WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Thursday, August 4, 2011

วิกิลีคส์:ท่าทีสหรัฐฯต่อมาตรา112และผลที่ตามมา

ที่มา Thai E-News


แปลโดย ดวงจำปา
ที่มา Internet Freedom

ใน ซีรี่ย์ของการเปิดโปงข้อมูลจาก เคเบิ้ลในวิกิลีกค์, ในวันนี้ เราจะเน้นความสนใจไปยัง เคเบิ้ลของวิกิลีกค์ ลงวันที่ 3 มีนาคม 2552, ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ตอบอย่างค่อนข้างสุภาพในรายงาน เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนของปี 2551 ที่รายงานออกมาจากกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา. กระทรวงการต่างประเทศของไทย, ซึ่งดำเนินการโดย นายกษิตย์ ภิรมย์ ซึ่งเป็นกลุ่มเสื้อเหลือง, พูดจาอย่างโผงผางและบางครั้งก็ปราศจากเหตุผล, ได้เกินเลยไปถึงการเขียนข้ออ้างเป็นลายลักษณ์อักษร /คำชี้แจง. ซึ่งเวปไชค์ของ PPT ได้นำมาทบทวนให้เห็นดังกล่าวนี้:

ความเห็นของประเทศไทย ในเรื่องรายงานสิทธิมนุษยชน ซึ่งพิมพ์โดยกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา เมื่อปี พ.ศ. 2551

- เรามีความผิดหวังอย่างมาก ในรายงานเรื่องสิทธิมนุษยชนของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ที่รายงานเกี่ยวกับการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ, ซี่งเป็นส่วนหนึ่งของประมวลกฎหมายอาญาของประเทศไทย

- รายงานเรื่องสิทธิมนุษยชนของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาได้ แสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้ง เกี่ยวกับความเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวง ในเรื่องของกฎหมายการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ, ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการนำเข้ามาใช้, ตั้งแต่มันยังมีบทบัญญัติทั่วไป เกี่ยวกับการหมิ่นทำให้เสียชื่อเสียงและการสบประมาทต่อตัวบุคคล

- แท้จริงแล้ว เหตุผลของการใช้กฎหมายนี้เป็นเรื่องที่ง่าย. การที่มีกฎหมายนี้อยู่ ก็เพื่อปกป้องความมั่นคงของประเทศไทย เพราะว่า ภายใต้รัฐธรรมนูยของประเทศไทยนั้น, สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันหลักอันหนึ่งของประเทศไทย. ดังนั้น เป็นเรื่องจำเป็นที่พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์อื่นๆ จะอยู่เหนือการเมืองทั้งสิ้น. รัฐธรรมนูญไม่อนุญาตให้พวกเขา สามารถให้ความเห็นหรือลงมือกระทำการเพื่อปกป้องตัวเองได้. ดังนั้น, ก็เป็นเหตุผลเดียวกันกับ กฎหมายในเรื่องของการดูหมิ่นสถาบันศาลยุติธรรม. สถาบันเหล่านี้ ต้องคงอยู่เหนือความขัดแย้ง และ ไม่สมควรที่จะถูกกดึงเข้ามารวมอยู่ด้วยกัน

- ประเทศไทยส่งเสริมสนับสนุนสิทธิของประชาชนในเรื่องเสรีภาพทางการพูดและการ แสดงความคิดเห็น; สิทธิเช่นนี้ ได้รับรองอยู่แล้วในรัฐธรรมนูญของประเทศไทย. กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ไม่มีวัตถุประสงค์ที่จะเหนี่ยวรั้งสิทธิดังกล่าวหรือการนำไปใช้อย่างถูกต้อง ตามเสรีภาพทางวิชาการ รวมไปถึงการอภิปรายเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ในด้านการศึกษา ทุกกรณีที่ได้กล่าวมาในรายงาน, รวมไปถึงกรณีของ คุณใจ อึ้งภากรณ์จะอยู่ภายใต้กระบวนการของกฎหมายและอาจจะมีการพิสูจน์จากหลักฐาน เพิ่มเติมและจากข้อเท็จจริง

- การกำหนดให้ประชาชนไทย ตระหนักในคุณค่าของความจงรักภักดี ให้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของพวกเขาในรัชกาล ของพระองค์นั้น, จะเห็นได้ว่า พสกนิกรชาวไทยส่วนใหญ่ แสดงความเคารพบูชาและปกป้องพระองค์อย่างสูงส่ง, ดังนั้น พวกเขาจะมีความอดกลั้นต่ำมากกับผู้ต้องสงสัยว่า บุคคลใดได้กระทำการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ. ที่กล่าวไว้นั้น เป็นส่วนหนึ่งของคุณค่าทางวัฒนธรรมหรือทางสังคม ที่ได้เปลี่ยนรูปร่างทางความคิดและทัศนคติของประชาชนไทยในเรื่องของกฎหมาย หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ว่าเป็นสถาบันหลักของประเทศชาติ.

