษ์ (คนใบ้) ติดคุกอยู่นานเกือบปี ได้ประกันตัวราวเดือนมีนาคม 2554 โดยความช่วยเหลือของทนายความจากพรรคเพื่อไทย
รายการอาวุธแนบท้ายคำ ฟ้องของพวกเขายาวเหยียดเกือบ 30 รายการ ทั้งปืนยาว-ปืนสั้นหลายกระบอก ระเบิดปิงปอง ระเบิดเพลิง มีดดาบ บังตอ หนังสติ๊ก กระสุนน๊อต ใส่รวมอยู่ในเข่ง วางเรียงรายอยู่ตรงหน้าพวกเขาระหว่างที่เจ้าหน้าที่ทหารทำการถ่ายรูป
ประสงค์ โดดเด่นเป็นพิเศษเพราะเขาสูญเสียดวงตา ต้องใส่ตาปลอมข้างหนึ่ง เนื่องจากอุบัติเหตุทางรถยนต์สมัยยังวัยรุ่น ระหว่างที่ติดคุก เรามีโอกาสเข้าเยี่ยมและพูดคุยกับเขา 2-3 ครั้ง ได้ความว่า เขาออกจากบ้านมาตั้งแต่เด็ก เคยเป็นช่างปั้นอยู่ในโครงการส่วนพระองค์สวนจิตลดา (น่าจะเป็นโครงการศูนย์ศิลปาชีพ) เขาว่าได้รับการดูแลและทำงานอยู่ที่นั่นหลายปี แต่ตัวเขาค่อนข้างเกเรและไม่มีวินัย จึงถูกส่งให้ไปทำงานในจังหวัดแม่ฮ่องสอนบ้านเกิด แต่เขาก็หนีออกจากที่นั่นอีก และตัดสินใจใช้ชีวิตไม่เป็นหลักแหล่งอยู่ในกรุงเทพฯ ย่านที่อยู่ประจำคือแถววัดตะพานที่เขาโดนจับ
“ตอนเมามันเคยเล่าให้ ฟังว่า แม่ตายตอนคลอดมัน พ่อก็มาตรอมใจตายทีหลังอีก พวกญาติๆ ก็เลยว่ามันเป็นตัวซวย แถมโตมาก็ไม่ค่อยเต็มเต็ง มันเลยออกจากบ้าน..จริงๆ อายุสมองเขายังเด็กอยู่นะ เพียงแต่ขี้เมาเท่านั้นเอง” ‘นกแดง’ สาวเสื้อแดงที่คอยดูแลบรรดาคนติดคุกที่ไม่มีญาติเล่าให้ฟัง
ประสงค์ เคยเล่าให้ฟังตอนอยู่ในเรือนจำว่า ถูกจับในวันที่ 21 พ.ค. ตอนนั้นกำลังเดินหาของกิน เพราะร้านรวงแถวนั้นปิดเงียบหมด จนเจอทหารและถูกจับกุมตัว แต่เพื่อนร่วมคดีออกความเห็นว่า สงสัยคงเมาแล้วเดินเพ่นพ่านเสียมากกว่า
คำสุข คำโพธิ์ คนขับแท็กซี่จำเลยที่ 3 ของคดีนี้เล่าว่า วันเกิดเหตุมีทหารหลายร้อยนายเข้าตรวจสอบพื้นที่ขณะที่เขานอนพักอยู่ในบ้าน เช่า ส่วนรถแท็กซี่จอดไว้ริมกำแพงตามปกติ เมื่อทหารถามหาเจ้าของรถ เขารีบออกไปแสดงตัวพร้อมเปิดให้ตำรวจตรวจค้น ปรากฏว่าท้ายรถพบเหล็กแป๊บหนึ่งอัน
“เราก็มีเอาไว้ติดรถอยู่แล้ว ไว้ขันล้อ เปลี่ยนยาง หัวหน้าทหารเขาหยิบมาโยนลงกับพื้น แล้วบอกว่านี่คืออาวุธ จากนั้นเขาก็จับปิดตา มัดมือไขว้หลัง” คำสุขเล่า
เขา เล่าต่อว่า เจ้าหน้าที่พาตัวเขาไปอีกที่หนึ่งโดยที่ยังปิดตาเขาไว้ คาดเดาว่าน่าจะเป็นซอยรางน้ำ จากนั้นก็มีของแข็งฟาดเข้ากลางหลังบ้าง หน้าท้องบ้าง ใบหน้าบ้าง และมาเป็นระยะๆ กว่าจะนำตัวไปให้ตำรวจในช่วงค่ำ
