WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Thursday, August 4, 2011

บริษัทวอลเตอร์บาวเยอรมันกับมาตรา๑๑๒

ที่มา Thai E-News



โดย ดร.วิบูลย์ แช่มชื่น

ต้นเหตุแห่งปัญหา อันเกิดจากการกระทำของรัฐบาลไทยในอดีต จนกระทั่งถึงรัฐบาลอภิสิทธิ์ ที่มีนายกษิต ภิรมย์ เป็น รมว.ต่างประเทศ อันเกี่ยวเนื่องกับสัญญาการลงทุนทำธุรกรรม ของบริษัทต่างประเทศในประเทศไทย มีประเด็นสำคัญเชิงกฎหมายและการดำเนินงานด้านการต่างประเทศผิดพลาด หลายกรณี ได้ส่งผลกระทบทั้งต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และต่อสถานะความน่าเชื่อถือของไทย ที่ควรพิจารณาใส่ใจแก้ไข

เรื่องที่น่าพิจารณาทบทวนแก้ไข และไม่ควรให้เกิดซ้ำอีก ด้วยเหตุที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนของต่างชาติ และต่อการทำงานของรัฐบาลต่อมา เช่นกรณีการสั่งพักการลงทุนของ 65 โครงการมาบตาพุด การดำเนินการที่ไม่เป็นมิตร กับประเทศเพื่อนบ้านกรณีสหภาพพม่า และกัมพูชา การถอนตัวออกจากภาคีมรดกโลก กรณีเกี่ยวกับปราสาทพระวิหาร การอายัดเครื่องบินของต่างชาติที่บรรทุกอาวุธลงเติมน้ำมันที่สนามบินดอนเมือง

และ ล่าสุดคือการที่เครื่องบินพระที่นั่งโบอิ้ง 737 ถูกอายัดที่เยอรมัน โดยคำสั่งศาล จากการฟ้องร้องของบริษัท วอลเตอร์ บาว เอจี อันเกี่ยวพันกับสัญญาการก่อสร้างดอนเมืองโทลเวย์ในอดีต และมีการกระทำผิดสัญญาโดยรัฐบาลต่อมา โดยเฉพาะตามคำฟ้องคือการสร้างถนนคู่ขนานกับถนนวิภาวดีรังสิต ในสมัยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ จากพรรคประชาธิปัตย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม

กรณีล่าสุด คือเรื่องการอายัดเครื่องบินพระที่นั่ง ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ โดยบริษัทวอลเตอร์ บาว เอจี ตามคำสั่งของศาลเยอรมัน เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับประเทศไทย เป็นการกระทำที่ส่งผลกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย จะพูดกันตรงไปตรงมาหรือไม่เท่านั้นเอง และถือว่าส่งผลกระทบต่อสถานะความสัมพันธ์ ไทย-เยอรมันแน่นอน

ในความรู้สึกของประชาชนคนไทย อีกทั้งเมื่อได้ฟังการแถลงของนายกอภิสิทธิ์ในวันที่ ๒ สิงหาคม หลังคำแถลงการณ์ที่เกี่ยวกับการจะพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์แล้ว ก็ไม่ได้มีคำตอบที่สาธารณะเข้าใจและสบายใจได้เลย ไม่ได้แสดงถึงภาระการแสดงความรับผิดชอบของรัฐบาลเลย

ถ้าประเมินหรือแปลความไม่ผิด ก็เข้าใจได้ว่ารัฐบาลไทยภายใต้นายกอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นี้จะไม่ยอมรับผิด ไม่จ่าย ไม่หนี จะเอาเวลาเป็นอาวุธ ถ่วงไว้ สู้คดีจ่ายค่าทนายความต่อไป ปล่อยให้เป็นความรับผิดชอบ และภาระ หน้าที่ของรัฐบาลต่อๆไป ให้หน่วยราชการไทย คือสำนักงานอัยการสูงสุด ที่ไม่ใช่ผู้กระทำผิดทำหน้าที่แทนรัฐบาลต่อไป

เรื่องนี้รัฐบาลอภิสิทธิ์กำลังสร้างปัญหาต่อเนื่อง กำลังทำเรื่องนี้ (การอายัดโบอิ้ง 737 โดยเยอรมัน) ให้เป็นเผือกร้อนโยนใส่มือรัฐบาลใหม่แทน ซึ่งรัฐบาล “ปู” ก็คงปฏิเสธไม่ได้ ที่จำเป็นจะต้องแก้ปัญหาของชาติ เรื่องนี้พสกนิกรทั่วไปมีความรู้สึกซาบซึ้ง ต่อกรณีมีพระราชปรารภจะจ่ายเองโดยใช้พระราชทรัพย์ฯด้วย