- เนื่องจากประเทศของเราทั้งสอง มีความสัมพันธ์ที่ดีกันมาอย่างยาวนาน มากกว่า 175 ปี, ประเทศไทยและประเทศสหรัฐอเมริกา ได้สร้างความสัมพันธ์ฉันท์มิตรมาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในระดับของประชาชนจากประเทศหนึ่งไปสู่ประชาชนอีกประเทศหนึ่ง ดังนั้น ความไม่รู้สึกนึกคิดในรายงานฉบับนี้ ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างใหญ่หลวงกับความรู้สึกของประชาชนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ ประเทศสหรัฐอเมริกานั้น เราได้ถือว่าเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของเรา

- เราขอเรียกร้องให้กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาได้เข้ามาชี้แจงและ แก้ไขอย่างถูกต้อง ในเรื่องความผิดพลาดในรายงานฉบับนี้ เพื่อที่จะป้องกันการตีความอย่างผิดๆ ของกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่อาจจะเกิดขึ้นต่อไป, ซึ่งประชาชนไทยนั้น พวกเขาได้ยึดถือปฎิบัติอยู่ในชีวิตประจำวันอยู่ตลอดเวลา.
********

ใน เคเบิ้ลฉบับต่อมาที่เกี่ยวข้องกัน, เอกอัครราชฑูต จอห์น ได้กล่าวดังนี้ : “รัฐบาลไทยยังคงอ้างถึงความละเอียดอ่อนต่อลักษณะที่ชาวต่างชาติมีต่อ การดำเนินการใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพว่า เป็นการจำกัด เสรีภาพในทางการพูด, ตามที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศได้ร้องเรียน เกี่ยวกับ เนื้อหาที่ครอบคลุมในรายงานเกี่ยวกับประเทศไทยในเรื่องของ การปฎิบัติในเรื่องสิทธิมนุษยชนที่ได้แสดงให้เห็น (ตาม บทอ้างอิง ส่วน A) รัฐบาลไทย ไม่น่าจะปรับเปลี่ยนท่าทีของตนเอง เนื่องจากมีการวิพากษ์ วิจารณ์ หรือแม้กระทั่งข้อแนะนำที่มีเจตนารมณ์ที่ดีจากต่างประเทศ. เราไม่ขอแนะ นำให้ทางรัฐบาลของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้แสดงความคิดเห็นอย่างสาธารณะ เกี่ยวกับเรื่องการใช้กฎหมายฉบับนี้ หรือ การใช้ต่อกรณีของบุคคลใดๆ ทั้งสิ้น แต่เราจะแสดงให้เห็นถึงความกังวลให้ทราบโดยต่อไป ด้วยการสื่อสารแบบส่วนตัว และรวมไปถึงเนื้อหาข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับรายงานประจำปีของสิทธิมนุษยชน

การตอบ (โดย เอกอัครราชฑูต อีริค จอห์น - ผู้แปล) อย่าง "ยอมคุกเข่า"ให้ ก็แสดงให้เห็นถึงข้อเท็จจริงที่ว่า รายงานของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ก็ยังคงทำตัวเหมือน “หูหนวกตาบอด” อยู่ร่ำไป ในเรื่องของ การช่วยกดดันระงับการใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เนื่องจากว่า มันเป็นการละเมิดสิทธิทางการเมืองและ นี่กระมัง จึงดูเสมือนว่า ไม่มีใครสามารถที่จะหานักโทษทางการเมืองได้สักคนเดียวในทั้งประเทศไทย. ณ จุดนี้ ก็แสดงให้เห็นถึงความหมดหวังที่พังครืนลงมา กับอำนาจของระบบเดิมๆ และการละทิ้งหน้าที่ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาในเรื่องของสิทธิมนุษยชน

ตาม ที่กล่าวไว้, พวกที่ปล่อยข่าวจากเคเบิ้ลนี้ออกมา ก็ควรที่จะตื่นตกใจเสียหน่อยเกี่ยวกับเรื่องนี้, เพราะเนื้อหาส่วนใหญ่ได้ถูกตัดออกไปหมด. เป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจเป็นอย่างยิ่งจาก เวปไซต์ที่กล่าวเสมอว่า “มันเป็นสิทธิของท่าน ที่จะได้ทราบถึงข้อเท็จจริง”.. มันหายไปกับเคเบิ้ลฉบับนี้เสียแล้ว....