เขา ไม่เห็นสิ่งใด นอกจากเสียง อักๆ โอ๊ยๆ ของคนที่อยู่ข้างๆ มันทำให้เขารู้ว่ามีคนที่โดนจับและอยู่ในสภาพเดียวกับเขาในบริเวณใกล้เคียง ด้วยเช่นกัน
คนที่โดนหนักสุดเห็นจะเป็นเฉลิมพงษ์ ซึ่งใครๆ ต่างก็เรียกว่า ‘ไอ้ใบ้’ เพื่อนร่วมเหตุการณ์บอกว่าใบ้ถึงกับสลบ ต้องหามขึ้นโรงพักเพราะหมดสติ
‘ใบ้’ รูปร่างผอมเกร็ง เขามีชื่อเล่นอย่างเป็นทางการว่า ‘ผอม’ เป็นใบ้แต่กำเนิด เป็นลูกคนโตในจำนวนลูก 2 คน เขาไม่รู้หนังสือ และไม่รู้ภาษามือด้วยเพราะไม่ได้เล่าเรียนอะไรสักอย่าง ครอบครัวมีฐานะยากจนและอาศัยใช้ภาษากายตามธรรมชาติสื่อสารกับเขาแบบรู้ เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ส่วนใหญ่ใครถามอะไร ใบ้จะพยักหน้ารับร่ำไป
สำรวย กลิ่นจำปา แม่ของใบ้ทำงานรับจ้างล้างจานตามร้านอาหาร เธอเป็นคนพาใบ้มาขึ้นศาลตามนัดหมายโดยตลอด เธอเล่าว่า ใบ้เคยทำงานอยู่กับทีมอาสาสมัครพระรามเก้า จากนั้นก็มาช่วยงานที่วัดตะพาน คอยบริการญาติโยมที่มาวัด จัดโต๊ะ ล้างจานตามงานศพที่วัด เป็นคนไม่กินไม่เที่ยว มีเงินไปให้พ่อให้แม่อาทิตย์ละหลายร้อย หลังวันเกิดเหตุ ใบ้ไม่กลับบ้านเป็นอาทิตย์ แม่พยายามตามหาอยู่นาน
“โอ๊ย ตอนนั้นใจจะขาด เหมารถตามหาไปทั่วก็ไม่เจอ งานการไม่เป็นอันทำ จนสุดท้ายผ่านไปเดือนกว่าถึงเจอว่าติดคุกอยู่” แม่เล่าและว่าคนในวัดเล่าให้แม่ฟังว่า ใบ้กำลังล้างบาตรให้พระตอนทหารมาจับ เพราะว่าเขามีป้ายประจำตัว นปช. ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าได้มาอย่างไร
“พอ รู้ข่าว พ่อเครียดมาก นอนไม่หลับ บ่นปวดหัว อาหารก็ไม่ยอมกิน เราบอกว่าไม่ต้องไปเครียดหรอก เดี๋ยวลูกก็ได้ออก ก็ไม่เชื่อ แกรักลูกคนนี้มากเพราะมันพิการ แกเลยตรอมใจ”
สุดท้ายพ่อของใบ้ ซึ่งเป็นอัมพาตมา 7-8 ปี ก็เสียชีวิตลงเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ก่อนที่ใบ้จะออกมาจากคุก แม่ยังบ่นเสียใจจนทุกวันนี้ว่าลูกชายคนโปรดไม่ทันได้ออกมาเผาศพพ่อด้วยซ้ำ
เรา พยายามสอบถามใบ้ด้วยท่าทางต่างๆ ว่าเขาโดนทำร้ายร่างกายตรงไหนบ้าง เขาพยักหน้าติดๆ กันหลายครั้ง และชี้ที่ปาก ซึ่งแม่อธิบายประกอบว่าฟันหลุดหายไปสองซี่ เขาชี้ที่หัวและที่หลัง พร้อมกับทำท่าประกอบคล้ายว่า มีบางอย่างพุ่งออกจากปากเขาเป็นจำนวนมากไปกองกับพื้น รวมทั้งทำท่าควักเงินออกจากกระเป๋าส่งมอบให้คนข้างหน้า แม่อธิบายว่า เงินของใบ้เกือบ 4 พันบาทถูกยึดไปด้วย
ส่วนปรีชา งามตา หรือ เป็ด เป็นเด็กวัดอยู่ในวัดตะพาน ถูกจับกุมก่อนใครในวันที่ 21 พ.ค. เขาบอกว่าทหาร 200-300 คนเข้าตรวจค้นในวัดและพบว่าภายในกุฏิของหลวงพี่ที่เขาอาศัยอยู่ด้วยนั้น มีเสื้อแดงของเขาแขวนอยู่