แต่ก็ตั้งคำถามกับรัฐบาลว่า ทำไมคณะรัฐมนตรีไม่พิจารณาแก้ไขตั้งแต่ต้น ในทำนองเดียวกัน จะพระราชทานค่าปรับก็ได้ถ้าได้แถลงไปแล้วว่า ไม่ใช่ของรัฐบาล ซึ่งเป็นเรื่องควรทำมากกว่าการขยันไล่ล่าทักษิณมากมาย ควรทำนานแล้วด้วย ทั้งเรื่องคดีในศาล และการเจรจาโดยคณะอนุญาโตตุลาการ

กรณีนี้ ถ้าดูตามเนื้อเรื่อง เป็นการที่รัฐบาลไทย รัฐบาลประชาธิปัตย์ กระทำผิดจริง ค่าปรับที่เป็นค่าโง่ ๓๐ ล้านยูโร ม้นก็ไม่มากมายถึงขั้นที่รัฐบาลนี้ ไม่มีปัญญาจะจ่าย อาจจะไม่อยากจ่ายเพราะละอาย ทั้งไม่กล้ายอมรับว่าตัวเองผิดพลาด ทั้งไม่เก่งการเจรจา

ธรรมดาการทูตส่วนใหญ่เขาเจรจาปรองดองกัน แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์เก่งทะเลาะหาเรื่องคนอื่น เพื่อแสดงความยิ่งใหญ่ของไทย เป็นความยิ่งใหญ่ของนักเลงชาตินิยมที่ไม่เหมือนใคร ไม่ว่าจะเป็นปัจเจกชนหรือรัฐต่างประเทศ

หรือแม้แต่คนไทยแดง “โลโซ”เอง ก็อย่ามาแหยม ข้าจะล่อ(แม่ง)หมด ซึ่งเป็นแนวทางและทัศนคติของประเทศหรือของรัฐบาลที่เป็นปัญหา ถึงวันเวลาหนึ่งก็จะเป็นปัญหาทิ้งไว้ให้ชนรุ่นหลังแก้ไข เหมือนกรณีปัญหาปราสาทพระวิหารไม่มีผิด

เรื่องกรณีปราสาทพระวิหาร ก็ควรทำเป็นวาระเจรจาเพื่อร่วมกันใช้ประโยชน์เชิงท่องเที่ยวได้ พูดกันดีๆทำดีๆไม่มีใครปฏิเสธหรอก ถ้าพันธมิตรอยากสู้เพื่อเอาคืน สู้กันในเชิงกฎหมายก็มีทางทำได้ ทำไมรัฐบาลไม่ยื่นศาลโลกใหม่ หรือขอเจรจาด้วยหลักฐานที่สำคัญ เช่นอ้างอนุสัญญากรุงโตเกียว 2484 ก็อ้างได้อย่างดี เป็นสัญญาที่มีการให้สัตยาบันโดยรัฐสภาแล้วด้วย น่าเชื่อถือกว่า MOU 2543 อีก ซึ่งสภาไทยยังไม่รับรอง ผิดรธน.มาตรา ๑๙๐ อีกด้วย

ในข้อตกลงของสัญญาโตเกียวนั้น ไทยกับฝรั่งเศส โดยญี่ปุ่นเป็นพยาน เห็นชอบลงนามด้วยกันแล้วว่า ๔ จังหวัดในกัมพูชาปัจจุบัน รวมทั้งพระวิหาร เสียมราช พระตะบอง เป็นของไทยทั้งหมด เราไม่ต้องทะเลาะกับกัมพูชาก็ได้ ญี่ปุ่นก็ช่วยได้ แต่นี่ไทยไปเล่นกัมพูชาเขาก่อนโดยอ้างเรื่องคุณทักษิณ ถึงขั้นเรียกทูตกลับ มันจะอะไรนักหนา ปัญหาเกิดจากการที่นายกษิตปากเสียเท่านั้นเอง