ความเห็นของผู้แปล:

* ตามความเห็นของ Political Prisoners in Thailand ได้กล่าวว่า ตัวเนื้อหาในเคเบิ้ล ได้ถูกตัดหรือเซ็นเซอร์ออกไปพอสมควร คิดว่า น่าจะมีข้อมูลที่สมบูรณ์กว่านี้ แต่อย่างน้อย เราก็ได้อ่าน เนื้อหาบางส่วนแล้ว

* ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้กระทำการ เสมือน "หูทวนลม" ในเรื่องของการที่รัฐบาลไทย นำเอากฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาใช้อย่างพร่ำเพื่อ ทั้งๆ ที่รายงานเกี่ยวกับ สิทธิมนุษยชนเมื่อปี 2551 ได้กล่าวไว้ อย่างถูกต้อง แต่เพราะเหตุผลทางการเมือง ทำให้ เอกอัครราชฑูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยในขณะนั้น ตัดสินใจ ขอร้องไม่ให้นำเรื่องเหล่านี้ มากล่าวหรือให้ความเห็นทางสาธารณะ เนื่องจาก อาจจะเกิดเหตุการณ์แทรกซ้อนทางการเมือง

* เมื่อประเทศสหรัฐอเมริกา มีนโยบายอย่างนั้น การกระทำของฝ่ายเสื้อแดงในปีต่อมา คือ ปี 2552 และ 2553 ก็เสมือนกับเป็นการเปิดไฟเขียว ให้กับ กลุ่มอำมาตย์ไทย เพราะ ทางประเทศสหรัฐอเมริกาจะอยู่ดูลู่ทางก่อน ทางรัฐบาลไทยก็ทราบว่า ถ้าเอาเรื่องการหมิ่นและล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเหตุให้กระทำการ ปราบปรามผู้ชุมนุม ก็เกิดความชอบธรรมได้

* เคเบิ้ลฉบับนี้ (3 มีนาคม 2552) ได้ถูกส่งก่อนที่จะมีการสังหารประชาชนในวันสงกรานต์เลือด (13 เมษายน 2552) ประมาณ 5-6 สัปดาห์เท่านั้นเอง ส่วนฉบับที่เกี่ยวข้องกันนั้น ลงวันที่ 10 มีนาคม 2552

* เราจึงเห็นข้ออ้างของกลุ่มทหารที่เข้ามาปราบประชาชนว่า เป็นผู้ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะเขารู้ว่า ทางสหรัฐอเมริกา จะไม่เข้ามายุ่งในเรื่องเหล่านี้

* การแก้ปัญหา ก็คือ การให้ความรู้กับบุคคลระดับสูงของสหรัฐอเมริกาว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ในปี 2552 นั้น ทางฝ่ายเสื้อแดง ไม่มีนักวิชาการ หรือ บุคคลใดๆ ที่สนับสนุนในการให้ข่าวหรือตอบโต้ข่าวเป็นภาษาอังกฤษเลย (นอกจาก อาจารย์ใจ) ดังนั้น ทางทั่วมุมโลก ก็ดูไม่ออก เพราะฟังข่าวสารเป็นภาษาอังกฤษอยู่จากฝ่ายอำมาตย์ และทางสื่อชั่วๆ อยู่เพียงกลุ่มเดียว

* ขณะนี้ ได้มีองค์กรของฝ่ายเสื้อแดง ประชาธิปไตย ได้ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด รวมไปถึงเวปไชต์อย่าง Internetfreedom.us นี้ กับองค์กร Thai National Coalition Movement TNCM พร้อมกับการประสานงาน ทั้งบนดิน, ใต้ดิน, Social Networking เช่น Facebook, Twitter และอีกหลายๆ วิถีทาง ทำให้การปฎิบัติการภายในปีที่ผ่านมา ผนึกกำลังกันอย่างเหนียวแน่นขึ้น ดิฉันเองคิดว่า ทางฝ่ายประเทศสหรัฐอเมริกา น่าจะได้ทำการทบทวนนโยบายที่มีต่อประเทศไทยเรียบร้อย

* เรื่องการใช้ภาษาต่างประเทศเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เราถึงเพิ่งจะเห็น การรณรงค์ และ แผ่นป้ายต่างๆ เป็นภาษาอังกฤษและภาษาต่างประเทศ เมื่อปี 2553 เท่านั้นเอง เนื่องจากต้องการให้นักข่าวต่างชาติทราบว่า อะไรเป็นอะไร ฝ่ายเสื้อแดง มีจุดอ่อนมากในเรื่องเหล่านี้ เนื่องจากว่า จำนวนนักวิชาการที่อยู่ฝ่ายเดียวกัน มีเป็นจำนวนน้อยกว่า

* ในการต่อสู้ เมื่อปีที่ผ่านมา การใช้ภาษาต่างชาติ เริ่มทำให้ประชากรโลกเขาเข้าใจว่า เราเสื้อแดง กำลังต่อสู้อยู่กับอะไร เราถึงเริ่มเห็นการสนับสนุน และ การกดดันรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน มากยี่งขี้น เราเริ่มมีการปฎิบัติการในทางรุก เพิ่มขึ้นทุกๆ วัน จะเห็นได้ว่า ฝ่ายอำมาตย์กำลังจนมุม ทีละนิดๆ

* ฝ่ายประชาธิปไตย เป็นต่อในเรื่องเวลา ถึงแม้ว่า ฝ่ายอำมาตย์มีอาวุธต่างๆ ก็จริง แต่รอบนี้ ดิฉันคิดว่า จะไม่เหมือนรอบที่แล้วแน่ๆ ค่ะ เมื่อดูจากบรรยากาศทางการเมืองของทางต่างประเทศ ที่มีต่อกลุ่มฝ่ายอำมาตย์และฝ่ายทหาร...