“พอเจอเสื้อแดงผม 2 ตัว เขาเตะเข้าคางเลย ถามว่าพวกมึงมีใครบ้าง พอบอกไม่รู้ก็เตะอีก ตอนนั้นหลวงพี่ออกไปข้างนอก พอเขาเตะจนพอใจก็เอาผมมารวมกลุ่มกับคนอื่นที่โดนจับอยู่ก่อนแล้วตรงทางเข้า วัด ตรงนั้นมีอาวุธวางอยู่เต็ม แล้วก็มีช่างภาพของทหารมาคอยถ่ายรูป”
“เขาปิดตาแล้วเอาตัวไปแถวซอยรางน้ำเหมือนกัน โดนสารพัด เตะจนกลิ้งไปกับถนน พอจะเอาส่งตำรวจตอนค่ำ เขาก็เอาน้ำมาลูบตามตัว” ปรีชาว่า
ส่วน สุรชัย นั้นเป็นคนพื้นที่ บ้านอยู่ข้างวัด และช่วยงานเป็นช่างทาสีอยู่ในวัดตะพาน เขาเล่าว่า วันที่โดนจับ เป็นเวลาประมาณ 14.30 น. ทหารเข้าค้นภายในบ้าน แล้วพบมีดดาบ 1 อัน ซึ่งเป็นมีดส่วนตัวที่เขามีติดบ้านไว้ พร้อมกันนั้นก็เจอผ้าผูกหัวสีแดงชิ้นเล็กๆ อีก 1 ชิ้น ทหารจับเขามัดมือไขว้หลัง ปิดตา และนำมาถ่ายรูปร่วมกับอาวุธที่ทางเข้าวัดเช่นกัน จากนั้นก็คุมตัวไปไว้ในสถานที่แห่งหนึ่ง ปิดตา และถูกกระทำเช่นเดียวกับคนอื่นๆ เขาได้ประกันตัวราวเดือนกันยายน 2553 เมื่อออกจากคุกก็ไปประกอบอาชีพขับมอเตอร์ไซด์รับจ้าง
3 สิงหาคม 2554 เวลาบ่ายโมงกว่า ทุกคนเดินหน้าตาอ่อนระโหยมาที่หน้าห้องพิจารณาคดี 913 รายงานผลว่า พวกเขาวนแท็กซี่ และมอเตอร์ไซค์หาตัวประสงค์นานกว่า 2 ชั่วโมง แต่ไม่มีวี่แวว
แม่ของใบ้ที่รออยู่หน้าห้องพิจารณาสีหน้า ห่อเหี่ยว เพราะหมายความว่าวันนี้จะยังไม่มีการพิจารณาคดี ต้องเลื่อนไปอีกเนื่องจากจำเลยมาศาลไม่ครบทั้ง 5 คน และหมายความอีกว่า เธอจะสูญเสียค่าแรง 200 บาทไปฟรีๆ
ทนายความ ลูกความ ผู้ใกล้ชิดติดตามคดี ตั้งวงหารือกันหน้าตาเคร่งเครียด หาหนทางในการหาตัวประสงค์และกักตัวเขาไว้จนกว่าจะถึงการพิจารณาคดีนัดหน้า ทุกคนยืนยันว่าเมื่อวาน (2 ส.ค.) ที่มีการสืบพยานโจทก์พวกเขาเจอตัวประสงค์และนำมาศาล พร้อมกับแจ้งประสงค์ให้รับรู้แล้วว่าวันนี้จะมีการสืบพยานอีก เขารับปากมั่นเหมาะแต่ก็ไม่มา ทำให้เกือบทั้งหมดแทบจะมีมติเอกฉันท์ว่าหากเจอตัวเมื่อไรจะนำส่งตำรวจเพื่อ เอาเข้าคุกไว้ก่อนจนกว่าจะพิจารณาเสร็จ แต่สุดท้ายก็ตกลงว่าจะไม่ทำเช่นนั้น เพราะหากอัยการอุทธรณ์ประสงค์ก็จะติดคุกยาว
เหตุการณ์การสลายการ ชุมนุมจบไปนานแล้ว ผู้คนในสังคมลืมเรื่องราวไปหมดแล้ว แผลฟกช้ำดำเขียวก็หายแล้ว ความยากลำบากในเรือนจำก็ผ่านพ้นไปแล้ว(?) แต่คดีความในโรงในศาลของพวกเขายังไม่จบ
ประสงค์อยู่ไหน ... เพื่อนๆ ให้อภัยแล้ว มาศาลด่วน สืบพยานจำเลย 1 ก.ย.นี้ 9.00