ทั้งๆที่รู้แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์นี้ก็ยังยอมรับการด่า และตั้งนายกษิตให้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศอีกด้วย จริงๆก็ควรแก้ปัญหาได้ง่ายๆ โดยการไม่ตั้ง หรือหากหลงตั้งไปก็ควรปลดนายกษิตเสีย การปลดนายกษิตก็ไม่ได้ทำให้แกเสียชีวิตแต่อย่างใด เก็บแกไว้ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรมากมาย เสียหายต่อประเทศเสียอีก ทำไมไม่กล้าหาญแก้ปัญหาที่ใหญ่กว่าของชาติ

แต่นายกก็กลับดันทุรัง เดินหน้าไปสู่หายนะทุกที โดยไม่คิดหน้าคิดหลัง เวลาโลกเขากำลังก้าวเข้าสู่ยุคแห่งมนุษยชาติแล้ว แต่รัฐบาลของเผด็จการยังย่ำอยู่กับเรื่องการรักชาติแบบโบราณ หมกมุ่นอยู่ในเรื่องความมั่นคง (ของตัวเอง) แบบโบราณอยู่

ทั้งๆที่โลกเขาก็ก้าวไปสู่ทัศนะใหม่ที่เป็นความมั่นคงของมนุษย์กันแล้ว จริงๆ ปี 2015 โดยคำประกาศ ประชาคมอาเซียน ก็เกือบจะเป็นประเทศเดียวกันแล้ว เพื่อนบ้านเขาก็ให้ความเชื่อถือไทยอยู่พอสมควร เราก็อยู่ในกลุ่มริเริ่มตั้งอาเซียน มีเครดิตพอสมควร แต่ไม่รักษาไว้กลับทำลาย เหมือนไม่มีความคิด ไม่มีหลักการสร้างความสัมพันธ์เอาเสียเลย

กรณีการอายัดเครื่องบินของวอลเตอร์ บาว นั้นมันเป็นความผิดจริงตามสัญญาที่ (มลาง) นายมนตรี พงษ์พานิชย์ อดีตรัฐมนตรีคมนาคมได้ลงนามไว้ มันคงผิดสัญญาจริง เขาจึงฟ้องและศาลก็ตัดสินแล้ว ทั้งผิดในการที่นายสุเทพและรัฐบาลประชาธิปัตย์ อนุมัติให้ทำถนนคู่ขนานกับดอนเมืองโทลเวย์ ไม่อนุมัติเรื่องค่าผ่านทางตามข้อตกลงในสัญญา โดยไม่ทำประชาพิจารณ์ หรือไม่เจรจาเพื่อยกเลิกข้อผูกพันนั้นก่อน แต่กลับทำตามข้อเสนอของนายสุเทพ ที่คิดและทำคล้ายกับที่เขาทำต่อคนไทยด้วยกันนี่แหละ รวมถึงการห้าม (ครอบครัวผม ส.ส.ไทยและ) คนไทยอีกหลายร้อยคน ไม่ให้เบิกจ่ายเงินตัวเองจากธนาคาร ไม่ให้ทำธุรกรรมการเงินใดๆ เป็นเวลา๖เดือน โดยไม่มีความผิดและไม่มีเหตุสมควร

โดยเฉพาะที่เลวที่สุดคือการสั่งให้ฆ่าทำลายชีวิตคนที่ราชดำเนิน ๙๑ ศพ บาดเจ็บอีกประมาณสองพัน ที่ราชดำเนิน ที่ราชประสงค์ เมื่อเมษา-พฤษภา ๕๓ ซึ่งจะเป็นตราบาปให้เขาตลอดไป

ในทัศนะผมเห็นว่าเขาทั้งโง่และปึก ทั้งเป็นความผิดมหันต์ต่อมนุษย์ด้วยกัน และค้านต่อกฎแห่งความยุติธรรมใดๆทั้งสิ้น ไม่ว่าจะอ้างกฎหมายใด ไม่ว่าศาลจะลงโทษเขาหรือไม่ แม้วันนี้เขากลับมาเป็นส.ส.เขาก็ยังไม่เลิกรา ยังได้กล่าวหาคนไทยด้วยกันต่อไป ว่าเป็นพวก ”คอมมิวนิสต์” จะไปบอกคนทั่วประเทศต่อไปในฐานะฝ่ายค้าน (ค้านการกระทำของประชาชนที่ต้องการสิทธิเสรีภาพ)

เอาเลยเทพ มันช่างทุเรศสิ้นดี ที่ไทยมีผู้นำที่โง่ ชั่วและไม่รู้ตัวเช่นนี้ อีกด้วย

ทางออกเพื่อยุติเรื่องเครื่องบินพระที่นั่งในวันนี้ ที่ง่ายที่สุดคือยอมรับคำตัดสินของศาล และใช้การเจรจา ทยอยจ่ายเขาตามผิดเสีย ต่อรองจะไม่จ่ายหมดก็คงไม่เป็นไร เอาเท่าที่ทำได้ แต่ถ้าเราผิด ก็ควรต้องจ่ายตามศาลสั่ง อาจจะจ่ายใกล้เคียงกับค่าทนายความที่กำลังคิดจะสู้คดีต่อไป

หรือไม่ก็ควรดำเนินการตามกฎหมายไทย โดยการฟ้องบริษัทนี้ในไทยคืนว่า เขากระทำการฟ้องโดยไม่ชอบก็ได้

หรือโดยอ้างรัฐธรรมนูญไทย และกฎหมายอาญาไทยก็ได้ โดยเฉพาะประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่ใช้ล่อและเล่นงานคนไทยด้วยกันที่เป็นฝ่ายตรงกันข้าม อย่างไม่สนใจต่อเสรีภาพ เสียงอมพระรามมาหลายปีดีดัก ถ้าเลือกปฏิบัติหลายมาตรฐาน โดยคิดว่าจะไม่ใช้เล่นงานฝรั่งที่ทำผิดด้วย ก็ควรพิจารณายกเลิก ป.อ. มาตรา 112 เสีย ลองพิจารณาเนื้อความในรัฐธรรมนูญและกฎหมายดังกล่าวดู

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ มาตรา ๘ วรรคแรก ตราไว้ว่า “องค์พระมหากษัตริย์ ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้” วรรคสอง “ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆมิได้”

ประมวลกฎหมายอาญา แห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 112 ตราไว้ดังนี้

มาตรา 112* ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี

*[มาตรา 112 ถูกแก้ไขโดยคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 41 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 1]

ถ้าพิจารณากรณีการอายัดเครื่องบินพระที่นั่ง ของเยอรมันครั้งนี้ แม้การกระทำอาจจะไม่สอดคล้องกับข้อกำหนดในรัฐธรรมนูญมาตรา ๘ ว่าไม่ตรงความหมาย “องค์พระมหากษัตริย์” แต่ถ้าพิจารณาสาระของ กฎหมายอาญามาตรา 112 แล้ว ถือว่าตรงและกระทำมิได้ด้วย ฟ้องต่อศาลไทยเลยก็ได้ วอลเตอร์ บาว ยังฟ้องรัฐบาลไทยในประเทศเขา เกี่ยวข้องกับเจ้านายเรา และเป็นการกระทำที่ไม่ให้เกียรติต่อคนไทยอย่างที่สุดด้วย

โดยนิสัยของรัฐบาลอภิสิทธิ์ ของนายกษิต น่าจะเรียกทูตไทยกลับเพื่อตอบโต้อีกด้วย เพราะเรื่องมันใหญ่กว่ากรณีการตั้งอดีตนายกทักษิณเป็นที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชามากมาย อย่างนี้ทำไมไม่กล้าทำ ถือว่าเป็นศักดิ์ศรีของประเทศไทยได้เช่นเดียวกัน

หรือไม่ไทยก็ควรเจรจาจ่ายเงินเขาไปเสีย และถ้าคิดจะเอาคืนในเรื่องนี้โดยกฎหมาย ก็อย่าได้เลือก “ประติบัติ” อย่าเล่นงานเฉพาะคนไทยด้วยกัน วันนี้เยอรมันให้ทักษิณไปเยี่ยมได้ ความหมายมันคืออะไร ไม่คิดก็ไม่ได้

ที่สำคัญ วันนี้ขอให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ ประชุมคณะรัฐมนตรี พิจารณาวาระด่วนพิเศษ ขออนุมัติเอาเงินไปจ่ายค่าโง่ตัวเอง ให้เยอรมันเขาเสีย เป็นการทำตามพระราชปณิธานอีกด้วย คงไม่มีใครเขาขัดข้อง อย่ามัวเสียเวลาเลย อย่าทำเสียบรรยากาศ อย่าเสียค่าทนายต่อไปอีกเลย

มันได้ไม่คุ้มเสียแน่นอน.

(ดร.วิบูลย์ แช่มชื่น ๓ สิงหาคม ๒๕๕๔)